Business

“ผมคือนักวิทยาศาสตร์” : เจาะลึกพลังบวกจากตัวตนยอดคนพลังสูง ‘วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา’

By: PEERAWIT March 16, 2018

การใช้ชีวิตบนโลกสุดท้าทายใบนี้ต้องใช้ พลังงาน’ มากมายเป็นแรงขับเคลื่อน ต้องใช้ ‘passion’ แรงกล้าในการผลักดันตัวเอง ต้องใช้ ความกล้า’ ขั้นสุดในการเผชิญทุกสิ่งที่ขวางหน้า และต้องมี ‘Positive thinking’ ที่จะช่วยเปลี่ยนพลังจากข้างในให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้

ทีมงาน UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยกับชายที่มีทุกข้อที่กล่าวมาอย่างเหลือล้น และได้สัมผัสตัวตนทางความคิดของเขาในแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อน จนหายสงสัยไปเลยว่าทำไมชายที่ชื่อว่าวู้ดดี้วุฒิธร มิลินทจินดา ถึงได้ทรงพลังขนาดนี้  ทรงพลังขนาดที่ว่า ทุกคนที่ได้อยู่รอบตัวของเค้า จะต้องซึมซับเอาพลังงานบวก เอาแรงบันดาลใจ เข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าถามว่าคุยกับใครแล้วถึงกับขนลุก พูดแบบไม่โอเวอร์เลยว่า การคุยกับคุณวู้ดดี้ ให้ความรู้สึกแบบนั้นได้จริง ๆ

เรารู้จักคุณวู้ดดี้ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ‘Woody World’ เรียลลิตี้ทอล์กโชว์สุด exclusive ที่ออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ เวลา 22.15 – 23.30 . ทางช่อง Workpoint 23 รวมถึงแพลตฟอร์มอื่นอย่าง Facebook และ YouTube นอกจากนี้ยังมีรายการสร้างแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นอย่างคนแปลงร่างส่วนงานนอกจอที่โดดเด่นก็คือการจัดเทศกาลดนตรี ‘S2O’ อีเว้นต์สุดมันส์วันสงกรานต์ที่ใครหลายคนเคยไป

นั้นคือสิ่งที่ทุกคนมองเห็น แต่สิ่งที่เขาเป็นคืออะไร ?

 

ผมคือนักวิทยาศาสตร์

เรามาเยือนคุณวู้ดดี้ถึงโลกของเขา ที่ บริษัท วู้ดดี้เวิลด์ จำกัด อาณาจักรที่เขากับทีมงานสร้างสรรค์ผลงานออกสู่ภายนอก ชายที่ทุกคนรู้จักให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พูดคุยกันแบบสบาย ทำให้เราเข้าถึงตัวตนชายคนนี้ได้ไม่ยาก

เวลาที่ทุกคนบอกว่าผมคือพิธีกร เป็นนักจัดรายการ ผมก็ยินดีที่จะเป็น แต่ผมขอแชร์กับ UNLOCKMEN เป็นที่แรกว่าผมคือนักวิทยาศาสตร์ ผมชอบทดสอบ ผมทดลองทั้งความคิด ความรู้สึก รวมถึงไอเดียใหม่ และเชื่อว่าเราจะต้องทำวิจัยกันทุกวันทั้งกับตัวเองและกับสังคม ทุกคอนเท้นต์ที่ผมทำจะต้องทำให้ชีวิตคนดีขึ้น

“ผมขอแชร์กับ UNLOCKMEN เป็นที่แรกว่าผมคือนักวิทยาศาสตร์”

นี่คือมุมมองใหม่ของเขาที่มีต่อตัวเองในปัจจุบันหลังจากสั่งสมประสบการณ์มานาน ซึ่งเป็นคำตอบที่เราได้ยินแล้วอยากรู้ขึ้นมาเลยว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ มีสิ่งใดในตัวคุณวู้ดดี้ที่เปลี่ยนไปอีกไหม ?

สิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดคือทุกวันนี้ผมได้ความรู้สึกใหม่ ตลอดเวลาจากการฟังคนอื่นมากขึ้น สมัยก่อนเวลาที่ผมพูด ผมจะไม่ฟังใคร เวลาอยู่ในที่ประชุมก็จะแล้วแต่อารมณ์ ถ้าคนพูดตื่นเต้นมากก็ไม่อยากฟัง แต่เมื่อเราได้ตั้งใจฟังเราจะรู้เลยว่า ลูกน้องคนนี้ป่วยละ มีปัญหากับแฟนมา หรือคนคนนี้ต้องการความรักมากขึ้น หรือไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ พอเราฟังปุ๊ป ทุกอย่างมันเบามาก ถ้าเราไม่ฟังมันก็จะเหมือนกับตั้งการ์ดดวลกัน เถียงกัน พอเปิดใจฟังเราจะรู้เลยว่าความต้องการเบสิคของทุกคนคืออยากเป็นที่ยอมรับ ไม่มีใครอยากพลาดหรอก เราต้องยอมรับเขาก่อน

“สิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดคือทุกวันนี้ผมได้ความรู้สึกใหม่ ตลอดเวลาจากการฟังคนอื่นมากขึ้น”

จากที่ติดตามผลงานของพี่มา สไตล์การถามคำถามของพี่ค่อนข้างจะซัดแบบตรง ๆ บางทีแขกรับเชิญก็เหวอไปเลย เดี๋ยวนี้ยังเป็นอยู่ไหม ?

“ตอนที่พี่เลิกถามคำถามว่า จริงหรือเปล่าที่คุณ… ? มีคนมาบอกว่าทำไมพี่ไม่ถามอย่างนั้นอีก พี่ก็ถามตัวเองว่า เห้ย ทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นอีกอะ วันนั้นพี่รู้สึกว่ามันใช่ เราอยากได้เรตติ้ง เราก็เลยถามแรง ๆ เราคิดว่าคนน่าจะชอบ แต่วันนี้พี่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ บางทีครีเอทีฟเขาเขียนคำถามขึ้นในคิวว่า รู้สึกยังไงที่คุณเป็นข่าว ? โห พี่อุทานว่าเหี้ยในหัวเลยนะ แล้วตอนนี้ก็เอามาด่าตัวเองด้วย สิบปีที่แล้วถามแบบนั้นไปได้ยังไง คนโดนถามเขาก็ต้องรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว เขาเป็นข่าว เขาผ่านอะไรมาเยอะ เราควรจะให้กำลังใจเขา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ ทุกเหตุการณ์มันเกิดขึ้นเพื่อสอนเรา พี่ควรจะถามว่าคุณได้เรียนรู้อะไรจากมัน ? เราเสียเวลามาเยอะกับการถามคำถามที่ผิด คำถามที่ควรถามควรเป็นคำถามเชิงคุณภาพ You have to ask the right questions

“เราเสียเวลามาเยอะกับการถามคำถามที่ผิด คำถามที่ควรถามควรเป็นคำถามเชิงคุณภาพ”

ถ้าอย่างนั้นขอถามคุณวู้ดดี้ว่า ผ่านร้อนผ่านฝนผ่านหนาวมาขนาดนี้ มองตัวเองตอนวัยรุ่นว่าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วได้ learning  อะไร ?

“ด้วยความที่ว่าเราเป็นเกย์ ตอนวัยรุ่นเราเคยคิดไปเองว่าเราต้องทดแทนด้วยการทำให้ตัวเองเป็นคนดูมั่นใจ ดูเก่ง เพื่อจะได้กลบความเป็นเกย์ ฝึกมาตั้งแต่เด็ก สมัครเป็นประธานชมรมแล้วก็รู้สึกมีพาวเวอร์ ต้องอยู่หน้าห้อง ต้องเป็นที่หนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่าเราแค่ต้องการความรัก แค่นั้นเอง อยากให้พ่อแม่ยอมรับ พอทำงานก็ต้องการเรตติ้ง ต้องแรง เดินเข้ามาในห้องแล้วต้องข่มทุกคน พอมองกลับไปก็รู้สึกว่าสงสารเด็กคนนั้น แต่ก็ดี เพราะถ้าไม่มีวันนั้นก็ไม่มีวันนี้” 

“เราเคยคิดไปเองว่าเราต้องทดแทนด้วยการทำให้ตัวเองเป็นคนดูมั่นใจ ดูเก่ง เพื่อจะได้กลบความเป็นเกย์”

เป็นที่ทราบกันดีว่าคุณวู้ดดี้ผ่านการเปลี่ยนแปลงและเผชิญกับบททดสอบมามากมายในฐานะคนของสังคม ทั้งความท้าทายบนหน้าจอ การแข่งขันเข้มข้นในเรื่องของคอนเท้นต์ และธุรกิจที่มีความเสี่ยงเป็นปัจจัย ถ้ากลัวก็คงไม่ไหว ถ้าไม่สู้ก็คงหมดพลัง และถ้าไม่กล้าก็คงพังไปแล้ว แต่มนุษย์อย่างเราย่อมมีความรู้สึกหวั่นกันบ้างเป็นธรรมดา เพียงแต่สาระมันอยู่ที่ว่า คุณจัดการกับความกลัวได้อย่างไร ? 

Fuck fear! ต้องท่องทุกวัน fear มันก็เหมือนม้าที่คุณขี่ ถ้าคุณปล่อยให้ม้าพาคุณไปโดยไม่คอนโทรล ความกลัวก็จะพาคุณไปไหนก็ได้ รู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้ว คุณต้องควบคุมจิตใจคุณ อย่าปล่อยให้ใจลอยไป หรือถามเดือนถามดาวเหมือนเนื้อเพลงไทย(หัวเราะ) คุณต้องถามใจตัวเองสิ ต้องมีสติในการข่มใจ สมมุติว่าคุณจะขึ้นพูดต่อหน้าคน 80,000 คนมันก็ต้องมี fear เป็นธรรมดา แต่เราจะ fear จน fail เหรอ คุณต้องออกรบบ่อย ๆ เพื่อฝึกเผชิญหน้ากับ fear ถ้าคุณมัวแต่ซ่อนตัวอยู่ใน comfort zone คุณก็จะเป็นอย่างนี้ทุกงาน เวลาที่ผมสบตาพูดกับใครแล้วได้ยินคำพูดบาดใจ ผมจะไม่กลัว ผมจะเคลียร์ตรงนั้นเลย และถ้าคำพูดเราเวลามันแทงใครเราต้องดึงหอกออกเดี๋ยวนั้นเลย เราจะไม่รอ”

Fuck fear! ต้องท่องทุกวัน”

 

Yes Man

นั่งพูดคุยกับคุณวู้ดดี้มาพักหนึ่ง รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนที่เข้าถึงยากหรือนัดยากเลย ทุกอย่างดูสมูธไปหมด ไม่ใช่ชายที่ ‘เยอะ’ อย่างที่คิด อะไรคือสิ่งที่ปลดล็อกเงื่อนไขการใช้ชีวิตของคุณ ? 

“ผมจะ say ‘Yes’ กับทุกอย่าง ผมทิ้งคำว่า ‘ดูก่อน’ ในหัวไปหมดแล้ว สำหรับผมคือ ‘ททท’ หรือ ‘ทำทันที’ UNLOCKMEN จะมาสัมภาษณ์ พี่ตอบเลยว่าโอเค ไม่ต้องมีเงื่อนไขมากกับชีวิต ผมเชื่อว่าทุกอย่างในชีวิตมันเตรียมมาไว้ให้คุณแล้ว คนดี ๆ เรียงมาให้คุณตลอด คุณต่างหากที่ปฏิเสธ สมัยก่อนผมจะเยอะมาก แป๊ปนึงนะ ขอดูปฏิทินก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน พอเจอกับตัวเองบ้าง เวลาที่แขกรับเชิญไม่มีคิวก็เลยเข้าใจ เราโทษเขาไม่ได้ เราไม่มีสิทธิตัดสินใคร

เคยคิดนะว่าทำไมแขกรับเชิญไม่กล้ามา อ่อ ถ้าเราคิดจากมุมเขา การเจอกับเราก็อาจจะหนักไป ตอนนี้ผมเบามากเลย ใครไม่สะดวกผมไม่มีปัญหา เปิดกว้างมาก เอาตามเวลาแขกรับเชิญด้วย เราต้องเอนไปหาเขา ในโซเชียลเน็ตเวิร์กก็เหมือนกัน เมื่อก่อนผมอารมณ์เสียเวลาใครวิจารณ์ผมแรง ๆ แต่เดี๋ยวนี้ผมจะขอบคุณ และพิจารณาตัวเอง ยอมรับความผิดพลาด”

“ผมจะ say Yes กับทุกอย่าง ผมทิ้งคำว่า ดูก่อน ในหัวไปหมดแล้ว สำหรับผมคือ ททท หรือ ทำทันที”

 

Anything is possible

เรารู้แล้วว่าตัวตนและทัศนคติของคุณวู้ดดี้ในตอนนี้เป็นอย่างไร มาถึงเรื่องงานกันบ้าง คุณวู้ดดี้มีเคล็ดลับอะไรในการบริหารงาน ?

“ผมเชื่อว่าคนที่ไม่ค่อยมีความรู้แต่มีกลยุทธ์ กับคนที่มีความรู้แต่ไม่มีกลยุทธ์ ผมว่าคนมีกลยุทธ์น่าจะเวิร์กกว่าคนที่ฉลาดแต่ไร้ strategy คุณต้องมีกลยุทธ์ เริ่มฝึกได้จากเรื่องใกล้ตัว การจัดบ้านนี่แหละ มันเป็นการฝึกที่ดี คุณจะทำยังไงที่จะไม่ให้ในบ้านมีแต่ขยะถมไปหมด ถ้าเอาของที่คนอื่นให้มาไปหมกก็เหมือนการหมกปัญหา ถ้าคุณจัดบ้าน จัดพื้นที่ของคุณให้มัน mimimal ที่สุดได้ พอคุณออกไปข้างนอกคุณจะได้กระบวนการคิดในการบริหารเรื่องในบ้านไปประยุกต์ใช้  อีกอย่าง เราต้องดูว่าใครเป็น giver หรือ taker จงเชื่อใน sense ตัวเอง อย่าดูถูกมันเด็ดขาด”

“จงเชื่อใน sense ตัวเอง อย่าดูถูกมันเด็ดขาด”

แล้วมันไม่ยากเหรอ การจะทำงานใหญ่ที่ใคร ๆ เขาคิดว่าคุณไม่น่าจะทำมันได้ ?

“สำหรับผม Anything is possible ทุกอย่างเป็นไปได้ จงอย่าดูถูกพลังของตัวคุณเองในการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้น ต้องมีใจที่แน่วแน่มาก ถ้าคุณไม่แน่วแน่ใครมันจะแน่วแน่กับคุณ ผมปลูกฝัง mindset เรื่องทุกอย่างเป็นไปได้ให้กับทีมงานทุกคน และมันเห็นผล ถ้าบ่นก็แพ้แล้ว โปรเจ็คต์บางตัวล่มก็ให้มองดูว่าเรื่องดี ๆ จากการสูญเสียคืออะไร เวลาเรา break down เราต้องหาว่าเราเรียนรู้อะไรได้บ้าง ทุกอย่างเป็นโอกาส”

“พูดถึง S2O มันเริ่มจากการตั้งคำถามว่าเราจะจัดเทศกาลดนตรีในช่วงสงกรานต์ได้อย่างไร ทุกคนก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ ผมชอบมากเวลาที่คนพูดแบบนี้ ผมจะตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรให้มันเกิดขึ้นได้แล้วหาวิธี จนผมทำให้มันเป็นไปได้ แล้วก็ทำต่อ ๆ แล้วก็หาคนเจ๋ง ๆ มา run พอมันไปได้ดีผมก็ไปทำฝันอย่างอื่นให้เป็นจริงต่อ”

การประสบความสำเร็จว่ายากแล้ว คุณวู้ดดี้มีวิธีการรักษาความสำเร็จอย่างไร ?

“ผมพยายามคิดว่าผมจะต้องวิ่งเข้าเส้นชัยในการแข่งขันมาราธอนให้ได้ ผมต้องเพิ่ม pace ตัวเอง พอเข้าเส้นชัยเสร็จปั๊ปก็ต้องฉลอง เพื่อยินดีกับตัวเอง ยินดีกับทีม แล้วค่อยมาว่ากันที่เป้าต่อไป เราจะซ้อมอย่างไรเพื่อไปกันต่อ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราเอาชนะตัวเองได้ในทุกแมตช์เป็นเวลายาวนานขึ้น คือ ‘ดี’ ไม่พอ ‘เยี่ยมยอด’ ไม่พอ ต้อง ‘เหนือมาตรฐาน’ และ make sure ว่าในสายเลือดของทีมคุณมันต้องเหนือมาตรฐานด้วย อีกอย่างต้องรู้จักลง ยอดเขามันไม่ได้ยืนได้เป็นสิบคน คุณต้องให้คนอื่นขึ้นมาบนยอดเขาบ้าง บางทีบรรยากาศในหุบเขาก็อาจจะดีก็ได้ อยู่หลังเขาก็ได้สนับสนุนคนอื่น เราต้องรู้จักแบ่งปัน”

“ยอดเขามันไม่ได้ยืนได้เป็นสิบคน คุณต้องให้คนอื่นขึ้นมาบนยอดเขาบ้าง บางทีบรรยากาศในหุบเขาก็อาจจะดีก็ได้ อยู่หลังเขาก็ได้สนับสนุนคนอื่น”

 

ทุกนาทีบนโลกนี้มีค่า

จากเรื่องงาน มาถึงเรื่องชีวิตกันบ้าง เรามักจะได้ยินคำแนะนำจากคนที่ประสบความสำเร็จเสมอ ว่าให้ใช้เวลาให้คุ้มค่าในการพัฒนาตัวเอง แต่ในเคสของคุณวู้ดดี้ ดูเหมือนว่าจะเกินคุ้ม เราถามเขาไปว่า ชีวิตนอกเวลาทำงานของเขาเป็นอย่างไร ?

“ชีวิตมันมีค่ามาก ผมจะนอนดูหนังอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้แล้ว เราไม่มีเวลาไปนั่งร้านกาแฟแล้วก็ถ่ายรูปเซลฟี่ สมัยก่อนนั่งร้านกาแฟคุยเรื่องชาวบานได้ทั้งวัน สนุกนะ แต่พอเริ่มรู้สึกว่าถ้าเราตายวันพรุ่งนี้หละ เราได้ทำฝันให้เป็นจริงแล้วหรือยัง เสาร์อาทิตย์ผมก็ทำงาน แต่เพราะผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นงานก็เลยเอ็นจอยกับมัน เราต้องมี passion กับมัน passion is king เดี๋ยวคอนเท้นต์ดี ๆ ก็ตามมา การช่วยคนมันไม่ใช่แค่ 5 วัน การทำสิ่งดี ๆ มันคือ 7 วัน ตอนนี้ความสุขของผมคือแบบนี้”

เคยทำรายการดังอย่าง ‘วู้ดดี้เกิดมาคุย’ รวมถึงรายการ ‘วู้ดดี้ตื่นมาคุย’ วันหนึ่งวางทุกอย่างลง ไม่เสียดายบ้างเหรอ คุณปลดล็อกตัวเองจากการยึดติดอย่างไร ? 

“ก่อนปลดล็อกคุณอาจจะมีความรู้สึกเสียดายมาขวาง ก็ต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันใช่หรือไม่ใช่ พอปลดล็อกได้คุณจะรู้สึกเจ๋งมาก เหมือนเอากุญแจออก มันเบา มันมีอิสรภาพ มันไม่ยึดติด การ unlock คือการปล่อยวางอย่างหนึ่ง อะไรก็ตามที่คุณแบกอยู่แล้วมันหนักก็วางลงซะ อะไรที่เบาก็รักษาไว้ แค่นี้มลภาวะของชีวิตก็จะหมดไป”

“การ UNLOCK คือการปล่อยวางอย่างหนึ่ง อะไรก็ตามที่คุณแบกอยู่แล้วมันหนักก็วางลงซะ อะไรที่เบาก็รักษาไว้”

มีภารกิจอะไรที่อยากทำให้สำเร็จในอนาคต ?

“ผมชอบออกกำลังกาย ผมอยากให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้น จากข้อมูลวิจัยบอกไว้ว่าประเทศไทยอยู่อันดับรองสุดท้ายในอาเซียนที่ประชากรมีสุขภาพดี ผมเลยมาคิดว่าจะแก้ยังไง แล้วก็พบว่าไม่ยาก ผมต้องสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยรักสุขภาพผ่านทางแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่มี ผมสร้างเทศกาลออกกำลังกาย สร้างคอนเท้นต์เกี่ยวกับการฟิตร่างกาย ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะช่วยให้คนไทยขึ้นไปอยู่ในท็อป 3 ของอาเซียนในเรื่องสุขภาพในปี ค.ศ. 2020 ไม่ก็เกินมาปี 2021 แค่เดือนเดียว”

การพูดคุยกับคุณวู้ดดี้ทำให้เราซึมซับพลังและได้รับแรงบันดาลใจมากมายเหลือเกิน เขาคือคนที่รู้จักปลดล็อกศักยภาพตัวเองออกมาและสร้างคุณค่าได้อย่างน่าทึ่ง รวมถึงมีความเป็น gentleman อย่างแท้จริงแม้เขาจะชัดเจนในแนวทางของตัวเองก็ตาม

“การเป็น gentleman ต้องให้เกียรติคนอื่นไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือเพศอื่น มึความนุ่มนวล อ่อนโยน ไม่ก้าวร้าว ใช้ใจ ไม่ได้มาจากหน้าตา แต่มาจากใจ ใคร ๆ ก็อยากอยู่ด้วย”

นับเป็นอีกหนึ่งวันที่ทีมงาน UNLOCKMEN ได้สัมผัสประสบการณ์เจ๋ง ๆ จากการพูดคุยกับคนที่เป็นแบบอย่างที่ดีในการปลดล็อกศักยภาพตัวเอง ซึ่งพลังมหาศาลที่เกิดขึ้นจากตัวคุณวู้ดดี้นั้น ทุกคนก็ทรงพลังแบบนี้ได้เช่นกันด้วยการพัฒนาทัศนคติ เรารู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ถ้าทำได้ก็สามารถสร้าง energy ที่จะเปลี่ยนตัวเองและโลกใบนี้ได้แบบสบาย ๆ

แล้วทุกอย่างในชีวิตมันก็จะเบาลง… 

PEERAWIT
WRITER: PEERAWIT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line