Life

ไป PARTY ที่ไม่รู้จักใครสักคน! 5 วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้ไม่หว่าเว้กลางฝูงชน แถมคนยังรักอีกด้วย

By: HYENA August 28, 2017

หลายครั้งที่เราต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความอึดอัด ซึ่งจากประสบการณ์ที่ได้ประเมินดูแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเทียบเท่า การที่จะต้องไปงานเลี้ยง งานฉลอง หรืองานปาร์ตี้ ที่เราไม่รู้จักใครเลยแม้สักคนเดียว เรื่องแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้โดยที่คุณไม่ทันตั้งตัว โดยเฉพาะเมื่อคุณย่างเข้าสู่วัยทำงาน

เพราะในบางครั้ง คุณอาจจะต้องเผชิญกับการไปงานเลี้ยง, งาน Party หรืองานอะไรก็ตาม ที่คุณไม่รู้จักใครเลยแม้แต่คนเดียว แน่นอนว่า ไม่มีใครอยากจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นแกะดำท่ามกลางฝูงชน และผู้คนแปลกหน้า มันอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยก็จริง แต่การที่จะสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ให้ราบรื่นกับกลุ่มคนที่พวกเขาต่างก็รู้จักกันเองอยู่แล้วนั้น ในความเป็นจริงถือเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คน รู้สึกไม่กล้า และทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ว่ามานี้

ดังนั้น วันนี้เราจึงมี 5 Step ที่จะช่วยให้คุณฝังตัวเข้ากับสังคม และแทรกซึมไปในสถานที่ต่าง ๆ ที่ไม่มีใครเลยสักคนที่คุณรู้จักได้อย่างราบรื่น ไม่ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกว่า ไอ้นี่เป็นใคร หรือ มันมาจากไหนกัน! แถมยังทำให้คนที่เพิ่งพบเจอกันแบบสด ๆ ร้อน ๆ รักคุณได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่ได้พูดคุยกับคุณ

“5 Simple Steps to Make Friends And Be Magnetic At Any Social Event”

5 ขั้นตอนต่อไปนี้เป็นขั้นตอนง่าย ๆ และเราเชื่อว่าทุกคนสามารถนำไปใช้งานได้จริง นอกจากนี้เรายังมีบทสนทนาที่คุณควรพูด เพื่อจะช่วยทำให้คุณกลายเป็นคนที่ Nice ในสายตาเพื่อนใหม่ที่คุณเข้าไปทำความรู้จักแถมให้ด้วย หากใครอยากจะรู้กลยุทธ์เด็ด ๆ ที่ว่านี้ก็เลื่อนลงไปอ่าน Step แรกกันได้เลย

Step #1: Take Initiative by Introducing Yourself

บางคนเมื่อไปในงานที่ไร้ซึ่งคนรู้จัก ก็มักจะใช้สูตรเด็ดอย่างการชวนเด็กเสิร์ฟ พนักงานชงเหล้า หรือ คนที่คอยบริการความสะดวกสบายภายในงานคุยเป็นเพื่อนแก้เขิน แต่นั่นมันไม่เวิร์คอย่างแรง เพราะพวกเขาเหล่านั้นล้วนมีหน้าที่มากมายที่จะต้องทำให้แขกคนอื่น ๆ ได้รับความบันเทิงจากการสังสรรค์ เพราะฉะนั้นคุณอย่างได้ไปสร้างภาระเพิ่มเติมให้เขาจะดีกว่า

วิธีคิดง่าย ๆ เวลาที่คุณไปงานที่รู้สึกว่ามันช่างโดดเดี่ยวเดียวดายซะเหลือเกินนั้น จริง ๆ แล้วมีวิธีรับมือที่ไม่ได้ยากอย่างกังวลเลย เพียงแค่คุณลองเปลี่ยนความคิด และความรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ท่ามกลางวิกฤต ให้กกลายเป็นโอกาสแทนด้วยการใช้ประโยชน์จากการที่คุณเป็นคนแปลกหน้า เข้าไปแนะนำตัวเองกับทุกคนที่คุณสนใจ และอยากที่พูดคุยด้วย เพราะในงานรื่นเริงแบบนี้ คนส่วนใหญ่มักจะอยู่ในช่วงที่อารมณ์ดี และเฟรนลี่กว่าปกติกันทั้งนั้น

อีกวิธีหนึ่งก็คือ เสาะหาคนที่คุณรู้สึกคุ้นหน้า และดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนของเพื่อน หรือคนที่รู้สึกคุ้น ๆ ว่าจะรู้จักกับใครสักคนที่คุณเองก็รู้จักเช่นกัน ถ้าเจอคนเหล่านั้น คุณจงเดินเข้าไปหาพวกเขาในทันที เพราะนั่นแหละคือคนที่จะทำให้คุณไม่รู้สึกอยู่คนเดียวอยู่ลำพังหว่าเว้

และนี่เป็น Script การเริ่มต้นสนทนาที่จะทำให้ทุกอย่างลงตัวได้ง่ายขึ้น และเราอยากให้คุณลองนำไปใช้เป็นการเริ่มต้นสนทนา และแนะนำตัวกันดูว่า มันจะได้ผลจริงอย่างที่เราพูดหรือไม่? คุณอาจจะทักทายใครสักคนที่คุณรู้สึกคุ้นหน้าว่า “สวัสดีครับ ผมชื่อ..(ชื่อของคุณ)..คุณเป็นเพื่อนของ …(ชื่อเพื่อนคุณที่คุณคิดว่าเขารู้จัก)… ใช่รึเปล่า? พอดีผมรู้สึกคุ้น ๆ หน้า เหมือนว่าเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนสักที่! นี่คือ Script แรก

ส่วน Script ต่อมาคุณอาจจะเนียนมากขึ้นกว่าเดิมอีกนิดด้วยการตรงเข้าไปแล้วพูดว่า “ขอโทษนะครับ…(ชื่อเพื่อนคุณที่คุณคิดว่าเขารู้จัก)….ใช่รึเปล่า? ไม่ทราบว่าวันนี้เขามาที่งานนี้ด้วยไหม? ทั้ง ๆ ที่คุณก็รู้อยู่แล้วว่า เพื่อนของคุณนั้นไม่ได้มา แต่อย่างน้อย มันก็เป็นการเริ่มบทสนทนาที่ไม่ไร้ประเด็น

Script สุดท้ายให้คุณลองอ้างชื่อเจ้าภาพของงานไปเลย ยกตัวอย่างเช่น งานนี้ นาย ก เป็นเจ้าภาพ คุณก็เลือกได้เลยว่า คนไหนที่ดูน่าคบหา และหน้าตาเป็นมิตรพอที่จะเข้าไปพูดคุยด้วยได้ จากนั้นก็เริ่มบทสนาว่า “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าพอจะรู้บ้างรึเปล่าว่า นาย ก อยู่ที่ไหน?”

หลังจากนั้นอาจจะสอดแทรกการแนะนำตัวคุณเองเข้าไปเพื่อรักษามารยาท ก่อนที่จะหาโอกาสแบบเนียน ๆ ถามอะไรไปตามเรื่องตามราว ไม่ว่าจะเป็นการยิงคำถามไปว่า “คุณรู้จักนาย ก ได้อย่างไร?” หรือ “คุณรู้จักกับนาย ก มานานรึยัง?” ไหลไปตามน้ำอย่าได้กังวล

มีการวิจัยหลายชิ้นที่พบว่า คนเราจะเปิดรับ และรู้สึกดีกับคนแปลกหน้าได้ง่ายขึ้น เมื่อคนแปลกหน้าเข้าหา และพูดว่า เคยได้ยิน หรือรู้เรื่องราวของตัวเองมาบ้างก่อนหน้านี้(ในเชิงบวก) นอกจากนี้ คนเรายังรู้สึกเปิดรับคนแปลกหน้าที่เขามา และอ้างว่ารู้จักกับคน ๆ เดียวกับคนที่ตัวเองรู้จักได้ง่ายขึ้น เพราะจะรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน และรู้สึกปลอดภัยที่คุยด้วย

แต่อย่าลืมด้วยว่า ถ้าอยากให้การสนทนากับเพื่อนใหม่ หรือ คนแปลกหน้าลื่นไหล คุณจะต้องพยายามเลือกใช้คำถามปลายเปิด และพยายามอย่าถามอะไรที่เมื่อได้คำตอบมาแล้ว บทสนทนานั้นจะจบลงทันที แต่อย่างไรก็อย่าถามมากจนน่ารำคาญด้วยการเข้าไปตี้ซี้แบบไม่มีศิลปะอย่างเด็ดขาด เพราะผลที่ได้อาจะผิดคาด กลายเป็นโดนด่ากลับมา แล้วจะหน้าแหกกว่ายืนเด๋ออยู่คนเดียวในตอนแรกซะอีก

Step #2: Use Body Language that is Approachable

ในขณะที่เข้าไปในสถานที่ที่คุณไม่รู้จักใคร คนส่วนใหญ่มักจะตกอยู่ในความตื่นเต้น และความประหม่า บางคนอาจจะแสดงความรู้สึก เครียด หรือ วิตกกังวลออกมาผ่านหน้าตา จนดูบูดบึ้ง ซึ่งดูไม่น่าเข้าใกล้ และไม่เป็นมิตรเท่าไหร่สำหรับคนแปลกหน้าแน่นอน

ดังนั้น เมื่อคุณเข้าไปในสถานที่ที่ไม่มีคนที่รู้จักอยู่แล้วล่ะก็ พยายามผ่อนคลายให้มากที่สุด พร้อมกับแสดงท่าทางเฟรนลี่ ยิ้มแย้ม กับทุกสายตาที่มองมาที่คุณ จริง ๆ แล้ว การยิ้มนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย แถมยังมีพลังงานเชิงบวกที่ถูกส่งออกไปมหาศาล มีผลการวิจัยหลายต่อหลายชิ้นได้ระบุเอาไว้ว่า เวลาที่คนเราเห็นคนอื่นยิ้ม มันจะมีการเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกในเชิงบวกตามไปด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ

ยกตัวอย่างเช่น ในบางครั้งที่คน 2 คน กำลังทะเลาะกันอยู่อย่างดุเดือด แต่กลับมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหลุดยิ้ม หรือหัวเราะออกมา อาจจะทำให้อีกฝ่ายมีโอกาศที่จะหลุดยิ้ม หรือขำตามออกมาได้เช่นกัน จากนั้น ความตึงเครียดก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น รอยยิ้ม จึงเป็นอะไรที่ช่วยให้คนแปลกหน้า เปิดใจ และทำให้การเริ่มต้นทำความรู้จักกันนั้น ง่าย และ ราบรื่นมากยิ่งขึ้น

Step #3: Have Selfless Conversations

หนึ่งในวิธีการเชิงจิตวิทยาที่มีความน่าสนใจอย่างมาก ใจการทำให้ผู้คนเปิดใจนั้น คือ การควบคุมบทสนทนาเอาไว้ให้ได้ มีผลวิจัยได้พิสูจน์มาแล้วว่า 30-40% ของมนุษย์นั้น ชื่นชอบการสนทนาที่ตนเองเป็นฝ่ายได้พูดถึงเรื่องราวของตัวเอง

ในการทดลองที่น่าสนใจนี้ ยังพบว่า คนเราเลือกที่จะพูดถึงเรื่องของตัวเองมากกว่า ถึงแม้ว่าจะมีเงินรางวัลมาหลอกล่อ และตั้งกติกาขึ้นมาว่า ถ้าหากอาสาสมัครคนไหนตอบคำถามได้โดยที่ไม่อ้างอิงถึงตัวเอง ก็จะได้เงินรางวัลนั้นไป แต่ผลการทดลองได้ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า คนเรามักจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง และเปรียบเทียบกับสิ่งที่ได้รับฟังมาก่อนเสมอ

ดังนั้น การที่คนส่วนใหญ่คิดว่า การเป็นฝ่ายครองเกมการสนทนาต้องเป็นฝ่ายที่ได้พูดนั้น เป็นความคิดที่ผิดอย่างสิ้นเชิง เพราะจริง ๆ แล้ว การที่จะควบคุมอีกฝ่ายได้นั้น บทสนทนาดังกล่าวต้องสามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึกคล้อยตาม หรือ พึงพอใจได้ ซึ่งการปล่อยให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องราวของตัวเอง เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนชื่นชอบ และจะรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

ด้วยตัวอย่าง Script คำถามแบบเปิดที่เราได้นำมาให้ได้ดูนี้ คุณจะสามารถนำไปปรับใช้ และเข้าใจได้ว่า คำถามแบบไหนจะสร้างความพอใจให้อีกฝ่ายได้ และทำให้พวกเขาเปิดใจให้กับคุณได้ง่าย และรวดเร็วมากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น “ทรงผมคุณดูดีมากเลย คุณไปตัดผมที่ร้านไหน ช่วยแนะนำให้ผมบ้างได้ไหม? หรือ “ร่างกายของคุณเฟิร์มมาก ช่วยแนะนำการออกกำลังกายเจ๋ง ๆ ให้บ้างได้รึเปล่า?” สิ่งเหล่านี้ เป็นคำถามที่แอบอวย และยกยอให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า ตัวเองนั้นอยู่เหนือกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์บ้ายออย่างเราทุกคนพึงพอใจ และยินดีที่จะพูดคุย แนะนำ อย่างอารมณ์ดีราวกับโดนเวทมนต์สะกดกันเลยทีเดียว

Step #4: Use Body Language Effectively

ท่าทาง และ บุคลิกของแต่ละคนนั้น สามารถแสดงถึงความคิดที่อยู่ภายในหัวของคนนั้นได้ ดังนั้น แน่นอนว่า มีคนที่คอยสังเกตพฤติกรรม และ ท่าทางของคุณอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น ตำแหน่งการยืน ใครจะไปรู้ว่า ตำแหน่งการยืนนั้นจะมีผลต่อความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามได้ เพราะฉะนั้นเราจะมาดูกันว่า ตำแหน่งการยืนแบบไหนที่จะทำให้คุณดูเป็นมิตรต่อคนแปลกหน้า และเหมาะต่อการยืนสนทนากันในครั้งแรกที่พบ

กลยุทธ์ของตำแหน่งการยืนพูดคุย หรือในเวลาที่อยู่ใกล้ใครสักคนที่ดีนั้น คุณควรจะยืนบิดตัวออกไปด้านข้างประมาณ 45 องศา และหลีกเลี่ยงการยืนหันหน้าเข้าหาแบบประจันหน้ากันตรง ๆ เพราะการยืนประจันหน้ากัน ตามธรรมชาติของมนุษย์แล้ว จะรู้สึกเหมือนเป็นการประทะ, ข่มขู่, หรือการแสดงพลังอำนาจ ดังนั้นมันจึงไม่เวิร์คแน่นอน ถ้าหากคุณยืนในลักษณะนี้กับคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก

แขน ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่หากคนอ่านภาษาร่างกายออก จะเข้าใจสิ่งที่อยู่ในหัวของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี การเข้าหาใครสักคนที่เพิ่งรู้จักกัน ไม่ควรที่จะเอามือกอดอกขณะพูดคุยกันเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า ถูกปิดบังอะไรบางอย่าง ซึ่งในภาษาอังกฤษจะเรียกท่าทางแบบในว่า “Close” Body Language

Eye Contact สามารถช่วยสร้างความเชื่อมั่น และทำให้รู้สึกว่า คุณเป็นมิตร หรือ เป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจได้เช่นกัน คนเรามักจะรู้สึกสงสัย และไม่ไว้ใจคนที่ไม่กล้าสบตา ซึ่งเป็นภาษาร่างกายที่บ่งบอกถึงความมีพิรุธอะไรบางอย่าง แต่ถ้าหากคุณไม่มีอะไรปิดบัง แต่เป็นคนไม่ชอบสบตาใคร เราขอแนะนำว่าให้มองไปที่หว่างคิ้วของคู่สนทนา หรือไม่ก็จ้องไปที่ตาข้างใดข้างหนึ่งของคู่สนทนาก็ได้ จะช่วยให้คุณไม่สูญเสีย Eye Contact ที่น่าเชื่อใจไป

สิ่งนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งสำหรับท่าทางการแสดงออก ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับเรื่องของภาษากายที่ผิดปกติ แต่มันอาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า คุณไม่มีมารยาท และไม่จริงใจเอาซะเลย นั่นก็คือ การเล่นโทรศัพท์ไประหว่างที่อีกฝ่ายกำลังสนทนากับคุณอยู่ นอกจากนี้การที่คุณคุยกับคนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ ๆ แต่ในขณะเดียวกัน คุณกับชะเง้อคอมองหาคนรู้จักไปรอบ ๆ ชนิดที่ว่า ข้ามหน้าข้ามตาคนที่กำลังคุยกันอยู่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง

Step #5: Use Mirroring to be Charismatic

ถ้าหากคุณอยากให้การเข้าหาคนแปลกหน้า หรือ ทำให้คู่สนทนารู้สึกพึงพอใจสูงสุด คุณต้องใช้ภาษากายขั้นสูง เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดีกับคุณแบบจริงจังมาจากจิตใต้สำนึก นั่นก็คือ “Mirroring” หรือที่ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า “Limbic Synchrony”

การแสดงออกว่า คุณกำลังใส่ใจคำพูดของอีกฝ่ายอยู่นั่น  ไม่ใช่แค่ใช้หูเพียงอย่างเดียว เพราะโดยธรรมชาติคนเรา เมื่อพูดอะไรออกไปมักจะอยากได้การตอบสนองกลับมา ดังนั้น การแสดงออกว่าการเป็นผู้ฟังที่ดีนั้น คุณต้องแสดงออกว่าคุณมีส่วนร่วมกับบทสนทนาของเขาด้วย เช่น การพยักหน้า, พูดโต้ตอบ, ถาม – ตอบ คำถามในเรื่องที่ได้ฟังมา

แต่การแสดงออกทางภาษากายแบบ “Mirroring” นั้น ไม่ควรที่จะทำมันซ้ำ ๆ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพยักหน้า ก็พยักหน้ารัว ๆ เพียงอย่างเดียว แต่ควรจะเปลี่ยนแปลงภาษากายที่แสดงออกไปทุก 2-3 นาที เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ และใช้ภาษากายให้เป็นประโยชน์ในการซื้อใจอีกฝ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

Conclusion

การไปปาร์ตี้ที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า โดยไร้ซึ่งสกิลการเข้าสังคมอาจกลายเป็นว่า คุณกำลังสร้างความรู้สึกถูกคุกคามให้กับคนอื่น ๆ และกลายเป็นคนต่างด้าวของบรรดาคนที่อยู่ในงานได้ แต่ถ้าหากคุณรู้จักการวางตัว และการเข้าหาอย่างมีชั้นเชิง คุณก็จะไม่รู้สึกประหม่า หรือรู้สึกว่าอยู่ผิดที่ผิดทางแต่อย่างใด แถมยังได้เพื่อนใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตมากมายกลับมาอีกด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคที่แนะนำโดย Katrina Razavi โค้ชผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร และผู้ก่อตั้ง Website forNerd.com หากใครที่สนใจเทคนิคอื่น ๆ สำหรับการสื่อสารเพิ่มเติมก็สามารถเข้าหาดูกันได้ นอกจากนี้เขายังมีหลักสูตรที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตในสังคมเพื่อชีวิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

SOURCE

 

 

HYENA
WRITER: HYENA
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line