MUSIC

ครบรอบ 29 ปี “IN UTERO” จาก NIRVANA ผลงานส่งท้ายลมหายใจของ KURT COBAIN ด้วยความดิบและความเกรี้ยวกราด

By: JEDDY September 14, 2022

แม้ว่าวง Nirvana จะปิดฉากตัวเองลงไปตั้งแต่ปี 1994 แต่ชื่อของพวกเขายังคงถูกพูดถึงอยู่ตลอดเวลา สาเหตุก็เพราะความยิ่งใหญ่ของ 3 สมาชิก Kurt Cobain, Dave Grohl และ Krist Novaselic ที่เคยบิวด์ให้กระแสของดนตรีกรันจ์กลายเป็นไฟที่ลุกโชนไปทั่วโลก เกิดเป็นไฟลามทุ่งที่เปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ทางดนตรีไปตลอดกาล โดยผลงานชุดสุดท้ายที่ทิ้งไว้ให้กับโลกใบนี้คือ “In Utero” ซึ่งเพิ่งมีอายุครบรอบ 29 ปีไปหมาด ๆ


“In Utero” คือผลงานชุดที่ 3 วางจำหน่ายครั้งแรกในรูปแบบเทปและไวนิล ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 1993 ตามมาด้วยการวางขายแผ่นไวนิลในอเมริกาวันที่ 14 กันยายน 1993 และวางขายทั่วโลกวันที่ 21 กันยายน 1993 มันออกมาพร้อมกับความคาดหวังในระดับสูง เพราะอัลบั้มก่อนหน้านี้คือ “Nevermind” ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ซึ่งการต่อยอดความสำเร็จนั้นตามปกติทั่วไปหากเป็นวงอื่น ๆ อาจจะทำดนตรีที่มีซาวด์ไม่แตกต่างไปจากเดิม เพื่อเป็นการเพลย์เซฟ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่วง Nirvana ทำ!

พวกเขาเดินหน้าเข้าสู่ห้องอัด Pachyderm ณ เมืองแคนนอลฟอลส์ รัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1993 พร้อมกับเรืยกใช้บริการ Steve Albini มารับหน้าที่โปรดิวซ์เซอร์ ซึ่งเขาคือมือกีตาร์วงดนตรีแนวนอยซ์/พังก์ ร็อก ที่มีนามว่า “Big Black” ซึ่งชายผู้นี้ก็เคยผ่านการปรุงแต่งซาวด์ให้กับวงอย่าง Pixies, The Jesus Lizard และ Fugazi มาแล้ว


Steve Albini ในปัจจุบัน

การเลือกใช้ Steve Albini แทนที่ Butch Vig ผู้อยู่เบื้องหลังอัลบั้ม “Nevermind” นั้นบ่งบอกได้ว่าทางวงกำลังค้นหาซาวด์อะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปเดิม ซึ่ง Kurt Cobain เคยให้เหตุผลไว้ว่าสาเหตุที่พวกเขาดึง Albini มาร่วมงานเพราะชอบผลงานที่เขาทำกับ Pixies ในอัลบั้ม “Surfer Rosa” และ The Breeders ในอัลบั้ม “Pod” อีกทั้งยังต้องการธรรมชาติของการอัดเสียงจากห้องแบบเพียว ๆ ผ่านไมค์โครโฟน ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของ Albini  นั่นหมายความว่าสิ่งที่จะได้ยินในอัลบั้ม “In Utero” มันคือความดิบ ความเรียลมากกว่าเดิม ใช่แล้วมันออกมาเป็นแบบนั้นจริง ๆ

หากคุณได้ฟังเฉพาะเพลงที่ถูกโปรโมตอย่าง “Rape Me”, “Heart-Shaped Box” หรือ “All Apologies” อาจจะทำให้รู้สึกไม่ได้มีความแตกต่างจากผลงานก่อนหน้านี้ของ Nirvana ซักเท่าไหร่ แต่หากคุณได้ฟังทั้งอัลบั้มก็จะต้องอุทานว่า “เกรี้ยวกราดชิบหายเลยโว้ย!” เอาง่าย ๆ แค่แทร็กเปิดอัลบั้ม “Serve The Servants” ก็ทำให้คุณท้องไส้ปั่วป่วนด้วยซาวด์กีตาร์สุดแสบแก้วหู ได้อารมณ์ของนอยซ์ร็อกผสมผสานความเป็นกรันจ์เข้ามาอย่างลงตัว ยิ่งพอไปเจอแทร็กที่สอง “Scentless Appretice” บอกได้คำว่าเดียวว่าโคตรจี๊ด! ดนตรีกับเสียงร้องที่ส่งต่ออารมณ์ของความเก็บกดได้ถูกระเบิดออกมากระแทกโสตประสาทจนกระจุย

“Very Ape” ก็ใช่ย่อย ริฟฟ์กีตาร์ง่าย ๆ จังหวะสาด ๆ ก็ดีพอที่จะฟาดอะดรีนาลีนของทุกคนให้พุ่งพล่าน ตามมาด้วย “Milk It” บรรยากาศหลอน ๆ ชวนอึดอัด ดนตรีหนืด ๆ ยาน ๆ กับเสียร้องที่เต็มไปด้วยโทสะของ Kurt Cobain ส่วนใครอยากฟังซาวด์นอยซ์ ก็ควรจะเสพเพลง “Radio Friendly Unit Shifter” หรือถ้าใครถวิลหาความอลหม่านในสไตล์แมทช์คอร์ (คล้ายกับวง Drive Like Jehu) เพลง “Tourette’s” จัดให้ได้อย่างสาสมใจแน่นอน

จากที่ได้เล่ามาทั้งหมดดูเหมือนว่าเพลงส่วนมากไม่ได้เป็นมิตรกับวิทยุ แถมยังน่าจะทำให้วงถูกลดความสนใจจากคนหมู่มากอีกต่างหาก แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะอัลบั้ม “In Utero” สามารถทำยอดขายเฉพาะในอเมริกาได้มากถึง 5 ล้านก็อปปี้ และทั่วโลกรวมอีกหลายล้านก็อปปี้ แม้จะไม่เท่ากับ “Nevermind” แต่สิ่งนี้เป็นการยืนยันความยิ่งใหญ่และความศรัทธาของแฟนเพลงต่อวง Nirvana ได้เป็นอย่างดี


“In Utero” จะว่าไปมันก็เปรียบเสมือนผลงานศิลปะวาดภาพและเพนต์สีสไตล์ Abstract ที่เน้นสื่อสารเรื่องอารมณ์มากกว่าความสวยงาม มันก็คือสิ่งที่วง Nirvana ตั้งใจสร้างสรรค์ออกมาสู่คนฟัง และมันยังได้นำพวกเขากลับไปสู่รากเหง้าของซาวด์ที่พวกเขาหลงใหลอีกต่างหาก แต่น่าเสียดายที่ผลงานนี้ได้กลายเป็นชุดสุดท้ายของวง เพราะ Kurt Cobain ได้ตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองลงในปี 1994 อีกทั้งก่อนที่จะได้ชื่ออัลบั้ม “In Utero” ตัว Kurt เคยจะตั้งชื่ออัลบั้มว่า “I Hate Myself And I Want To Die” หรือว่าจริง ๆ แล้วเขาอาจจะวางแผนการลาโลกนี้เอาไว้แล้วก็ได้

JEDDY
WRITER: JEDDY
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line