Leica มักจะมีกล้อง Limited Edition ออกมาเสมอ ๆ ในโอกาสสำคัญ ๆ เช่นเดียวกับการเตรียมเปิด Leica Store สาขาใหม่ใน Vienna ประเทศ Austria และเพื่อเป็นการฉลองให้กับโอกาสพิเศษครั้งนี้ Leica จึงได้นำเสนอกล้องตัวใหม่ล่าสุดในโทนสีพิเศษที่หรูหราน่าสะสมเข้าไปในตู้เก็บกล้องอีกตัว Leica M10-P Vienna Bold Grey Limited Edition กล้องตระกูล M เสียงเงียบกริบโมเดลล่าสุดจากค่ายจุดแดง ที่มากับสเปค Full-frame 24-megapixel sensor พร้อม Maestro II image processor, Shutter Speed สูงสุด 1/4000, ISO range 100 – 50,000 ซึ่งชาว Leica หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่ที่พิเศษคือบอดี้ทองเหลืองอันแข็งแกร่งภายใต้สีเทา Bold Grey สุดหรูหราไม่ซ้ำใคร จับคู่กับเลนส์ Summicron 35mm f2
หลายครั้งที่เราดู Spec รถยนต์บางรุ่งที่ได้ชื่อว่าไฮเทคสุด ๆ ในต่างประเทศ แต่เมื่อเข้ามาวางขายในประเทศไทย กลับถูกถอดเทคโนโลยีล้ำ ๆ ที่น่าตื่นเต้นเหล่านั้นออกไปจนหมด ในราคาค่าตัวที่ไม่ได้ลดลงตามไปด้วยมากนัก แต่สำหรับรถยนต์ MG ที่พวกเราน่าจะได้รู้จักกับความสามารถสุดไฮเทคกันไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย หรือการบอกตำแหน่งของรถยนต์ได้ว่ากำลังถูกขับไปไหน ล้วนเป็นเทคโนโลยีที่ต้องบอกว่าไฮเทคมาก ๆ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่หาได้จากรถยนต์รุ่นอื่นในตลาด ต่อให้เป็น Segment ที่เหนือกว่าก็ตาม ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบจากการพัฒนาค้นคว้าที่โฟกัสบนกลุ่มลูกค้าไทยโดยเฉพาะ ด้วยเหตุผลนี้ จึงไม่แปลกที่เราจะยกให้ระบบ i-SMART ของ MG เป็นเทคโนโลยีติดรถยนต์ที่สุด SMART ในราคาที่สามารถครอบครองใช้งานได้อย่างสบายใจ เพื่อตอบคำถามยอดฮิตของผู้ชายว่า Budget แบบพอดี ๆ ซื้อรถอะไรถึงจะได้เทคโนโลยีที่คุ้มที่สุด วันนี้เราจะไปเจาะลึกดูความไฮเทคของรถยนต์ MG ว่ามีความฉลาดมากแค่ไหน เพราะมันเป็นจุดเด่นที่เราแนะนำให้พิจารณาถ้าใครกำลังแพลนจะซื้อรถยนต์คันใหม่กันครับ ก่อนอื่นเราอยากให้เริ่มต้นจากที่มาที่ไปก่อน ด้วยแนวคิดของทีมพัฒนา MG Thailand ที่เน้นย้ำให้ MG เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในรถยนต์รุ่นอื่นในประเทศไทย และต้องสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าไทยให้มากที่สุด ใช้งานง่ายกับทุกเพศทุกวัย เพื่อสร้างความสะดวกสบายและปลอดภัยที่สุด แนวคิดเหล่านี้นำไปสู่การพัฒนา i-SMART ซึ่งทำให้ MG เป็นรถยนต์ที่มีความอัจฉริยะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนไทย
McLaren สร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ล่าสุดที่เน้นการออกแบบทุกจุดของรถตามหลัก Aerodynamic โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ Speedtail เป็นรถ Hybrid Hypercar ที่สานต่อตำนานของ McLaren F1 ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในรถ Production Car ที่เร็วที่สุดในยุค 90’s และแม้เวลาจะผ่านเลยมาถึงปี 2018 ก็มี Hypercar รุ่นใหม่เพียงไม่กี่คันที่มีสมรรถนะดีกว่า F1 เช่น Koenigsegg Agera RS, Bugatti Chiron เป็นต้น ด้วยมาตรฐานที่สร้างไว้อย่างสูงส่ง ก็ช่วยการันตีได้ว่าการที่ McLaren เปิดตัว Speedtail ออกมา ย่อมต้องมั่นสจว่าทำได้ดีกว่าตำนานหน้าเก่าอย่างแน่นอน นอกจากจุดเด่นจากการเป็นรถ 3 ที่นั่ง แบบพวกมาลัยวางกลางรถเหมือนใน F1 ดั้งเดิม ทาง McLaren ยังขนแรงม้ามาเพียบถึง 1,035 ตัว ซึ่งการเค้นพละกำลังทะลุหนึ่งพันแรงม้า เป็นผลลัพธ์จากการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วย แม้จะยังไม่มีรายงานด้าน Specification อย่างเป็นทางการ แต่หลายสื่อฟันธงว่าน่าจะใช้เครื่องยนต์ 4.0-litre twin turbo V8 735 แรงม้า
หลังห่างหายจากการส่งผลงานเข้าประกวดมา1 ปีเต็มๆ ลีโอเบอร์เนทท์ ประเทศไทย กลับมาผงาดอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง คว้ารางวัลเอเจนซี่ยอดเยี่ยมแห่งปี (Agency Of The Year) พร้อมรางวัลดิจิตอลเอเจนซี่ยอดเยี่ยม (Digital Agency of The Year) และอีก 39 รางวัลบนเวทีประกวดแอดแมน อวอร์ด ตอกย้ำภาพความสำเร็จจากโซลูชั่นธุรกิจที่ ‘สงกรานต์ เศรษฐสมภพ’ ประธานกรรมการบริหารเคยประกาศไว้เมื่อปี 2015 ว่าลีโอเบอร์เนทท์ คือ ‘นักแก้ปัญหาทางธุรกิจ’ หรือที่เรียกว่า Creativity for Business Solution นำเสนอพลังความคิดสร้างสรรค์จากคนคุณภาพ ตอบโจทย์ทุกปัญหาธุรกิจลูกค้าอย่างครบวงจร นายสมพัฒน์ ทฤษฎิคุณ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายสร้างสรรค์ เดอะ ลีโอ เบอร์เนทท์ กรุ๊ป ประเทศไทย (The Leo Burnett Group Thailand) เปิดใจถึงเบื้องหลังความสำเร็จจากงานประกวด แอดแมน อวอร์ด แอนด์ ซิมโปเซี่ยม 2018” (Adman Awards
กลายเป็นนักชกที่มีชื่อขึ้นแท่น World’s Highest-Paid Athlete ไปในทันทีสำหรับ Saul “Canelo” Alvarez นักชก Mexican professional boxer วัย 28 ปีในสังกัด Golden Boy Promotions หลังเซ็นสัญญาโคตรมหาดีลกับ sports streaming service DAZN เป็นเวลา 5 ปี กำหนดชก 11 ไฟต์ เป็นเงิน $365 million USD หรือ 12,000 ล้านบาท เฉลี่ยรับค่าเหนื่อยการันตีไฟต์ละเกือบ 1,100 ล้านบาท ไม่รวมรายได้อื่น ๆ เช่น PPV, Revenue Split, Sponsor เป็นต้น Canelo Alvarez เป็นนักชกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน สถิติชนะ 50 เสมอ 2 แพ้ 1
ความเป็น American Rock Star ถือเป็น Culture ที่เท่และคลาสสิคเสมอ และความเป็น Rock Star ก็ถูกถ่ายทอดไปสู่ไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ที่ชาวอเมริกันภาคภูมิใจ รวมถึงในการออกแบบรถยนต์รุ่นเก๋าทั้งหลาย โดยหนึ่งใน Iconic แถวหน้าของ American Muscle Car ก็คือ Chevrolet Corvette ที่ไม่ว่าจะรุ่นเก่าแค่ไหน ก็อยู่ในรายชื่อนักสะสมรถตัวจริงอยู่เสมอ แต่สำหรับนักเลงรถที่อาศัยอยู่นอกประเทศอเมริกา อาจจะหา Corvette สภาพดี ๆ ได้ไม่ง่ายนัก เรียกว่า Demand สูง แต่ Supply น้อยจัด ค่ายรถจากประเทศญี่ปุ่น “Mitsuoka” ที่ขึ้นชื่อเรื่องการ Custom รถบ้าน ๆ ให้มีดีไซน์สุดล้ำในราคาเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งพวกเราน่าจะคุ้นตากับรุ่น Mitsuoka Galue หรือ Himiko ซึ่งเคยเข้ามาทำตลาดในบ้านเราผ่านตัวแทนนำเข้า จึงไม่รอช้ารีบคว้า Mazda MX5 มา Custom รูปโฉมภายนอกใหม่จนกลายเป็น Rock Star ที่เท่ได้อารมณ์
ทำงานหนัก ใช้ชีวิตต้องสนุก เมื่อชีวิตมีมุมเครียด ก็ต้องหามุมผ่อนคลายสังสรรค์เอาไว้ด้วย การออกไปดื่ม ออกไปปาร์ตี้ จึงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรขนาดนั้น เพราะแม้แต่ประเทศที่เคร่งครัดทำงานหนักอย่างญี่ปุ่น ก็เป็นประเทศที่ดื่มหนักดื่มมันส์กัน แต่พวกเค้าสามารถตื่นไปทำงาน รับผิดชอบชีวิตตัวเองได้เป็นอย่างดี แถมยังมีผลวิจัยด้วยว่าการออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ช่วยให้สุขภาพกายสุขภาพจิตดีขึ้น หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่การ Drink Responsibly เพราะมันช่วยให้เรา Relax สนุกสนานผ่อนคลาย แถมยังเปิดโลกไอเดียและโอกาสต่าง ๆ อีกมากมายให้เราได้ด้วย แน่นอนว่าเรากำลังหมายถึงการดื่มที่เราควบคุมสติได้ ไม่เมาระรานคนอื่น ดื่มไม่ขับ และที่สำคัญคือดื่มแบบไม่ให้เสียสุขภาพ หรือเรียกว่าดื่มแบบ Professional นั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำมาก นอกจากจะดูเท่ ดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเชื่อถือได้ทุกค่ำคืน ยังเป็นการบำรุงสุขภาพร่างกายให้ดีในระยะยาว เพราะเราเกิดมามีแค่ตับเดียว ต้องรักและดูแลกันให้มาก ๆ เข้าไว้ ก่อนจะอัพเกรดตัวเองให้ดื่มแบบ “เอาอยู่” ต้องรู้จักสาเหตุที่ทำให้เราเมาก่อน มันเป็นเรื่องง่ายที่หลายคนรู้อยู่แล้ว แต่มักจะ “หลุด” ไประหว่างทาง ทำให้ประสบการณ์ในค่ำคืนนั้นเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่รู้ตัว เหลือไว้เพียงความทรงจำแย่ ๆ ตอนสร่างเมาจากปากคำบอกเล่าของเพื่อน ๆ และการดื่มแบบภาพตัดนี่แหละที่ทำร้ายตับอย่างรุนแรง สังเกตได้จากอาการ Hang Over หนักหน่วงตอนเช้าหลังผ่านค่ำคืน
อาดิดาส ออริจินอลส์ เผยโฉมการกลับมาอีกครั้งของโมเดล P.O.D-S3.1 ด้วยแคมเปญใหม่ที่ร่วมกับนักฟุตบอลระดับโลกและไอคอนยุคใหม่อย่าง พอล ป็อกบา (Paul Pogba) ภายใต้แนวคิด ‘great alone, better together’ ชานเมืองของปารีส ป็อกบามาในบทบาทของนักเล่าเรื่อง เขาได้รำลึกถึงการฝึกซ้อมของเขา เล่าให้ฟังเกี่ยวกับกับผู้ที่คอยสนับสนุนเขามาโดยตลอด โดยเฉพาะครอบครัวและเพื่อนๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของป็อกบา โดยแคมเปญนี้สะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบของ P.O.D-S3.1 และแนวคิดที่ว่าการอยู่ลำพังมันก็ดี แต่การอยู่ด้วยกันมันย่อมดีกว่า สำหรับแคมเปญ P.O.D-S3.1 ในเดือนตุลาคมนี้ นับเป็นการยกย่องผู้คนรอบตัวของป็อกบา จากคำบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่านมุมมองของเด็กวัยรุ่นในกรุงปารีส ที่เน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูงที่รายล้อมอยู่รอบตัว ด้วยความเชื่อที่ว่าผู้คนที่อยู่ในชีวิตของเขานั้น สามารถบ่งบอกความเป็นตัวเขาได้ดีที่สุด และยังมีส่วนช่วยที่ทำให้เขาเป็นป็อกบาในวันนี้ การกลับมาของ P.O.D. – S3.1 ในครั้งนี้ ยึดตามรูปแบบของโมเดลเดิม ส่วน upper เป็นโครงสร้างจากผ้านิตที่ห่อหุ้มตั้งแต่ส่วนหน้าเท้าถึงส้นเท้า พร้อมเปิดตัว 2 สีสันใหม่ สีขาว และสีดำ ต้อนรับเดือนตุลาคมด้วยดีไซน์อันโดดเด่น สีขาวเรียบง่ายแต่งดงาม ในขณะที่สีดำถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใสอย่างสีชมพู สีน้ำเงิน สีเขียว และสีแดง ที่ส่วนต่างๆ
รองเท้า Sneaker ที่ได้ชื่อว่ากัดเจ็บแต่ก็จำเป็นต้องใส่ เพราะความเท่ระดับ Iconic ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1966 โดย Paul Van Doren และ James Van Doren จากร้านเล็ก ๆ ที่มีลูกค้าไม่กี่คน สู่แบรนด์รองเท้าที่มีความเฉพาะตัว และเป็นหนึ่งใน Icon ของความเป็นอเมริกันที่แทรกซึมเข้าไปในหลาย Culture ไม่ว่าจะเป็น Rock Culture หรือ Extreme Sports อื่น ๆ ด้วย ซึ่งจากวันนั้นถึงวันนี้ เจตนารมณ์ของคนตระกูล Van Doren ได้ส่งต่อมาในหลากหลาย Edition ซึ่งวันนี้เราจะเลือกหยิบเอา 5 รุ่นล่าสุดที่น่าสนใจ และควรค่าแก่การเก็บสะสมสำหรับคนรัก Vans โดยเฉพาะ Vans & CULT “CRUEL WORLD SEND RESCUE” อย่างที่บอกไปว่า Vans ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในวงการ Skateboarding เท่านั้น Vans &
ASICSTIGER (เอสิกส์ไทเกอร์) แบรนด์สนีกเกอร์ระดับตำนาน และ 24 KILATES (ทเว้นตี้โฟล์ กิลาเต้) ร้านสนีกเกอร์ระดับโลก เดินทางกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในรองเท้ารุ่น Limited Edition รุ่นใหม่ โดยจะพาคุณเดินทางไปบนขบวนรถไฟสุดหรู “24 KILATES x ASICSTIGER GEL-LYTE III EXPRESS” อันได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “Eastern & Oriental Express” (อีสเทิร์น แอนด์ โอเรียนทอล เอ็กซ์เพรส) ขบวนรถไฟไทยเส้นทางกรุงเทพฯ – สิงคโปร์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความหรูหราติดอันดับโลก Eastern & Oriental Express จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในการเดินทางที่หรูหราและน่าประทับใจที่สุดเส้นทางหนึ่งในโลก เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 1995 ซึ่งก็ครบรอบ 25 ปีในปีนี้ โดยจุดเด่นไม่ได้มีเพียงความโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ยังนับเป็นหนึ่งในบรรดาขบวนรถไฟระดับหรูที่ดีที่สุดในโลก การเดินทางบนขบวนรถไฟที่ได้รับการการตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ เดินทางไปบนเส้นทางที่สวยที่สุดของประเทศไทย ผ่านจุดชมวิวที่ได้ดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันสวยงามของสองข้างทางและตาม จุดชมวิวต่างๆ ได้สัมผัสทั้งวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นไปพร้อมการบริการอันหรูหราในระดับเดียวกับโรงแรม 5 ดาว เส้นทางนี้จึงเป็นหนึ่งในจุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก สำหรับการร่วมงานของ ASICSTIGER