Life

BAD BODY LANGUAGE: ภาษากายที่จะทำให้คุณดูไม่ COOL เวลาพูดกับคนอื่น ใครมี รีบปรับด่วน!

By: PEERAWIT June 26, 2018

ภาษากายนั้นเป็นสื่อในการสื่อสารอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนสามารถแสดงความหมายต่าง ๆ ออกมาได้แม้ไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ ก็ตาม มันมีทั้งประโยชน์มากมาย แต่ก็เป็นโทษได้หากเราไม่ระมัดระวัง ยิ่งถ้าเป็นภาษากายที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกในแง่ลบแล้ว ยิ่งต้องสำรวจตัวเองกันหน่อยว่าเราเองทำบ่อยมั้ย มันกลายเป็นความเคยชินหรือเปล่า ? และที่แย่ที่สุดก็คือ มันอาจทำให้เราสูญเสียโอกาสดี ๆ ที่นาน ๆ จะมาทีก็ได้

จากผลการสำรวจของ TalentSmart ที่ทดสอบกับคนกว่าล้านคนพบว่า ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มคนที่มีตำแหน่งงานในระดับสูง มักจะมีตัวเลข EQ ที่ค่อนข้างพุ่ง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้รู้ดีว่าพลังของภาษากายนั้นมีมากแค่ไหน และมักจะสำรวจตัวเองในเรื่องนี้เสมอ เพราะฉะนั้น เพื่อความไม่ตายน้ำตื้นของผู้ชายที่กระหายความสำเร็จอย่างเรา มาดูกันดีกว่า ว่าภาษากายแบบไหนที่อาจพาเราดำดิ่งได้แบบไม่รู้ตัว จะได้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ก่อนสายเกินไป

 

ใช้มือมากเกิน

อย่าคิดลึกครับหนุ่ม ๆ  การใช้มือมากเกินในที่นี้คือการขยับมือไม้มากเกินเวลาสนทนา ราวกับว่าคุณกำลังจะใช้กำลังภายในอะไรอย่างนั้น ซึ่งมันดูเหมือนกับว่าคุณปรุงแต่งสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารมากเกินไป พยายามควบคุมมือไม้ให้ดี ใช้เท่าที่จำเป็น อาจจะผายมือออกมาช้า ๆ โชว์ฝ่ามือให้ทุกคนเห็นเวลาที่พูดอะไรออกไป แบบนี้จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าคุณไม่ได้เสแสร้ง ดูรุ่นใหญ่ และมั่นใจ

 

กอดอกตลอด

การกอดอกเป็นภาษากายกึ่งอัตโนมัติเวลาที่คุณสร้างกำแพงทางความคิดขวางไอเดียของคนที่สนทนาด้วย แม้ว่าจะยิ้มอยู่ หรือกอดอกหลวม ๆ ก็อาจทำให้คนข้างหน้ารู้สึกอึดอัดได้ไม่มากก็น้อย พยายามอย่ากอดอกแบบเหมือนทากาวไว้ ถ้าอยากให้ผู้อื่นสัมผัสได้ว่าคุณเปิดใจรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน

 

สีหน้าเสแสร้ง

ความขัดแย้งกันระหว่างคำพูดกับสีหน้าจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกเคลือบแคลงใจ และเริ่มตั้งแง่ (เห้ย ไอ้นี่นี่มันยังไง !?) รวมถึงรู้สึกสงสัยว่าคุณกำลังจะหลอกลวงอะไรเขาหรือเปล่า แม้ว่าเขาอาจจะคิดมากไปก็ตาม

ยกตัวอย่างเช่น สมมติคุณกำลังเจรจาธุรกิจใหญ่อยู่ แล้วคุณรู้สึกว่าไม่ค่อยโอเคกับข้อเสนอแรก ในใจคุณอาจคิดว่าปฏิเสธพร้อมรอยยิ้มมันน่าจะดูซอฟท์เหมือนเขียนคำว่า “ไม่” ด้วยสีพาสเทล แต่ภาษากายแบบนี้อาจทำให้คนที่คุณกำลังเจรจาด้วยรู้สึกว่าเคมีอาจไม่เข้ากัน และทึกทักเฉยเลยได้ว่าคุณมีบางอย่างในใจที่มันซับซ้อนยิ่งนัก

 

เมินคู่สนทนา

การที่คุณบ่ายเบี่ยง หันหนี ไม่ขยับเข้าไปในระยะสนใจ ทำเมิน ไม่แคร์ ทำท่าทางรำคาญ และไม่เชื่อถือคู่สนทนา นี่มันหายนะชัด ๆ  ไม่ว่าใครก็ไม่ชอบที่คุณทำแบบนี้

กำจัดความเคยชินนี้ซะ เป็นเราโดนทำแบบนี้ก็คงไม่ชอบ ปรับ mindset แล้วใส่ใจคู่สนทนาอย่างเต็มที่ โน้มตัวเล็กน้อย ก้มหน้าหน่อย ๆ เพื่อตั้งใจรับฟัง จะทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าคุณโฟกัสและจริงใจ

 

เปื่อย

ดูเผิน ๆ ภาษากายแบบนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไร แต่มันเป็นสัญลักษณ์แห่งความไม่เคารพ แสดงถึงความเบื่อหน่าย ไม่อยากจะอยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ แค่คุณนั่งหลังงอห่อเหี่ยวต่อหน้า boss คุณก็ไม่จำเป็นต้องพูดแล้วว่า “ผมไม่รู้ว่าจะฟังคุณไปทำไม” เพราะภาษากายของคุณทำหน้าที่แทนแล้ว

สมองของเรานั้นเจ๋งนัก เวลาเรายืนตรง อกผาย ไหล่ผึ่ง มันจะกลายเป็นท่าที่ทรงพลัง เปิดโสตประสาทรับรู้เต็มที่ ขณะที่เวลาคุณนั่งเปื่อย มันก็จะลดความพร้อมที่จะรับรู้ เค้นพลังออกมาไม่ได้เต็มที่ พยายามเซตท่าทางของตัวเองให้ดี แสดงความเคารพต่อผู้อื่น การสนทนานั้นจะไหลลื่นขึ้นเยอะ

 

หลบตา

อันนี้ถือว่าเบสิคสุด ๆ แต่ก็ยังมีคนเผลอแสดงภาษากายนี้ออกมา การไม่สบตาคู่สนทนาจะทำให้คุณดูเหมือนว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ สร้างความเคลือบแคลงใจไม่เบา การหลบตายังทำให้คุณดูไม่มั่นใจ และไม่น่าสนใจ ยิ่งถ้ามันเกิดขึ้นตอนที่กำลังคุยเรื่องธุรกิจ ยิ่งส่งผลเสีย ดูไม่ค่อยโปรเลย เพราะฉะนั้น พยายามทำใจให้สบาย สบตาคู่สนทนาตลอดการพูดคุยกัน คนข้างหน้าของคุณจะได้สัมผัสได้ว่าคุณนั้นมีความมั่นใจ มีภาวะผู้นำ จิตใจแข็งแกร่ง และเฉลียวฉลาด

ส่วนกรณีกลับกัน ถ้าเกิดเราตั้งใจไปจ้องตาใครมากเกินก็อาจดูก้าวร้าวไปหน่อย เหมือนอยากจะเอาชนะ โดยเฉลี่ยแล้วคนทั่วไปจะมี eye contact กับคู่สนทนาแบบไม่ขยับลูกตาเลยราว ๆ 7-10 วินาที และมากกว่าหากเราเป็นผู้ฟังเสียส่วนใหญ่

 

ดูนาฬิกาบ่อย ๆ

แม้ว่าเรากำลังเร่งรีบ แต่การก้มลงดูนาฬิกาที่ข้อมือบ่อย ๆ ก็อาจจะทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าคุณไม่เคารพเขา ไม่อดทน และเอาแต่ใจตัวเอง เหมือนเป็นการบอกคนตรงหน้าว่า การพูดคุยครั้งนี้มันทำให้คุณเสียเวลา และอยากจะรีบไปให้พ้น ๆ จากตรงนี้

 

พยักหน้ามากเกิน

การพยักหน้าแบบเวอร์ ๆ อาจทำให้ผู้พูดสัมผัสได้ว่าคุณเสแสร้งแกล้งเห็นด้วย ทั้ง ๆ ที่คุณอาจไม่ทันฟังซะด้วยซ้ำ คงต้องแก้ด้วยความใส่ใจฟัง แล้วภาษากายของคุณก็จะไม่ทำให้คุณดูเป็นชาว rock ที่โยกหัวอย่างเมามันส์ในคอนเสิร์ตวง pop

 

อยู่ไม่สุข

ความกระวนกระวายในใจมันย่อมมีเป็นธรรมดาเวลาอยู่ในสถานการณ์สำคัญ ๆ แต่ต้องควบคุมมันอย่าให้มันมาคอนโทรลภาษากายของคุณ เพราะท่าทางกระวนกระวายอยู่ไม่สุขนั้น จะทำให้คนรอบข้างซึมซับความประหม่าของคุณ และอาจมองว่าคุณดูห่วงภาพพจน์ตัวเองมากกว่าเรื่องงาน

 

ทำหน้าบึ้ง

การทำหน้าบึ้งแบบควบคุมไม่ได้ เหมือนกับการยิงกราดใส่คนรอบข้างให้รู้ว่าคุณกำลังโคตรหงุดหงิดนะโว้ย มันแผ่รังสีให้ทั้งต้นเหตุ และคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เทคุณได้ง่าย ๆ  แถมโดนตัดสินในแง่ลบไปแล้ว เวลาอารมณ์เริ่มเดือด พยายามดึงสติ สูดหายใจลึก ๆ ค่อย ๆ ฉีกยิ้มออกมาให้ได้ แสดงให้คนอื่นเห็นว่าคุณเป็นคนใจกว้าง เชื่อถือได้ มั่นใจ และเป็นมิตร โดยจากการใช้ MRI Scan เพื่อศึกษาปฏิกริยาตอบสนองของสมองมนุษย์พบว่า สมองของเราจะตอบสนองในแง่บวกเสมอหากได้พบเจอกับรอยยิ้ม และฝังความประทับใจแรกนี้ไปอีกนาน

 

เชกแฮนด์เบาไป-หนักไป

เวลาเชกแฮนด์กับคนอื่น อย่าจับมือเขาหลวมเกินไป มันจะทำให้คนตรงหน้ารู้สึกว่าคุณไม่มีพลัง แถมไร้ความมั่นใจ ขณะเดียวกันถ้าคุณใช้แรงมากเกิน ราวกับไปบีบมือเขา ก็จะทำให้คนนั้นรู้สึกว่า “ไอ้หมอนี้แม่มก้าวราวจังฟะ อยากเอาชนะเหรอไง” ซึ่งมันไม่ดีเลย พยายามปรับน้ำหนักมือให้เหมาะสมกับบุคคลและสถานการณ์ แต่อย่างไรก็ตาม จับมือคู่สนทนาไว้ให้มั่นไว้ก่อนเป็นดี

 

ใกล้ชิดเกินไป

เวลาพูดคุยกับใคร (ที่ไม่ใช่คนรัก) ถ้าขยับเข้าไปยืนใกล้เกิน ใกล้กว่าฟุตถึงฟุตครึ่ง อาจทำให้คู่สนทนารู้สึกไม่สบายใจ เพราะมันแสดงถึงความไม่เคารพเสปซของผู้อื่น และทำให้คนรอบตัวรู้สึกอึดอัดเวลาคุยกับคุณ ยืนในระยะพอดี ๆ  อย่าทำให้เขารู้สึกว่ากำลังเผชิญหน้ากับคู่ชกในงานแถลงข่าวของศึกกำปั้นสะท้านโลก

 

ลองสำรวจตัวเองว่าภาษากายของเราเป็นแบบนี้หรือไม่ หรือว่ามีอยู่กี่ข้อ แล้วค่อย ๆ ปรับพฤติกรรมจนเป็นธรรมชาติ ก็จะทำให้ให้คุณดูน่าคบหา เป็นมิตร น่าเชื่อถือ และมีสเน่ห์เท่ขึ้นไปอีก สร้าง first impression ได้ไม่ยาก แถมกลายเป็นหนุ่มที่ดู nice & professional แบบที่ไม่ต้องการการยกยอจากใคร เพราะมันออกมาจากใจของคุณเอง

SOURCE

PEERAWIT
WRITER: PEERAWIT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line