Life

ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร: “มาริโอ้ เมาเร่อ”กับความหล่อที่อยู่ข้างนอกและคุณค่าที่อยู่ข้างใน

By: TOIISAN October 5, 2019

ถ้าพูดถึงอาชีพนักแสดง คนส่วนใหญ่ที่มีหน้าที่เป็นผู้ชมมักมองข้ามถึงความยากก่อนจะมาเป็นภาพยนตร์หรือละครสนุก ๆ ให้เราได้รับชม เพราะภาพที่คนส่วนใหญ่เห็นคือนักแสดงที่มีคนคอยดูแลจัดการทุกอย่าง มีคนคอยกางร่มให้ มีคนแต่งหน้าให้ แถมยังเป็นอาชีพที่ใคร ๆ ก็มองว่าได้เงินง่าย

หลาย ๆ สิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของนักแสดงดูเป็นอาชีพที่ได้เงินง่ายแถมมีคนคอยเอาใจอยู่เสมอ แต่น้อยคนนักที่จะเห็นถึงความยากลำบากที่นักแสดงก็ต้องพบเจอด้วยเช่นกัน ในวันนี้ UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยกับนักแสดงมากความสามารถอย่างมาริโอ้ เมาเร่อ ที่ทำให้เราได้รู้ว่าภายใต้อารมณ์ขันมากด้วยเสน่ห์ของเขาเต็มไปด้วยมุ่งมั่นทุ่มเททั้งการทำงานและสิ่งที่รักไปพร้อมกัน

 

ความจริงจังในการทำงานที่คนส่วนใหญ่มักมองไม่เห็น

จุดเริ่มต้นในวงการบันเทิงของ มาริโอ้ เมาเร่อ มันเริ่มมาจากตรงไหน ?

เริ่มมาจากตอนเด็ก ๆ ผมออกมาช่วยงานที่บ้านครับ บ้านของผมสมัยก่อนทำปั๊มน้ำมันผมก็เลยเป็นเด็กปั๊ม เติมน้ำมันอยู่แล้วก็มีแมวมองมาเห็นผม แต่ก่อนที่แมวมองจะเจอผมก็เคยไปแคสงานหลายที่นะครับแต่ว่าไม่ได้เลยเพราะผมขี้อาย สุดท้ายไปแคสหนังเรื่องแรกชื่อว่า ‘รักแห่งสยาม’ ที่ทำให้คนรู้จักโอ้ขึ้นมา

การเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นความฝันวัยเด็กของมาริโอ้รึเปล่า ?

ไม่ได้เป็นครับ เพราะตอนเด็ก ๆ ไม่ได้คิดถึงเรื่องเข้าวงการเลย จริง ๆ แล้วผมอยากเป็นนักธุรกิจเพราะเห็นคุณพ่อทำธุรกิจแล้วเท่ แล้วผมก็รู้ว่าจริง ๆ แล้วการทำธุรกิจไม่ใช่แค่นั่งเท่ ๆ อยู่ติดโต๊ะ แต่เราต้องจัดการอะไรหลายอย่าง พอเห็นพ่อแม่ทำก็เลยรู้สึกว่าอยากทำบ้าง แต่ด้วยจังหวะชีวิตทำให้เราได้ไปแคสติ้งภาพยนตร์ ตอนนั้นผมไม่ได้มองเรื่องการแสดงเลย คิดแค่ว่าจะเอาเงินไปซื้อสเกตบอร์ดเล่น 

ทุกเส้นทางของชีวิตต่างต้องเจอกับอุปสรรคและเรื่องราวที่ยากลำบาก มาริโอ้เคยเจอความยากในการทำงานบ้างไหม ?

เจอบ่อยครับ บางคนคิดว่าอาชีพนักแสดงเป็นเรื่องง่ายแถมสบายเพราะมีคนคอยทำโน่นทำนี่ให้ คงไม่เหนื่อยเพราะมีคนคอยดูแล กางร่มให้ เอาน้ำมาให้ เตรียมทุกอย่างไว้พร้อม หยิบจับอะไรก็เป็นเงิน แต่สิ่งที่ผมว่านักแสดงทุกคนต้องสู้หรือต้องลุยไปกับมันคือเวลาเข้าบทต่าง ๆ บางครั้งเราอ่านบทตีความไว้แบบหนึ่งพอมาถึงกองผู้กำกับไม่เอา บอกเราว่าไม่ชอบเลยอยากได้อีกแบบ เอาแบบที่เราไม่เคยเล่นมาก่อน ถึงแม้ใจเราจะสู้ว่าเราเตรียมตัวมาดีแล้วแต่ผมก็ต้องบอกตัวเองว่า เราต้องทำได้ เราต้องหาวิธีใหม่ทั้งที่จริง ๆ ก็ยังคิดไม่ออก แต่สุดท้ายก็ต้องลองไปก่อน

เรื่องของเวลาจะเข้ามามีอิทธิพลกับนักแสดงครับ เราจึงต้องมีวินัยในการอ่านบทและจำบทให้ได้ ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ ก็จะมาอ่านที่หน้ากองก่อนเข้าฉาก มันทำไม่ได้ อาจารย์ของผมสอนว่าบทมันต้องอยู่ในเลือดเรา ไม่สามารถมาด้นสดทั้งหมดได้ เราต้องทำการบ้านมาก่อนเพราะถ้ามาทำทุกอย่างที่หน้ากองมันจะเละไปหมด

อาชีพนักแสดงมันไม่ง่ายเหมือนที่คนอื่นคิด ?

บางคนเห็นเราเล่นหนังเล่นละครแล้วดูเหมือนง่ายแต่เราต้องฝึกฝนอยู่ตลอด นักแสดงจะต้องมีสมาธิสูงเพราะกองถ่ายมีคนกว่า 50-60 คน เวลาเข้าฉากเราจะต้องตัดพวกเขาออกไปจากหัวให้หมด เราต้องเชื่อว่าสถานการณ์ในฉากเป็นเรื่องจริง ผมต้องเชื่อมัน 100%

ตอนแรกเราก็ตัดไม่ได้ครับแต่เราก็ฝึกไปเรื่อย ๆ ทำให้ตัวเองเชื่อให้ได้ว่าฉากที่เราเล่นมันจริงและไม่มีคนมากมายอยู่หลังกล้อง นักแสดงจะมีความกดดันอยู่หลายอย่าง เช่น เราต้องเล่นให้ได้ภายในเทคนี้หรือถ่ายให้ทันกี่โมง หรืออย่างบทดราม่าที่เราต้องร้องไห้ คิดเรื่องเศร้าจนปวดหัว บางครั้งต้องร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ทำอย่างไรก็ไม่ออก นั่งร้องไห้อยู๋สามชั่วโมงไม่มีน้ำตาสักหยด แต่พอกลับบ้านไปน้ำตาไหลเป็นกะละมังร้องไห้หนักไม่หยุด 

“ความยากและความกดดันทุกอย่างมันจะทำให้เราค่อย ๆ โตขึ้นเพราะเราไม่ได้เก่งมาตั้งแต่วันแรก”

มันคือความยากที่นักแสดงจะต้องเจอ แต่คนที่ไม่ใช่นักแสดงก็จะไม่รู้ ? 

เขาจะไม่เข้าใจเราเพราะว่าเขาเห็นแต่เบื้องหน้าและไม่ได้เห็นเบื้องหลังที่มันจริงจัง เขาไม่รู้ว่าเราต้องฝึกอะไรหลาย ๆ อย่าง ผมไม่ใช่ทองเอกแต่ผมต้องเล่นเป็นทองเอก หรืออย่างเรื่องขุนแผนฟ้าฟื้นผมต้องเล่นเป็นแก้ว แก้วเป็นชายที่เคยชินกับการขี่ม้า แต่มาริโอ้ไม่ใช่แก้วทำให้ผมก็ต้องฝึกขี่ม้า วันแรกตกม้าล้มตูดฟาดพื้นเจ็บมาก เราก็ต้องฝึกต่อไปเรื่อย ๆ เพราะทุกอย่างมันไม่ได้ทำได้ในวันเดียว เราต้องหมั่นฝึกฝน 

บางครั้งเราต้องอยู่ยาวเริ่มถ่ายตั้งแต่ตี 5 ถ่ายมาถึง 6 โมงเช้าของอีกวันกลายเป็นเช้าชนเช้า เหนื่อยจนรู้สึกว่าทำไมชีวิตต้องลำบากขนาดนี้ เราง่วงมาก ๆ ตาแทบปิด พลังหมดไปตั้งแต่กลางวันแล้วแต่ก็ต้องไม่ให้คนอื่นเห็นว่าเราไม่ไหว เราต้องสดชื่นและแทบจะหยิกตัวเองมาเล่นต่อ เพราะนักแสดงที่ดีต้องมีก๊อกสองเสมอ เราต้องฮึดต้องสู้เพื่อให้ผ่านความลำบากของงานไปให้ได้ครับ

ตอนนี้มาริโอ้กำลังมีผลงานอะไรอยู่บ้าง ?

ตอนนี้มีถ่ายหนังอยู่ 2-3 เรื่องครับ ล่าสุดหนังเรื่อง ‘ขุนแผนฟ้าฟื้น’ ก็ถ่ายเสร็จแล้วและกำลังโปรโมตกันอยู่ จะเข้าฉายวันที่ 10 ตุลาคม 2019 เป็นภาพยนตร์แอกชัน-แฟนตาซี คอมเมดี้นิด ๆ มีดราม่า แล้วก็โรแมนติกหน่อย ๆ มีครบทุกรสเลยครับ

จากผลงานที่ผ่านมาจะเห็นว่าบทบาทที่มาริโอ้เล่นมักจะเป็นบทแก่น ๆ ผู้ชายอารมณ์ดี ด้วยบทผู้ชายกวน ๆ ที่ได้รับอยู่บ่อยครั้งรวมกับนิสัยส่วนตัวที่เป็นกันเองและหน้าตาของมาริโอ้ เลยทำให้มีคนบางส่วนมองว่ามาริโอ้มาถึงจุดนี้ได้เพราะหน้าตา และเล่นได้แต่หนังคอมเมดี้ เราคิดอย่างไรกับคำวิจารณ์เหล่านี้ ?

ผมว่ามันแล้วแต่คนจะมอง ผมไม่สนใจนะ เพราะผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่และรู้ว่าตัวเองกำลังทำเพื่ออะไร ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ จะมามีวันนี้ได้เลย ผมมีเส้นทางเดินเป็นของตัวเองถ้าใครจะมาดูถูกเราว่ามีวันนี้ได้แค่เพราะหน้าตาผมก็จะคิดว่า 

“ทำไมถึงมองผมตื้นจังเลย”

ไม่มองไปถึงในใจของผมเลยว่ามาทำตรงนี้เพื่ออะไร ถ้ามองกันแค่รูปลักษณ์ภายนอกแสดงว่าคุณไม่ได้มองผลงานที่ผมทำ ไม่เห็นคุณค่างานของผม ก็เสียใจนะครับถ้าจะมองกันแค่นี้

ถึงแม้จะเสียใจแต่มาริโอ้ก็เลือกมองข้ามและก้าวเดินต่อไป ?

ครับ ผมว่ามันไม่จำเป็นที่จะให้ทุกคนมารู้ทุกอย่างของผม ผมไม่สามารถทำให้ทุกคนรู้จักทุกเรื่องของผมได้ ดังนั้นก็เลยอยากให้ดูกันที่ผลงานครับ

ถ้ามีภาพยนตร์หรือละครที่ดราม่าหนักทั้งเรื่องเราก็พร้อมเสมอ ?

พร้อมครับ เพราะว่าชีวิตของผมก็มีดราม่าเหมือนกันแต่ผมอาจจะไม่ได้บอกไปคนก็เลยไม่เห็น 

“ผมก็คนคนหนึ่ง ชีวิตมีเรื่องที่ได้มาและสูญเสียไป ทุกคนต้องเจอกับเรื่องดราม่าเพราะว่าชีวิตจริงมันยิ่งกว่าละคร” 

 

การสะสมของเก่า งานอดิเรกที่หลายคนไม่เข้าใจแต่มาริโอ้กลับมีความสุขมากกว่าใคร

หลังจากบทสนทนาที่เปิดมาก็หนักอึ้งด้วยเรื่องราวของการทำงาน คำวิจารณ์ที่บั่นทอนกำลังใจ และความยากของอาชีพนักแสดงที่ใครหลายคนมองไม่เห็นไปแล้ว เราสังเกตเห็นว่ามาริโอ้เป็นผู้ชายที่มีงานอดิเรกน่าสนใจอย่างการขี่รถมอเตอร์ไซค์วินเทจ และสะสมของเก่า เราจึงอยากรู้ว่าเพราะอะไรมาริโอ้ถึงเลือกสะสมรถเก่า และรถเก่าพวกนี้มันให้อะไรกับมาริโอ้บ้าง 

ตอนนี้สะสมหรือสนใจอะไรอยู่บ้าง ?

ผมสนใจของเก่ามากไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ เสื้อผ้า กางเกงยีนส์ แว่นตา นาฬิกา เยอะมากเลยครับ

แล้วยังเลี้ยงปลาอยู่ไหม ?

ปลาเลี้ยงแล้วตาย เหลือแต่ของไม่ค่อยมีชีวิตครับ

มาริโอ้มีของเก่าเยอะมากไหม แล้วเคยเจอคนบอกกับเราว่าทำไมถึงเอาเงินที่ได้จากการทำงานหนักมาซื้ออะไรแบบนี้ มันได้ประโยชน์จริง ๆ เหรอ 

“ของสะสมถ้ามันอยู่กับคนที่ไม่เห็นค่าก็คือขยะ รู้สึกว่ามันห่วย ไม่ได้เรื่อง แต่เขามองแค่ข้อเสียของมันเท่านั้น”

อย่างผมมีรถเก่าหลายคนบอกว่าไม่ได้เรื่องขับไปก็พัง แอร์ก็ร้อน เจ๊งง่ายมีแต่เรื่องเสียเงิน ทั้งหมดที่ว่ามันคือข้อเสีย แต่สำหรับคนที่สะสมของเราจะรักและมองข้ามอะไรเหล่านี้ไป มันจะไม่มีเรื่องเปลืองเงินเข้ามาในหัวของเราเลย ผมจะคิดเรื่องที่ว่าผมได้ขับรถปี 1960 ที่พ่อผมเคยขับ ได้รู้จัก ได้ดูแล แถมเวลาเราขับไปมันจะพังแล้วเราก็จะต้องซ่อมมัน

มาริโอ้คิดว่าเสน่ห์ของของเก่าคืออะไร ?

มันมีเรื่องราว เราจะได้รู้ว่ามันมาจากไหน มันทำมาเพื่ออะไร พอขึ้นชื่อว่าของเก่ามันก็จะเป็นอะไรที่ไม่เห็นในยุคนี้แล้ว ลองเทียบเป็นรถยนต์ดูก็ได้อย่างรถสมัยนี้การจ่ายน้ำมันจะเป็นระบบหัวฉีด แต่สมัยก่อนจะเป็นแบบคาบูเรเตอร์และยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าระบบหัวฉีด มันก็จะได้อารมณ์ที่ต่างออกไป ถ้าเป็นรถเก่าเวลาเหยียบคันเร่งมันจะมีเสียงดูดอากาศ พอเรานั่งในรถเก่าเหมือนเราได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปยุคของมัน รถใหม่จะไม่ได้อารมณ์แบบนี้ 

ของเก่าพังง่ายแบบนี้ไม่ทำให้เราเหนื่อยกว่าเดิมเหรอ ?

ไม่ครับเพราะเรารักมัน ถ้ามันเสียเราก็รู้แล้วว่ามันต้องซ่อมตรงไหน เหมือนเราได้รู้จักมันมากขึ้นพอเราซ่อมแล้วมันก็จะไม่พังจุดเดิมอีก จากคนซ่อมรถไม่เป็นก็ซ่อมเป็น รู้ว่าจะถอดล้อยังไง เบรกติดต้องทำอะไรบ้าง ถ้าคาบูฯ ไม่ได้เรื่องจะต้องจูนยังไง รถใหม่ให้เราไม่ได้ อย่างรถเก่าสมัยพ่อแม่ตอนยังหนุ่มสาวขับรถไปทั่วประเทศก็เกิดความสงสัยว่าทำไมถึงทำได้ แล้วทำไมตอนนั้นทำได้แต่พอมาขับตอนนี้คนอื่นถึงบอกว่าเราทำให้ตัวเองลำบาก ผมได้ประสบการณ์จากมันถ้าวันไหนรถเสียผมก็ซ่อมได้ บางคนรถเวลารถเสียกลางถนนทำอะไรไม่ได้ต้องรอเรียกช่างอย่างเดียว แต่ถ้าโอ้รถพังก็จะรู้แล้วว่าต้องทำอะไรเพราะมันพังบ่อย รถใหม่ไม่พังให้เห็นเท่าไหร่ ชาติหนึ่งพังที ไม่สนุก

บางครั้งรถเก่าเสียงดัง ลมเข้า น้ำเข้า กลิ่นน้ำมันก็เข้า คนนั่งแม่งก็บ่นแต่ว่าโอ้มีความสุขนะ มันพูดยากแต่โอ้อธิบายออกมาจากใจว่าผมมีความสุขจริง ๆ เป็นอารมณ์ที่หาจากไหนไม่ได้ มันต้องเป็นรถเก่าแบบนี้เท่านั้น รถใหม่มันให้ผมไม่ได้ เพราะรถใหม่เงียบมากสตาร์ทรถทีผมนึกว่าผีหลอก

แต่ถ้าเป็นรถของโอ้ก่อนสตาร์ทจะต้องรู้จักกันก่อนถ้าใครหน้าใหม่มาจะสตาร์ทไม่ติด ทำอย่างไรก็ไม่ติดครับ มันต้องมีเทคนิคอย่างเหยียบคันเร่งให้น้ำมันเข้าไปที่คาบูฯ ก่อน ถึงจะสตาร์ทติด จากนั้นต้องค้างเท้าไว้สักพักให้เครื่องมันวอร์มถึงจะออกรถได้ รายละเอียดเล็ก ๆ แบบนี้มันมีเสน่ห์สำหรับคนรักของเก่า คนที่เขาเล่นก็จะเข้าใจกันแต่คนที่ไม่ชอบจะมองว่าไร้สาระแต่สำหรับเรามันมีสาระเยอะมาก เวลาผู้ชายที่ชอบรถเก่าเหมือนกันมาเจอกันก็จะคุยกันไม่หยุด ทั้งที่รถคันเดิมแต่ก็คุยวนกันไม่รู้จบ อีกอย่างมันเป็นความฝันของผมกับพ่อ เพราะตอนที่พ่อผมยังมีชีวิตเขาก็คุยแต่เรื่องรถ

“เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ก็บ้ารถด้วยกันทั้งนั้น” 

แสดงว่ามาริโอ้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เข้าใจถึงความชอบและความสุขของตัวเองจากทั้งความรักในการสะสมของเก่า 

ที่บ้านผมชอบสะสมครับเรื่องเสียเงินต้องยกให้โอ้เลย แต่สมัยก่อนบ้านผมไม่ได้มีฐานะดีอะไรมาก เราก็สู้กันมาเรื่อย ๆ ตอนที่ผมหาเงินได้ครั้งแรกจากการเล่นหนังเรื่องรักแห่งสยาม ก็อยากเอาเงินก้อนนี้ไปทำตามความฝันของผมกับพ่อ ตอนนั้นอยากซื้อรถโฟล์คที่บังเอิญไปเจอที่นครนายกแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ เอาเงินก้อนแรกไปช่วยธุรกิจของพ่อ พอพ่อไปแล้วก็แอบเสียดายครับ แต่ตอนนี้ผมก็ยังสะสมรถถึงแม้เขาจะไม่อยู่แล้วก็ยังทำอยู่

รถเก่าก็เหมือนเป็นสิ่งแทนใจร่วมกันระหว่างมาริโอ้กับคุณพ่อ

มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับโอ้แต่คนมองว่าผมเสียเงินไปกับเรื่องไร้สาระ แต่ถ้าผู้ใหญ่บางคนที่รู้จักโอ้จริง ๆ ก็จะบอกว่าผมลงทุนถูก แต่จริง ๆ แล้วผมทำด้วยใจไม่ได้คิดหากำไรกับมัน มันต่างกับคนที่ซื้อมาหากำไรเพราะผมออกไปซื้อด้วยใจ อยากสะสมและก็คิดถึงพ่ออย่างเดียว ไม่ได้คิดว่าซื้อมาเพื่อรอราคาขึ้น มันเป็นแค่ผลพลอยได้ครับ

 

แสดงว่าถ้ารถของมาริโอ้ราคาขึ้นก็จะไม่ขาย ?

ขายหมด เอาเงินก่อนครับ! ผมล้อเล่นนะ ผมไม่เคยขายรถเลยเพราะเราเข้าใจคนที่ชอบเหมือนกับเรา ครั้งหนึ่งผมเคยไปซื้อรถชื่อแจ็ค เจ้าของรถเขาลารถตัวเองเหมือนลูกเลย พอผมขับออกมาผมต้องแนะนำตัวใหม่เลยว่า แจ็ค นี่โอ้เอง บางคนอาจจะนึกว่าเราบ้า แต่คนเล่นรถทุกคนเขาจะมีชื่อรถของตัวเองครับ

จากที่ผ่านบทสนทนากันมาพักใหญ่ทั้งเรื่องการทำงาน ความกดดันที่เจอ รวมถึงงานอดิเรกอย่างการสะสมของเก่าที่บางคนอาจไม่เข้าใจ สิ่งหนึ่งที่เราเห็นคือคุณพ่อของมาริโอ้คือแรงบันดาลใจกับอิทธิพลหลาย ๆ อย่างที่หลอมรวมให้มาริโอ้เดินมาในเส้นทางชีวิตของตัวเองได้อย่างดี 

พ่อเป็นทั้งแรงบันดาลใจ เป็นไอดอล เขาสอนให้ผมสะสมของตั้งแต่เด็ก แถมพ่อยังสอนเราหลายอย่าง พ่อบอกว่าเงินไม่ได้เป็นสิ่งที่การันตีว่าเราประสบความสำเร็จ เงินมันวัดไม่ได้เพราะบางคนที่รวยมาก ๆ ก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตเขามีความสุขเสมอไป 

คิดว่าตัวเองได้อะไรจากวงการบันเทิงอีกบ้างนอกจากเงินและชื่อเสียง

ได้มาหลายอย่างมาก ๆ อย่างแรกคือเรื่องของการทำงานที่เราทำก่อนเพื่อน ๆ ตั้งแต่อายุ 18 เราได้ความรับผิดชอบ ได้เข้าใจเรื่องของการแสดงมากขึ้นและก็ค่อย ๆ รักการแสดงขึ้นทุกวัน

ในช่วงวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ตั้งใจเรียน ติวสอบกับเพื่อน ๆ เพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย มาริโอ้รู้สึกเสียดายชีวิตวัยเด็กที่หายไปเพราะต้องทำงานบ้างไหม ?

เสียดายครับแต่แค่นิดหน่อยเท่านั้น แต่พอรู้สึกว่าเราเลือกเส้นทางนี้แล้วก็ไม่อยากย้อนคิดไปเสียดาย 

“เพราะชีวิตเราต้องเลือก และพอเลือกแล้วก็ต้องไม่มานั่งเสียดายทีหลัง”

แล้วตอนนี้มาริโอ้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง ?

ยังครับ แต่ว่าชีวิตตอนนี้ก็มีความสุขดี รู้สึกว่าตัวเองมีกำลังใจให้มีชีวิตต่อไป และก็รู้สึกว่าคิดไม่ผิดที่เราเดินมาทางนี้

จากบทสนทนาที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันมาพักใหญ่ ทำให้เราเห็นมุมมองและความคิดของมาริโอ้มากขึ้น ได้เห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยพลัง มีความสุข และพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้เสมอ มาริโอ้สามารถแบ่งเวลาระหว่างงานกับงานอดิเรกได้เป็นอย่างดี หลาย ๆ อย่างที่เป็นมาริโอ้ทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยอยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและได้อยู่กับสิ่งที่รักไปพร้อมกัน

อยากรู้ว่ามาริโอ้มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างไร และจะให้นำแนะนำกับคนที่มองมาริโอ้เป็นต้นแบบอย่างไรบ้าง ?

ถ้าเราชอบอะไรหรือรักอะไรก็ตามที่มันเป็นสิ่งที่ดีก็ทำมันต่อไปครับ ตอนเด็ก ๆ ผมเล่นสเกตบอร์ดเพราะว่าชอบก็ใช้เวลาอยู่กับมันเยอะ พยายามฝึกฝนสิ่งที่ตัวเองชอบและรู้ว่าเราทำมันได้ดี เวลามีงานสเกตบอร์ดผมก็จะไปร่วมด้วย มันมีความสุข และใครที่กำลังเหนื่อยหรือท้อกับบางสิ่ง คิดว่าทำไมชีวิตมันถึงลำบากก็ขอให้สู้กันต่อไปเพราะมันจะมีวันที่ดีกว่าอยู่แน่นอน วันแรก ๆ อาจจะท้อแต่ก็ต้องสู้ต่อไปอย่าเพิ่งยอมแพ้ให้กับมันนะครับ

 

 

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line