

World
อีกไม่กี่อาทิตย์มาแน่! อัปเดต 5 เทรนด์โลกปี 2020 ที่ผู้ชายต้องรู้จักและทำตามก่อนใคร
By: unlockmen December 7, 2019 169142
ขณะที่เราใช้เวลาเดินทางมาถึงกระดาษแผ่นสุดท้ายของปฏิทิน อีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าก็ถึงเวลาเตรียมเข้าสู่ศักราชใหม่ เชื่อว่าหลายคนคงเริ่มจินตนาการว่าปีหน้าจะเป็นอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วจะดีกว่าปีนี้หรือเปล่า ?
เพื่อคลายความสงสัย และตั้งหลักได้ก่อนใคร UNLOCKMEN ขอนำเทรนด์ในปี 2020 ที่ TrendWatching รวบรวมไว้ทั้ง 5 ข้อมาแบ่งปันให้เกาะกระแสดังนี้
อย่างที่รู้ ๆ กันแล้วว่าปี 2019 ที่คือปีแห่งการรณรงค์เพื่อความยั่งยืน ช่วยโลก อุดหนุนเครื่องอุปโภคบริโภคที่ตามกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อม จนทำให้ใครก็ตามที่ใช้สิ่งของจากแบรนด์เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าอีโคทำจากขยะพลาสติก นันยางทำจากขยะรองเท้าแตะในทะเล ขวดสไปร์ทใส หรือการลดใช้ทุกสรรพสิ่งที่ก่อมลพิษ เป็นคนเท่ เป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม
แต่ปี 2020 จากความเท่จะกลายเป็นความธรรมดา เพราะผลิตภัณฑ์แนว Eco ต่าง ๆ เริ่มมีราคาถูกลง คนสามารถเอื้อมถึงได้ไม่ต่างจากการใช้สินค้าปกติ เรื่องปฏิเสธการใช้งานจึงไม่ใช่ข้ออ้างอีกต่อไป! ดังนั้น ปีหน้าถ้าคุณไม่ทำ คุณจะถูกทำให้ต้องจำยอมด้วยกระแสสังคมที่เริ่มหันมาประณามคุณ และแบรนด์ที่ออกมาต่อต้านกลาย ๆ เพื่อบังคับให้ทำตามด้วย
ตัวอย่างของแคมเปญและแบรนด์สินค้าที่จะมาบีบให้รักษ์โลก
ปีนี้อาจจะเริ่มมีทยอยให้เห็นบ้างแล้วกับ Avartars เสมือนของแบรนด์ที่ออกมาเรียกกระแสจากผู้บริโภค เจ้า Avatars เหล่านี้ทำหน้าที่เป็น ‘อินฟลูเอนเซอร์’ ให้แบรนด์ได้เป็นอย่างดีบนโลกออนไลน์ทั้งที่ไม่มีตัวตนในชีวิตจริง เช่น Lil Miquela สาว virtual influencer คนดังที่ตีเสมอความดังเทียบเท่าซูเปอร์โมเดลอย่าง Bela Hadid ในแคมเปญของ Calvin Klien
แต่พลังของ Brand Avartars ที่เกิดขึ้นปีหน้าจะดุเดือดกว่านี้ เพราะบรรดา Avartars เสมือนจะมีความสามารถเพิ่มและเริ่มได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมากขึ้น ความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างโลกเสมือนกับโลกจริงจะช่วยสร้าง Royalty ให้แบรนด์ และ Avartars ทั้งหลายจะอยู่ในฐานะเพื่อนของผู้บริโภค ดังนั้น คนที่จะไปได้ไกลกว่าจึงต้องไม่ลืมเรื่องการสร้าง Brand Avartars เป็นของตัวเอง
ตัวอย่างของ Brand Avartar ที่เกิดขึ้นแล้วในปีนี้
เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ปีหน้าจะเป็นที่สุดของการบริการตามใจผู้บริโภคในรูปแบบดิจิทัล อะไรที่คุณคิดว่าเซอร์วิสแบบนี้ไม่น่าจะมีให้เห็นในโลกดิจิทัล จะมีเพิ่มขึ้น เพราะตราบใดที่ความต้องการของมนุษย์ไม่สิ้นสุด การแก้ปัญหาในรูปแบบการให้บริการเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่จะเกิดขึ้นเสมอ
ตัวอย่างปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงของบริการที่เกิดขึ้นแล้วในปีนี้และจะมีให้เห็นในแบบอื่น ๆ ในปีหน้า
รายงาน National Working Families (2019) ระบุว่า 2 ใน 3 ของพ่อแม่ที่อยู่ในวัยทำงานชาวออสเตรเลียพยายามดูแลสุขภาพตัวเองเพราะพบความตึงเครียดระหว่างทำงานและดูแลลูก โดย 1 ใน 4 ของจำนวนคนทั้งหมดกำลังคิดเรื่องการลาออก
71% ของผู้หญิงและ 66% ของผู้ชายชาวสิงคโปร์รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในสภาพ “Always on” เรื่องการทำงาน พวกเขาต้องเข้าถึงงานได้เสมอ ทั้งการรับโทรศัพท์ติดต่อและการเช็กอีเมล (Cigna, March 2019)
ทุกวันนี้หลายผลสำรวจยืนยันว่าความเครียด ความกดดันและสิ้นหวังของฝูงชนกลายเป็นสิ่งเกิดเพิ่มขึ้นทุกวัน และภาวะต้องทำตัวมีไฟตลอดเวลา รับแรงกดดันจากงานที่ต้องเป็นมืออาชีพยิ่งผลาญไฟในการทำงานไปจนหมด จึงทำให้องค์การอนามัยโรคระบุให้ Burnout หรือภาวะความเหนื่อยหน่ายเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ด้านสุขภาพ
ปี 2020 เป็นปีแห่งการสุมไฟที่เจียนมอดและบางคนอาจจะดับไปแล้ว แบรนด์ไหนที่ออกมาแสดงความใส่ใจและเกาะกระแสข้อมูลเหล่านี้ไว้รับรองว่าน่าจะสร้างแคมเปญไวรัลดี ๆ หรือสร้างผลิตภัณฑ์ให้ถูกทางถูกใจผู้บริโภคได้ ดังนั้น ปีหน้าเราจะมีโอกาสเห็นองค์กรสร้างนวัตกรรมและบริการที่หันมาให้ความสนใจสิ่งนี้มากขึ้น เช่นเดียวกับในปีนี้มี 2 องค์กรใหญ่ที่ลุกมาเข้าเทรนด์ เห็นใจคนเหนื่อยหน่ายปรับเปลี่ยนยกใหญ่
ปี 2020 คนจะหาทางออกจาก Toxic ที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ สร้างชุมชนใหม่ที่ย่อมลงและใกล้ชิดเพื่อโอบกอดกันและกัน แสดงตัวตน รวมทั้งโต้ตอบกันอย่างมีคุณภาพ
ปรากฏการณ์สร้างโซเชียลวงแคบนี้ไม่ใช่แค่เจ้าของสื่อใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก อินสตาแกรมหรือทวิตเตอร์เท่านั้นที่พยายามจะลบบัญชีปลอมที่เกิดขึ้นมากมายออกไปเพื่อให้เหลือแค่เจ้าของบัญชีตัวจริง ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งก็มาจากการยับยั้งผู้คนที่กลั่นแกล้งกันบนโลกเสมือน และลดการเผยแพร่ข้อมูลเท็จต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาบนโลกออนไลน์จากบัญชีผีหรือที่เราเรียกกันว่า แอคฯ หลุม
นอกจากสื่อใหญ่ที่ประกาศตัวว่าจะลดจำนวนผู้ใช้ไร้ตัวตนลงแล้ว คนที่นำเทรนด์นี้มาสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างสังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นก็เริ่มทยอยเกิดขึ้นในปีนี้ โดยออกแบบให้มีความเฉพาะทางเหมาะกับผู้ใช้ และนี่คือตัวอย่างที่เกิดขึ้นในปีนี้
OUR OPINIONS
จากที่เราดูมาทั้งหมด ส่วนตัวคิดว่าเรื่อง Green Pressure กับ The Burnout น่าจะใกล้กับบ้านเรามากที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่สังคมกำลังตื่นตัว ทั้งเรื่องการลดใช้พลาสติกและอุดหนุนของที่สามารถย่อยสลายได้ ส่วน Burnout เรามองมันพ่วงกับการรักษาสุขภาพจิตทางเลือกที่เราเริ่มเห็นเพิ่มขึ้น ทั้งทางแอปพลิเคชันการปรึกษาและโซเชียล หรือปัญหาเรื่องการนอนหลับเราก็เห็น Youtuber ชาวไทยหลายคน ทำคลิป ASMR มากขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเครื่องยืนยันเทรนด์ได้ดี ส่วนเรื่องอื่นอย่าง Avartars ที่ใช้การลงทุนมาก หรือการสร้างนวัตกรรมล้ำ ๆ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาและการลงทุนสูงเราคงเห็นภาพชัดเจนจากต่างประเทศมากกว่า
เทรนด์เป็นเรื่องมาเร็ว แต่บางอย่างอาจอยู่นานและมีผลกับพวกเรากว่าที่คิด แล้วชาว UNLOCKMEN ล่ะ คิดว่า 5 เรื่องนี้ เรื่องไหนเป็นกระแสหลัก เรื่องไหนเป็นกระแสรอง ?