สุดยอด 7 ความแรงของ “AMG 6.3 V8” ที่ว่ากันว่า มันคือ AMG ที่ดีที่สุดตลอดกาล!

By: HYENA November 15, 2017

หลังจากที่สำนักแต่งรถชื่อดังอย่าง AMG ได้เดินสายพานการผลิต AMG 6.3 มาตลอดระยะเวลา 10 ปีเต็ม สมรรถนะของเครื่องยนต์ V8 ไม่ว่าจะเป็นตระกูล C63, E63 หรือแม้กระทั่ง SLS ก็ได้แสดงความแรง และสมรรถนะอันยอดเยี่ยมให้เป็นที่ประจักษ์กันทั่วโลก วันนี้เราจึงได้นำเอา Mercedes-Benz AMG 6.3 V8 ที่ถูกยกย่องให้เป็น AMG เครื่อง 6.3 V8 ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา มาให้ ชาว UNLOCKMEN รวมไปถึงสาวกของ Mercedes-Benz และ AMG ได้ดูกัน

Mercedes-Benz C63 AMG

นี่เป็น AMG 6.3 ที่สาวก AMG ควรจะจับจองไว้ในเมื่อยังมีโอกาส และถึงแม้ว่า C63 รุ่นนี้ จะไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ 4.0 Bi-Turbo เหมือนกับตัวล่าสุด แต่นี่คือ C63 ที่เป็น Original และจะกลายเป็นความ Classic ต่อไปในอนาคตอีกด้วย บอดี้ของ C63 ตัวนี้ มีออกมาให้เลือกหลากหลายทั้งแบบ Sedan, Coupe และถ้าหากคุณโชคดีมีโอกาสได้เจอรถที่นำเข้ามาจากยุโรป คุณก็อาจจะได้เจอกับเวอร์ชั่น Wagon อีกด้วย

Mercedes-Benz C63 AMG Black Series

C63 เวอร์ชั่นพิเศษอย่าง “Black Series” ถือเป็น AMG 6.3 ที่โหดสุด ๆ ในเรื่องของความแรงที่มีมาให้ถึง 510 แรงม้า แต่ที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องของความแรงก็คือ ค่าความสมดุลของตัวถัง Coupe ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นรถที่มีสมดุลดีที่สุดในโลกคันหนึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้มันยังเป็นรถแข่งตัวสร้างชื่อและเป็นคู่แข่งตัวสำคัญของ BMW M4 ในรายการนานาชาติ DTM ซึ่งเป็นรายการแข่งขันที่ใหญ่ระดับโลกด้วย

Mercedes-Benz SLS AMG

เครื่องของ AMG 6.3 ใน SLS นี้ แตกต่างไปจากที่อยู่ใน C63 เนื่องจากทาง AMG แก้ไขและปรับแต่งเครื่องยนต์รหัส M156 ให้เหมาะสมกับตัวบอดี้ของ SLS มากขึ้น จนในที่สุดมันก็กลายเป็นเครื่อง AMG 6.3 ในรหัส M159 ชิ้นส่วนกว่า 120 ที่ถูกอัพเกรดจากเครื่อง M156 ทำให้ SLS AMG คันนี้มีความแรงสูงถึง 571 แรงม้า นอกจากนี้ SLS AMG คันนี้ ยังเป็นที่รู้กันดีในแวดวงยานยนต์อีกด้วยว่าเป็นรถที่ทำความเร็วในตอนเข้าโค้งได้สูงที่สุดในรถระดับชั้นเดียวกันเลยทีเดียว

Mercedes-Benz E63 AMG

หากพูดถึงความแรง แต่ยังคงภูมิฐาน E63 AMG ก็ถือว่าเป็นรถที่มีสไตล์ตอบโจทย์ได้ทั้ง 2 อย่าง เพราะในเรื่องของตัวถังด้านบน รวมถึงภายในจะเน้นไปทางความหรูหรา และทันสมัย แต่ถ้าหากส่องลงไปดูข้างใต้ รวมถึงภายในฝากระโปรง คุณก็จะเห็นได้ถึงการสอดไส้ขุมกำลังความแรงเอาไว้ได้อย่างชัดเจน คนในวงการ Motor Sport ทั่วโลกยังถึงกับขนานนามให้กับ Mercedes คันนี้ว่า ขีปนาวุธ 518 แรงม้า และยกให้มันอยู่เหนือกว่า E63 W211 อีกหนึ่งสเต็ป

Mercedes-Benz CLS63 AMG

W219 CLS AMG เดิมทีได้มีการติดตั้งเครื่อง V8 ขนาดความจุ 5.5 ลิตรลงไป แต่หลังจากนั้นทาง AMG ได้พยายามจะปั้นมันออกมาเพื่อเอาไว้เข่นฆ่าคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง BMW M5 โดยเฉพาะ จึงจัดการเปลี่ยนหัวใจความแรงให้กลายเป็น 6.3 แทนที่ของเดิม ซึ่งแน่นอน นอกจากเรื่องของความแรงแล้ว ความหรูหราจากรูปทรงรวมไปถึงระบบภายในต่าง ๆ นั้น ก็ไม่แพ้ M5 แน่นอน รวมไปถึงเรื่องของราคาที่ถ้าคนไหนเงินไม่หนาจริงขนหน้าแข้งต้องร่วงกราวอย่างแน่นอน

Mercedes-Benz S63 AMG

นี่คือรถที่ถูกออกแบบมาให้กับผู้บริหารรุ่นใหญ่ แต่หัวใจฝักใฝ่ความซิ่งโดยแท้ S63 AMG คันนี้ เป็นรถยนต์ระดับโคตรหรู ที่แฝงไว้ด้วยความแรงที่ทำให้ CEO ที่นั่งอยู่เบาะหลังแทบจะกระเด็นไปอยู่ในช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหลัง แน่นอนว่าความจุของเครื่องยนต์นั้น ต้องเป็น 6.3 ลิตรอย่างแน่นอน แถมยังเป็นเครื่องยนต์บล็อคใหญ่อย่าง V8 อีก ดังนั้นผู้บริหารท่านใดที่รู้สึกว่า S600 ยังทำให้ท่านเดินทางไปประชุมปุ๊บปั๊บฉับไวไม่พอ ขอแนะนำท่านให้ล่อ S63 AMG นี่มานั่งแทนสักคัน รับรองว่าความมันส์จะบังเกิดแน่นอน

Mercedes-Benz SLS AMG Black Series

สุดท้าย รถคันนี้ถือเป็น AMG 63 ที่แรงสุด ๆ ฉุดไม่อยู่จนถึงขั้นว่า มันโดนจับให้ไปกลายร่างเป็นรถแข่งที่วิ่งในสนาม อย่าง SLS GT3 เอง ก็พละกำลังมากเกินกว่าที่จะใช้งานจริงได้บนท้องถนนแบบชิล ๆ นั่นก็เพราะแรงม้าที่บรรจุเอาไว้ภายในถึง 622 ตัว ดังนั้น มันคงจะไม่ปลอดภัยถ้าเราเอามาใช้งานกันในเมืองที่รถติด ๆ ขยับได้ทีละนิด ๆ อย่างแน่นอน เพราะนอกจากถนนจะไม่มีพอให้วิ่งแล้ว เกิดลืมตัวเหยียบมิดขึ้นมา รถคันข้างหน้าที่เป็นรถบ้าน ๆ ก็คงจะโดนเล่นตูดหายกันเป็นแถบแน่นอน เพราะต่อให้รถทั้งถนนกดกันมิดไมล์ ปีศาจอย่าง SLS AMG Black Series คันนี้ ก็ยากที่จะกดขุมพลังไว้เพื่อขับแบบตามหลังใครอยู่ดี

และทั้งหมดนี้ ก็เป็น AMG 6.3 ที่ว่ากันว่า โหดร้ายในเรื่องของความแรง และราคาก็แรงไม่แพ้กันอีกด้วย เนื่องจากมันเป็น AMG 6.3 ที่คนทั่วทั้งโลกต่างก็ยกให้เป็น AMG ที่ดีที่สุดในคลาสนี้ทั้งนั้น ดังนั้น หากใครที่พอมีสตางค์จะซื้อรถดีสักคันหนึ่งมาใช้สอย และกำลังมอง AMG เป็นทางเลือกอยู่ ของบอกไว้อย่างรอช้า ซื้อเถอะไม่ต้องรออะไรแล้ว รับรองว่า ความคุ้มค่าที่ได้กลับมานั้น จะมากกว่าราคาที่เสียไปในอนาคตอย่างแน่นอน

SOURCE