CARS

UNLOCK ELECTRIC VEHICLES: เจาะลึกเทคโนโลยี EV ความเร้าใจที่ถูกถ่ายทอดสู่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า

By: Chaipohn September 24, 2021

แม้บางคนอาจจะยังไม่เคยได้ทดลองขับรถ EV มาก่อนเลยก็ตาม แต่เมื่อหันไปรอบข้างก็จะได้เห็นการเปิดตัวรถยนต์ EV ใหม่ ๆ จากเกือบทุกแบรนด์ชั้นนำ นอกจาก Tesla ยังมีรถยนต์ตระกูล EQ จาก Mercedes-Benz, BMW i, Mini Cooper SE, Audi e-tron SUV ตระกูล Supercar อย่าง Porsche Taycan ไปจนถึงแบรนด์จากญี่ปุ่นอย่าง Honda e

ซึ่งตัวเร่งปฏิกิริยามาจากทั้งเทรนด์ความต้องการของลูกค้า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี รวมถึงความพยายามผลักดันกฎหมายจากหลายประเทศทั่วโลก จึงพูดได้เต็มปากว่าตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สำคัญที่รถยนต์ EV กำลังจะมาแทนที่เครื่องยนต์เผาไหม้อย่างเต็มตัวในไม่ช้า นับตั้งแต่วันที่ Henry Ford เร่ิมปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในปี 1913

จุดเริ่มต้นของรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้านั้น มีปรากฎอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ย้อนไปไกลถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 19th โดยนักฟิสิกส์ Anyos Jedlik ซึ่งเป็นคนแรกที่ทดลองเอามอเตอร์ไฟฟ้ามาติดตั้งในรถขนาดเล็ก ก่อนจะพัฒนาไปสู่ยุคของนักประดิษฐ์ Robert Anderson ที่ทดลองใช้แบตเตอรี่มาขับเคลื่อนรถในปี 1832

แต่ที่นับว่าเป็นเทคโนโลยี EV ที่ใช้งานได้จริงจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าแบบชาร์จไฟกลับได้ เป็นผลงานของ Gustave Trouve ที่ติดตั้ง lead–acid battery เข้ากับยานพาหนะสามล้อในปี 1859

ซึ่งการพัฒนาของเทคโนโลยี EV มาตลอดระยะเวลา 162 ปีจนถึงวันนี้ ได้เปลี่ยนทัศนคติของคนที่มีต่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่ไม่มีทางมาแทนที่เครื่องยนต์เผาไหม้ได้ เป็นรถที่ไร้ประสาทสัมผัส ปราศจากความตื่นเต้นเร้าใจ ขับได้แค่ระยะทางสั้น ๆ ต้องคอยหาสถานีชาร์จไฟให้วุ่นวาย หรือบอบบางจนไม่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ได้ครบถ้วน ซึ่งวันนี้ทุกค่ายก็พิสูจน์แล้วว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้านั้นมีประสิทธิภาพและสมรรถนะที่เกินกว่าคนในยุคก่อนจะจินตนาการได้

ปัจจุบันรถยนต์ EV จากแต่ละค่ายจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจะมาประเดิมด้วยการพูดถึงรถยนต์​ EV จากค่าย BMW ก่อน เพราะเป็นรถ EV ที่มีคาแรคเตอร์ชัดเจนในด้านจิตวิญญาณความสปอร์ตที่ถ่ายทอด DNA ของแบรนด์สู่ขุมพลังใหม่ได้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะ BMW i4 M50 ซึ่งถือเป็นรถพลังงานไฟฟ้าจาก M Division ครั้งแรกในโลก รวมถึงรถตระกูล BMW iX SUV ที่เปิดตัวในบ้านเราไปแล้วไม่ว่าจะเป็น iX และ iX3 ซึ่งยอดจองนั้นก็เรียกว่า Sold Out ไปหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว

BMW i4, BMW iX และ BMW iX3 รถยนต์กลุ่ม Luxury EV generation ล่าสุด ถูกพัฒนาบน All-electric Architecture platform ที่เรียกว่า BMW eDrive technology ซึ่งเป็น platform ที่รองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ต่างจากการนำรถรุ่นปกติมาดัดแปลงใส่แบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเทียบกันไม่ได้

ทำให้ BMW i models ได้การยอมรับให้เป็นผู้นำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ผสมผสานเทคโนโลยี วิศวกรรม ดีไซน์ และจิตวิญญาณ “Fun to Drive” ฟิลลิ่งการขับที่เรียกรอยยิ้มและอะดรีนาลีนทุกครั้งที่ได้จับพวงมาลัย ซึ่งเป็นจุดเด่นหัวใจสำคัญของค่ายใบพัดฟ้าขาวมาตั้งแต่ปี 1917

การออกแบบโครงสร้างที่คำนึงถึงตำแหน่งการวางแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าตั้งแต่เริ่มร่างแบบ ทำให้ BMW พัฒนารถยนต์ที่เกิดมาเพื่อเป็น EV โดยเฉพาะ ไม่มีการเสียพื้นที่จากระบบส่งกำลังแบบเดิมที่มีทั้งเครื่องยนต์​ เกียร์ และชิ้นส่วนอีกมากมายโดยไม่จำเป็น ช่วยให้รถมีน้ำหนักเบากว่า มีพื้นที่บรรจุแบตเตอรี่ได้มากกว่า รวมถึงการออกแบบตำแหน่งดูแลรักษาที่เข้าถึงได้ง่าย และเป็น platform ที่สามารถปรับใช้กับรถ EV ของ BMW ได้อย่างไร้ขีดจำกัด

BMW iX คือตัวอย่างของความอิสระในการสร้างสรรค์ภายใต้ platform ใหม่ ซึ่งโดยปกติรถยนต์ BMW จะขับเคลื่อนล้อหลัง จึงต้องมีการวางตำแหน่งเครื่องยนต์ที่เข้าใกล้ห้องโดยสารเพื่อการกระจายน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงชุดเกียร์และระบบส่งกำลังไปที่ล้อหลัง

ด้วย All-electric Architecture ทำให้ภายในห้องโดยสารของ iX มีดีไซน์ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เน้นความผ่อนคลายที่ประณีตทุก touchpoint เหมือนนั่งอยู่ในเลาจน์ พื้นห้องโดยสารที่ราบเรียบ มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น

Carbon Cage structure การผสมผสานวัสดุ carbon fiber กับ aluminum spaceframe ถูกนำมาใช้ใน BMW iX เป็นครั้งแรก ช่วยให้ตัวรถมีความแข็งแกร่ง กระจายน้ำหนักได้ดีขึ้น หลังคา carbon-fiber ช่วยบาลานซ์จุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำเพื่อการควบคุมที่เฉียบคม ขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวพร้อม high-voltage battery ให้กำลังถึง 500 แรงม้า 0-100km/h ไม่ถึง 5 วินาที สามารถวิ่งได้ระยะทางเกือบ 500 กิโลเมตร สมกับคำนิยามของ All-electric luxury SAV ที่เหนือกว่าอย่างแท้จริง


BMW i4 M50 Safety Car

“With the BMW i4 M50, we are entering a new era and presenting our first M with a fully-electric drive train,” 

หนึ่งในผลงานที่ยืนยันวิวัฒนาการของ BMW ในรถยนต์ EV ที่มาพร้อม DNA ความสปอร์ตแบบ Fully electric High-performance ของ BMW อย่างชัดเจนก็คือ BMW i4 รถยนต์ตัวถังซีดาน 4 ประตู Gran Coupe ซึ่งแบ่งออกเป็นสองรุ่นย่อยคือ i4 eDrive40 335 แรงม้า ทำเวลา 0-100km/h ใน 5.7 วินาที ขับเคลื่อนล้อหลัง

และอีกรุ่นคือผลงานสุดพิเศษจาก M Division คันแรก BMW i4 M50 ที่ถ่ายทอดฟิลลิ่งการขับจากรถตระกูล M แท้ ๆ พร้อมขุมพลัง 544 แรงม้า 0-100km/h ใน 3.9 วินาที ขับเคลื่อน 4 ล้อ

ด้วยสมรรถนะสุดแรงและความน่าเชื่อถือ ล่าสุด BMW i4 M50 ได้ถูกเลือกให้เป็น “Official Safety Car of MotoGP™” มาแทนที่ BMW i8 เพื่อใช้ในการแข่งขัน FIM Enel MotoE™ World Cup ซึ่งถือเป็นรถ fully-electric BMW M คันแรกที่จะใช้ดูแลความปลอดภัยในสนามประลองความเร็วสูงซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น Formula One ในรูปแบบ electric motorcycle


CO2 emissions 0 g/km (combined)
Fuel consumption 0 l/100 km (combined)

นอกจากความสวยงาม เทคโนโลยีสุดล้ำ และสมถรระนะ BMW iX3 ยังฉีกกรอบของความเชื่อว่ารถ EV เหมาะกับการใช้งานในเมืองระยะทางสั้น ๆ ด้วยการแสดงถึงความเป็นรถ all-electric SAV หนึ่งเดียวที่ถูกเลือกโดยสองนักกีฬาระดับโลก “Roderick Pijls – professional kitesurfer” ที่เตรียมเข้าแข่งขัน Olympics ใน Paris ปี 2024  และ “Marlon Lipke – professional surfer” ออกไปผจญภัยทั้งในทะเลพร้อมรักษาธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกยานพาหนะของทั้งคู่

ทะเลเปรียบเสมือนโลกอีกใบ ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่ทั้ง Roderick Pijls และ Marlon Lipke จากทีม SWOX มีมุมมองเหมือนกัน ทั้งคู่มักจะต้องขับรถออกเพื่อเดินทางตามหาสถานที่โต้คลื่นใหม่ ๆ จากแรงบันดาลใจหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการตามรอยภาพถ่ายจากตากล้อง Landscape หรือใช้เวลาค้นหาชายหาดจาก Google Maps รวมถึงการดูสารคดีต่าง ๆ ก่อนจะออกเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อไล่พิชิตคลื่นที่มีความท้าทายแตกต่างกันออกไป

แต่ละทริปนั้นมีระยะทางที่ไกล และธรรมชาติมีความสมบูรณ์สูงมากจนไม่สามารถใช้รถยนต์ปกติเดินทางเข้าไปได้ การใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่าง BMW iX3 จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ทั้งความสามารถในการลุย การเป็นส่วนนึงกับธรรมชาติโดยไม่ต้องทำลาย พื้นที่สำหรับบรรทุกอุปกรณ์ Surfing ที่ใช้พื้นที่ค่อนข้างเยอะ และระยะทางที่สามารถขับได้ไกลเกือบ 500 กิโลเมตร จึงไม่ต้องเสียเวลากังวลหาสถานีชาร์จไฟ ซึ่งเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับกีฬาชนิดนี้ ในขณะเดียวกันก็ยังให้ฟิลลิ่งการขับขี่ที่สนุกสนานแบบ BMW Sport Activity Vehicle (SAV) ด้วยขุมพลัง 286 แรงม้า 0-100km/h ใน 6.8 วินาที จึงสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายได้โดยไม่มีข้อจำกัดเหมือนในรถ EV ทั่วไป


 “When you press the pedal of an M car, you suddenly get goosebumps all over your body,”

สิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ เป็นส่วนเติมเต็มสำคัญที่ทำให้ BMW EV เต็มไปด้วยอารมณ์ “Sheer Driving Pleasure” คือการออกแบบเสียง ซึ่งเป็นประสาทสัมผัสที่ช่วยสร้างความเร้าใจให้รถยนต์ไฟฟ้าห่างไกลจากคำว่าน่าเบื่อ

Hans Zimmer นักประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์เจ้าของรางวัล Academy Award winner และ Renzo Vitale, Creative Director Sound ของ BMW ร่วมมือกันออกแบบสร้างสรรค์เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ที่เรียกว่า “BMW IconicSounds Electric” สำหรับ BMW i4, i4 M50 และ iX ซึ่งต่อยอดมาจากไอเดียที่ Zimmer มองว่ารถ BMW มีเสียงเป็นคาแรคเตอร์ของตัวเองที่ชัดเจน ดังนั้นใน BMW EV ทุกรุ่นจึงต้องให้ความสำคัญกับอารมณ์การขับขี่ ด้วยเสียงที่ปลุกเร้าน่าตื่นเต้นในทุกรอบเครื่องยนต์ เพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เข้าถึงอารมณ์อย่างแท้จริง

การทำงานของ BMW IconicSounds Electric ที่ Zimmer อธิบายคือ ในการขับขี่ด้วย COMFORT mode รถจะให้เสียงที่เงียบเพื่อความผ่อนคลาย และในเสี้ยววินาทีที่คันเร่งถูก kick down หรือปรับสู่ SPORT mode เสียงจากรอบเครื่องยนต์ที่ตอบสนองจะเปลี่ยนไปเพื่อแสดงถึงพละกำลังที่ทำให้เราขนลุกได้ในชั่วพริบตา


เทคโนโลยี สมรรถนะ การออกแบบ รวมถึงรายละเอียดอีกมากมาย ทั้งหมดนี้คือความแตกต่างที่ทำให้ BMW Electric Vehicle เหนือกว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั่วไป ไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปไกลแค่ไหน แต่สิ่งที่เหนือกว่าใครคืออารมณ์ความสปอร์ต จิตวิญญาณ “Fun To Drive” ของ BMW ที่มีอยู่ในรถยนต์ทุกรุ่น ความตื่นเต้นเร้าใจที่ทำให้รถ EV ไม่ใช่ยานพาหนะที่น่าเบื่ออีกต่อไป

ลืมประสบการณ์และความสงสัยในรถ EV ที่เคยมีมา แล้วไปลองสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ที่ดีที่สุดกับรถยนต์ไฟฟ้าจาก BMW EV ได้แล้ววันนี้ที่ BMW.CO.TH

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line