World

“โรคร้ายทำคนตายมากกว่าสงคราม” 5 โรคระบาดร้ายแรงในประวัติศาสตร์โลก

By: TOIISAN April 8, 2020

เมื่อพูดถึงการสูญเสียของมนุษยชาติ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงสงครามโลก สงครามนิวเคลียร์ หรือการก่อการร้าย แต่แท้จริงแล้วการสูญเสียประชากรโลกอย่างมหาศาลเกิดขึ้นจากโรคระบาดมากกว่า จำนวนผู้คนหลายร้อยล้านจากไปด้วยเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย รวมถึงในเวลานี้ที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤตไวรัสอีกครั้ง

UNLOCKMEN จึงอยากย้อนเวลากลับไปในอดีตเพื่อดูว่าก่อนหน้านี้มีโรคระบาดอะไรบ้างที่คร่าชีวิตของผู้คนจนนับไม่ถ้วน และความน่ากลัวของโรคระบาดที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดนั้นน่ากลัวไม่น้อยไปกว่าระเบิดนิวเคลียร์หรือรถถังของฝ่ายศัตรูช่วงสงคราม

 

THE BLACK DEATH 

กาฬโรคสีดำจากสัตว์ฟันแทะ 

“ความตายสีดำ” “โรคห่า” หรือ “กาฬโรค” คือชื่อของโรคระบาดร้ายแรงเกิดจากแบคทีเรียเยอร์ซิเนีย เปสติส (Yersinia Pestis) ทั้งคนและสัตว์ก็สามารถติดเชื้อนี้ได้ โดยสัตว์ฟันแทะอย่างกระรอก กระจง กระต่าย และหนู มีเชื้อชนิดนี้อยู่ในร่างกายอยู่แล้ว 

เชื้อสามารถแพร่ไปตามอากาศ ผู้ป่วยกาฬโรคมักเกิดอาการหลากหลายแล้วแต่กรณี เช่น ต่อมน้ำเหลืองโตส่งผลให้มีไข้ หนาวสั่น ปวดหัวรุนแรง เกิดความผิดปกติทางระบบหายใจ บางคนไอเป็นเลือดจนอาจเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยใกล้ตายผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นสีดำเพราะเลือดคั่งบริเวณหนังกำพร้า จึงทำให้ใคร ๆ ต่างเรียกกาฬโรคว่าความตายสีดำ 

ด้วยความรุนแรงทำให้ผู้ป่วยสามารถตายได้ใน 24 ชั่วโมง ส่งผลให้กาฬโรคเป็นแบคทีเรียคร่าชีวิตของผู้คนจำนวนมากที่ยากจะมีเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียชนิดอื่นมาสู้ได้

แรกเริ่มที่มีการบันทึกประวัติศาสตร์โลกพบว่ากาฬโรคหรือโรคห่าเกิดขึ้นครั้งแรกในจักรวรรดิไบแซนไทน์ และแพร่กระจายไปถึงอียิปต์ เอเชียกลาง และเข้าสู่กลางกรุงคอนสแตนติโนเปิลอันโด่งดัง ผู้คนล้มตายกันวันละเป็นหมื่นคน กินเวลานานกว่า 50 ปี จนเหตุการณ์ครั้งนี้ถูกเรียกว่ากาฬโรคแห่งจัสติเนียน (Plague of Justinian) 

หลังจากนั้นกาฬโรคยังก่อวิกฤตในช่วงยุคมืดของทวีปยุโรป ส่งผลให้ประชากร 1 ใน 3 ของยุโรปเสียชีวิตจำนวนมากกันแทบทุกวันรวมแล้วกว่า 25 ล้านคน ชุมชนส่วนใหญ่ติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้จากการถูกหมัดที่อาศัยอยู่บนตัวของสัตว์มีเชื้อกาฬโรคกัดเข้า รวมถึงการกินสัตว์ฟันแทะมีเชื้อก็สามารถทำให้แบคทีเรียกระจายเข้าสู่ร่างกายได้ 

อังกฤษช่วงปี 1400 เกิดเหตุการณ์ “The Great Plague of London” คร่าชีวิตประชากรชาวอังกฤษจาก 450,000 จนเหลือเพียงแค่ 60,000 คน นับเป็น 70% ของประชากรทั้งประเทศ การระบาดใหญ่ในยุโรปแพร่กระจายไปทั่วโลกทั้งเอเชียใต้ แอฟริกา เข้าสู่ประเทศจีนผ่านเส้นทางสายไหม (Silk Road) และกระจายไปทั่วทั้งเอเชียรวมถึงประเทศไทย (ว่ากันว่าคนไทยติดเชื้อจากหนูที่มากับเรือสินค้าเมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย) ส่งผลให้มีคนตายทั่วโลกรวมแล้วมากกว่า 100 ล้านคน 

ความตายสีดำ คนตายหลายยุคหลายทวีปตั้งแต่ยุคจักรวรรดิไบแซนไทน์ ยุโรปศตวรรษที่ 17 ในไทยช่วงรัตนโกสินทร์ จีนแผ่นดินใหญ่ รวมแล้วกว่า 200 ล้านคน

 

SMALLPOX

โรคฝีดาษที่ฝรั่งเอาไปติดคนอเมริกันพื้นเมือง

โรคฝีดาษถูกเรียกด้วยชื่อหลากหลายทั้ง “ไข้ทรพิษ” หรือ “ไข้หัว” โรคติดต่อร้ายแรงจากดีเอ็นเอไวรัสสองชนิดคือ Variolar major ที่เป็นไข้ทรพิษชนิดร้ายกับ Variolar minor ไข้ทรพิษชนิดอ่อนกว่า 

ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการผื่นขึ้นตามร่างกาย ปวดตามตัว ไข้ขึ้นสูง มีอาการแทรกซ้อนอย่างกระดูกอักเสบ เกิดความผิดปกติกับระบบทางเดินหายใจ เยื่อบุตาอักเสบ สมองอักเสบ และอาการชัก แถมเชื้อยังติดไปกับละอองสารคัดหลั่งของคนที่เป็นโรคจากการจาม ไอ หรือสั่งน้ำมูก น้ำเหลืองจากแผลผื่น จากนั้นไวรัสจะกระจายไปในอากาศติดจากคนสู่คนได้ง่ายดาย 

มีนักประวัติศาสตร์จำนวนไม่น้อยเชื่อว่าฝีดาษเกิดขึ้นมานานนับหมื่นปีก่อนเริ่มคริสตกาล จากการตรวจมัมมี่ฟาโรห์รามเสสที่ 5 แห่งอียิปต์ ก็พบว่าเขาสวรรคตด้วยโรคฝีดาษ ถูกนับว่าเป็นโรคประจำถิ่นของอินเดีย บังกลาเทศ ปากีสถาน และประเทศเอธิโอเปียในทวีปแอฟริกา แต่สามารถพบโรคนี้ได้ทั่วโลกเช่นกัน รวมถึงชาวยุโรปที่เดินทางข้ามทะเลไปยังโลกใหม่อย่างทวีปอเมริกา ก็นำฝีดาษไปแพร่ให้กับกลุ่มชนพื้นเมืองจนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก

ค.ศ. 735 เกิดการระบาดของโรคฝีดาษที่ประเทศญี่ปุ่นโดยคาดว่ารับเชื้อไวรัสมาจากชาวจีน ส่งผลให้คนญี่ปุ่นเสียชีวิตนับเป็น 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรทั้งหมดในเวลานั้น ส่วนทางฝั่งยุโรประบาดหนักช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เสียชีวิตกว่า 400,000 ราย จนมาถึงกลางศตวรรษที่ 20 ทั่วทั้งยุโรปและแอฟริกาต่างเผชิญกับการระบาดของโรคฝีดาษ

ประเทศไทยมีบันทึกว่าฝีดาษเข้ามาในอาณาจักรตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ อ้างอิงจากบันทึกของหมอบรัดเลย์ระบุว่าช่วงรัชกาลที่ 3 ก็เกิดการระบาดของฝีดาษ ซึ่งโรคชนิดนี้ยังคร่าชีวิตของผู้คนอยู่เสมอมา และปะทุหนักอีกครั้งช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 

เมื่อทหารญี่ปุ่นจับเชลยศึกชาวพม่าและชาวยุโรปมาสร้างรถไฟในประเทศไทย กลุ่มกรรมกรหลายเชื้อชาติต่างติดโรคฝีดาษราว 36,394 คน รวมถึงทหารญี่ปุ่นที่พาโรคนี้กลับไปยังเกาะอีกครั้งส่งผลให้มีคนเสียชีวิตในญี่ปุ่น 15,621 คน นับผู้เสียชีวิตรวมกันได้มากถึง 500 ล้านคน ตลอดช่วงเวลากว่า 100 ปี

 

SPANISH FLU

ไข้หวัดใหญ่สเปนที่ไม่ได้เกิดที่สเปน

ไข้หวัดใหญ่สเปนเกิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ถือเป็นไข้หวัดใหญ่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากเป็นปรากฏการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ สาเหตุที่เรียกว่าไวรัสสเปนเป็นเพราะคนเวลานั้นเชื่อกันว่าประเทศสเปนคือพื้นที่ต้นตอของการระบาด 

อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลอ้างอิงจากหนังสือประวัติศาสตร์บันทึกว่าเกิดโรคระบาดช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่หลายประเทศที่เข้าร่วมสงครามไม่อยากประกาศให้ประชาชนรับรู้เพราะกลัวผู้คนเสียขวัญกำลังใจ ประเทศสเปนที่วางตัวเป็นกลางจึงออกมาประกาศเรื่องการระบาดของไข้หวัดใหญ่ จนทำให้ผู้คนคิดว่าประเทศสเปนคือพื้นที่แรกที่มีคนป่วย เลยเรียกกันว่าไข้หวัดใหญ่สเปนมาถึงปัจจุบัน 

หลังสงครามสิ้นสุดลง ผู้คนต่างออกจากบ้านมาร่วมฉลองกับความสงบ มีขบวนพาเหรดใหญ่ในหลายประเทศเพราะสร้างกำลังใจให้กับเหล่าทหารและพลเรือน การรวมตัวกันของผู้คนจำนวนมากทำให้ไวรัสแพร่กระจายยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ดังเช่นขบวนพาเหรดเมืองฟิลาเดลเฟีย หลังจากจบงานเพียงไม่กี่วันก็พบว่ามีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สเปนถึง 635 ราย อีกเดือนกว่า ๆ ก็มีคนเสียชีวิตนับหมื่นคน ในรอบหกเดือนนับแค่ประชาชนในฟิลาเดลเฟียมีคนติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สเปนกว่า 500,000 คน 

ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดใหญ่สเปนจะมีอาการไข้ขึ้นสูงแบบฉับพลัน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ปวดหัว มีน้ำมูก อ่อนเพลียเบื่ออาหาร บางคนอาจมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น หายใจไม่ออก และมีเลือดออกในร่างกาย

ช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สเปนระบาดหนักถือว่าร้ายแรงมากในบรรดาไข้หวัดที่เคยมีมา ประชากรทั่วโลกร้อยละ 50 ป่วยเป็นโรคนี้ หรือนับเป็น 1 ใน 3 ของประชากรโลก มีผู้เสียชีวิตมากถึง 50 ล้านคน บางคนยังเป็นวัยรุ่นวัยทำงานแต่พอป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สเปน ดูอาการอยู่ 2-3 วันเสียชีวิตก็มี 

 

HIV

โรคติดต่อร้ายแรงที่มักเกิดจากเพศสัมพันธ์ 

Human immunodeficiency virus หรือ HIV เป็นไวรัสที่ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติ เรียกง่าย ๆ ว่าจะทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย ไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้หลายทาง เลือด อสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด หรือแม้กระทั่งน้ำนม แต่สาเหตุส่วนใหญ่ของการแพร่กระจายของเชื้อส่วนใหญ่เกิดจากเพศสัมพันธ์ เข็มฉีดยาใช้ซ้ำและการติดจากแม่สู่ลูก 

นักวิจัยอเมริกันพบต้นตอไวรัส HIV จากลิงชิมแปนซี สันนิษฐานว่าเชื้อไวรัสจากลิงสามารถวิวัฒนาการเหมือนกับที่พบในมนุษย์ จนกระทั่งปี 1969 ชายชาวแอฟริกัน-อเมริกัน วัย 15 ปี เสียชีวิตในโรงพยาบาลจากโรคมะเร็ง แต่กลายเป็นว่าหลายสิบปีต่อมานักวิจัยพบว่าเนื้อเยื่อและเลือดของชายคนนี้ที่ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อศึกษานั้นมีเชื้อไวรัส HIV คาดเดาว่าชายคนนี้อาจมีอาชีพขายบริการมาก่อน แม้ว่าเขาจะไม่ได้กรอกประวัติในส่วนนี้ไว้ก็ตาม

องค์การอนามัยโลกหรือ WHO จัดให้ HIV เป็นโรคระบาดร้ายแรงในปี 2006 ประมาณการไว้ว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ทั่วโลกมากกว่า 25 ล้านคน ตั้งแต่การพบผู้ป่วยตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 1981 พร้อมกับการให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วทั้งโลกถึงอันตรายของโรคชนิดนี้เพราะปัจจุบันก็ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ 

 

CHOLERA

ท้องร่วงตัวเป็นสีเทาจากอหิวาตกโรค

ว่ากันว่าอหิวาตกโรคเป็นโรคระบาดประจำถิ่นของทวีปเอเชียและทวีปอินเดีย เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียวิบริโอ คอเลอเร (Vibrio Cholerae) บริเวณลำไส้เล็ก สาเหตุหลัก ๆ เกิดขึ้นมาจากคนสมัยก่อนดื่มน้ำ ทานอาหารที่ไม่สะอาดหรืออาหารที่ถูกแมลงวันตอม ส่งผลให้ผู้ที่มีเชื้อไวรัสชนิดนี้จะมีอาการเบื้องต้นอย่างปวดท้อง ถ่ายเป็นน้ำ อุจจาระราด และอาเจียน ส่วนผู้ป่วยอาการรุนแรงอาจทำให้ผิวสีออกเทาได้ 

แรกเริ่มการติดเชื้ออหิวาตกโรคเริ่มต้นขึ้นแค่กลุ่มเล็ก ๆ แถบลุ่มแม่น้ำคงคา ธารน้ำสายหลักที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของชุมชน แต่จากจุดเล็ก ๆ ก็เริ่มขยายไปยังทั่วทุกมุมโลก เพราะการไหลไปตามกระแสน้ำ และไปกับพวกพ่อค้าทั้งการค้าทางบกและทางทะเลจนทำให้เกิดการระบาดใหญ่กว่า 7 ครั้ง กลายเป็นโรคติดต่อที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเยอะเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก 

“ที่กรุงเทพฯ ตายทั้งหญิงทั้งชาย ศพที่ป่าช้าศาลาดินในวัดสระเกษ วัดบางลำพู วันบพิตรพิมุข วัดปทุมคงคา และวัดอื่น ๆ ก่ายกันเหมือนกองฟืน แลที่ลอยน้ำเกลื่อนกลาดไปทุกแห่ง จนพระสงฆ์หนีออกจากวัด คฤหัสถ์ก็หนีออกจากบ้าน” 

ข้อความที่ถูกบันทึกไว้ช่วงรัชกาลที่ 2 ทำให้เห็นว่าประเทศไทยก็พบเจอกับอหิวาตกโรคด้วยเช่นกัน ทั้งพระและคฤหัสถ์ (ประชาชนที่มีบ้าน) ต่างได้รับผลกระทบจากการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อ ศพที่ล้นป่าช้ากับศพลอยอยู่เต็มแม่น้ำทำให้ชาวบ้านที่เหลืออยู่ไม่สามารถดื่มและใช้น้ำจากแม่น้ำได้ 

ถัดมายังรัชกาลที่ 3 ก็ยังมีโรคระบาดหนักนานหนึ่งเดือน เหตุการณ์โรคระบาดช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ส่งผลให้มีคนเสียชีวิตจากโรคนี้ราว 40,000 คน (หนังสือพิมพ์ภาษาต่างประเทศรายงานว่าช่วงหนึ่งเดือนในสมัยรัชกาลที่ 3 มีคนตายกว่า 5,000 คน) แถมยังเกิดเหตุการณ์ใหญ่ปี 2392 ถูกเรียกว่า “ห่าลงปีระกา” เพราะศพที่วัดสระเกศมีจำนวนมาก ฝูงแร้งก็แห่ไปจิกกินศพ ทั้งวัดเต็มไปด้วยแร้งเกาะหลังคาวัด เกาะตามกิ่งไม้รอคนขนศพมาเพิ่มจนเกิดวลี “แร้งวัดสระเกศ” ที่คุ้นหูมาถึงปัจจุบัน 

อหิวาตกโรคเกิดขึ้นอีกในสมัยรัชกาลที่ 4-5 เชื้อโรคกลับมาอีกครั้งจากการคมนาคมของผู้คนที่เข้า-ออก ประเทศได้ง่ายขึ้น แต่ข้อดีที่ตามมาคือระบบสาธารณสุขกับการรักษาโรคที่ทันสมัยของชาติตะวันตกที่เข้ามาเลยทำให้อหิวาตกโรคไม่น่าสะพรึงกลัวเหมือนช่วงต้นอีกต่อไป 

 

โรคระบาดที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลกทั้ง 5 ที่เราหยิบมาเล่าในวันนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโรคและเชื้อไวรัสอีกหลายพันชนิดที่สามารถทำให้มนุษย์พากันล้มตายได้ แม้ในปัจจุบันจะมีโรคร้ายใหม่ ๆ เกิดขึ้น แต่เวลาเดียวกันเทคโนโลยีและการรักษาโรคก็ทันสมัยขึ้นไม่แพ้กัน

SOURCE 1 / 2 / 3 / 4 / 5

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line