

Entertainment
‘เราพบกันเพราะหนังสือ’ 5 หนังสือที่ทำให้อยากชวนใครสักคนไปร้านหนังสือในวันฝนเท
By: PSYCAT May 30, 2020 184467
ฝนโปรยลงมาอีกครั้ง ฤดูฝนมาเยือนอีกหน เมฆหม่น ฟ้าครึ้มอาจยิ่งทำให้บรรยากาศในบ้านทึมเทากว่าปกติ การพาตัวเองออกไปนอกบ้าน (ในเงื่อนไขที่ดูแลตัวเองอย่างปลอดภัยและถูกสุขอนามัย) บ้างก็ดีต่อสุขภาพจิตเหมือนกัน แต่จะไปห้างสรรพสินค้าฝ่าผู้คนในช่วงนี้ก็อาจไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะนัก กิจกรรมกลางแจ้งหลายอย่างก็ไม่เหมาะกับฤดูฝน UNLOCKMEN อยากชวนไปร้านหนังสือดูสักครั้ง
โดยเฉพาะร้านหนังสืออิสระในวันฝนตก ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหนังสือ ไออุ่นและความห่วงใยจากคนขายที่พร้อมให้คำแนะนำ ความเงียบสงบที่ชวนให้เป็นสุขบางแบบที่หาไม่ได้จากที่อื่น ถ้ายังนึกไม่ออกว่าบรรยากาศในร้านหนังสือนั้นน่าหลงใหลจนควรค่าแก่การชวนใครสักคนไปด้วยกันได้อย่างไร วันนี้เราหยิบหนังสือ 5 เล่มเกี่ยวกับหนังสือและร้านหนังสือมาให้คุณได้ลองลิ้มรสความละมุนละไมกันก่อน
เราอยากกระซิบบอกคุณว่า “ร้านหนังสือเดินทาง” เป็นอีกร้านหนังสืออิสระที่โรแมนติกที่สุดอีกแห่งหนึ่ง ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่รู้จักร้านหนังสือในฐานะโซนหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่วางหนังสือเรียงรายใต้แสงนีออนชืด ๆ และไม่น่าเฉียดเข้าไปหมกตัวนาน ๆ เราอยากขอให้คุณรู้จักร้านหนังสือเดินทางแล้วคิดใหม่
แต่ถ้ายังไม่พร้อมไปเยือนร้านหนังสือเดินทางด้วยตัวเอง “A Great Little Place Called Independent Bookshop” เล่มนี้จะเป็นอีกเล่มที่พาคุณไปรู้จักร้านหนังสือร้านนี้จากปากเจ้าของร้านเอง เล่มนี้ไม่ได้เป็นแค่หนังสือที่พาไปสัมผัสบรรยากาศร้านหนังสือเท่านั้น แต่คือการเลาะลึกลงไปถึงแรงบันดาลใจ ความตั้งใจของมนุษย์คนหนึ่งที่หลงรักการอ่าน หลงรักหนังสือ และครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะนำสิ่งที่เขารักมาก ๆ มาเป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวเองได้
ในวันฝนพรำการได้อ่านเล่มนี้จึงเป็นเหมือนเชื้อเพลิงทำให้ใจอุ่นชั้นยอด เพราะนอกจากภาพร้านหนังสือที่จะคอยปลอบประโลมเราตลอดเล่ม เรื่องราวของหนุ่ม หนังสือเดินทาง แห่งร้านหนังสือเดินทางจะช่วยจุดไฟฝันให้เราได้ในวันที่ไฟอาจมอดลงไปบ้างแล้ว
“เป็นไปได้ไหมที่จะเอาสิ่งที่เรารักเป็นอาชีพ แล้วทำให้มันดูแลเราได้ในเชิงเศรษฐกิจ และทำให้ผู้คนรอบตัวเรามีความสุขกับมันไปด้วย” คำถามนี้ สำหรับผม มีคำตอบรูปธรรมออกมาเป็นร้านหนังสือ
สำหรับคุณร้านหนังสือเป็นอะไรได้บ้าง? เราเชื่อว่าคำตอบส่วนใหญ่ร้านหนังสือก็เป็นเพียงร้านหนังสือ มีขอบเขตชัดเจนว่ามีไว้เพื่อให้เรานำเงินไปแลกกับหนังสือสักเล่มที่เราต้องการ แต่สำหรับเอ.เจ.ฟิกรี้ เจ้าของ Island Books ร้านหนังสือแห่งเดียวบนเกาะอลิซ หนังสือ ร้านหนังสือ และความสัมพันธ์ของผู้คนที่เกี่ยวพันกับหนังสือกลับมีความหมายมากกว่านั้น
“หลากเรื่องในชีวิตของชายที่รักหนังสือ” เล่มนี้จะพาเราดำดิ่งไปในชีวิตชายผู้เป็นเจ้าของร้านหนังสือที่คนรักต้องมาตายจากไป เขากลายเป็นคนเกรี้ยวกราด หัวร้อน สิ้นหวังในชีวิต จนกระทั่งหลายสิ่งหลายอย่าง หลายความสัมพันธ์ที่ข้องเกี่ยวกันผ่านหนังสือและร้านหนังสือทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะมีชีวิตในอีกด้าน
หนังสือ คนเขียน คนอ่าน คนขายหนังสือ ไม่ได้มีมนตร์วิเศษด้วยตัวมันเองแต่อย่างใด แต่มันวิเศษตรงที่มันเยียวยาหัวใจบอบช้ำหลายดวงด้วยการบอกว่าชีวิตก็เป็นเช่นนี้ มันเจ็บปวด ผิดหวัง ไม่เป็นดังใจ แต่เราไม่ได้เผชิญสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง
ความเร็วอาจเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์เราในยุคนี้ เราต้องการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ทำให้สื่อสารได้ดังใจ เราต้องการร้านค้าออนไลน์ที่ตอบเร็ว ขายเร็ว ส่งเร็วแบบที่เราปรารถนา ร้านหนังสือก็เช่นกันร้านไหนตอบช้า เล่มไหนมาแล้ว เล่มไหนยังไม่มี ถ้ามัวอืดอาดไม่ทันใจ เราก็พร้อมเปลี่ยนไปร้านอื่นที่เร็วกว่าได้ตลอดเวลา
ร้านหนังสือเลขที่ 84 ถนนแชริงครอสส์ จึงเป็นหนังสือที่จะพาเราย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ความเร็วไม่ใช่เงื่อนไขสูงสุดของชีวิต แต่เป็นความใส่ใจ ความสัมพันธ์ที่หล่อเลี้ยงจิตใจ เฮเลน แฮฟฟ์ นักเขียนชาวนิวยอร์กที่เขียนจดหมายส่งข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงชาวร้าน มาร์คส์ แอนด์ โค. ร้านหนังสือในกรุงลอนดอนเพื่อสั่งซื้อหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้
บางเล่มได้มาง่าย บางเล่มต้องรอยาวนาน บางคราวจดหมายไม่ได้ส่งถึงกันเพียงเพื่อสั่งซื้อหนังสือ พวกเขาเชื่อมสัมพันธ์ผ่านตัวอักษร พูดคุยกันถึงหนังสือและชีวิตยาวนาน 20 ปี การได้อ่านหนังสือเล่มนี้ในวันฝนตกที่ชีวิตอาจไม่ได้เร่งรีบได้อย่างที่เราต้องการเสมอไป แต่ในวันที่ชีวิตช้า ๆ และได้รู้ว่าบางทีความช้าก็มีเสน่ห์ของมัน อาจทำให้เราอยากลองชวนใครไปอ่านหนังสือช้า ๆ ในร้านหนังสือสักแห่งก็เป็นได้
“… ถ้าเธอมีโอกาสผ่านไปที่เลขที่ 84 ถนนแชริงครอสส์ ช่วยประทับรอยจูบไว้ที่ร้านแทนฉันด้วยได้ไหม ฉันเป็นหนี้สถานที่แห่งนั้นมากเหลือเกิน”
‘ร้านหนังสือแถวบ้านผมกำลังจะปิดตัวลง ผมเป็นคนแรกที่รู้ เพราะพ่อผมเป็นเจ้าของร้าน…’ หากโลกนี้ไม่มีหนังสือเล่มนี้มีจุดเริ่มต้นแบบนั้น จุดเริ่มต้นที่ลูกชายเจ้าของร้านหนังสือชวนเพื่อนของเขามาคุยกันว่าหนังสือเป็นเล่ม ๆ ยังมีความหมายอยู่ไหม? ผู้คนยังมีความสุขกับการอ่านอยู่หรือเปล่า?
ภาพสี่สีตลอดเล่มฝีมือ Jimmy Liao ศิลปินขวัญใจใครหลายคน พร้อมด้วยโควตเด็ด ๆ จากนักเขียนชื่อดังจากทุกยุคทุกสมัย จะค่อย ๆ สะกิดเราให้ถามตัวเองเช่นกันว่าครั้งสุดท้ายที่คุณชอบหนังสือสักเล่มนั้นมันเมื่อไรกัน? ครั้งสุดท้ายที่พาตัวเองไปร้านหนังสือนั่นมันตอนไหนนะ?
ไม่ต้องกลับมาชื่นชอบการอ่าน หรือพาตัวเองไปร้านหนังสือทุกวัน แต่หนังสือเล่มนี้แค่ชวนให้คุณลองครุ่นคิดอีกสักครั้ง เปิดใจอีกสักหน ไม่แน่คุณอาจอยากพาใครสักคนไปร้านหนังสือสักแห่งมากกว่าที่คุณเคยคิด
นี่ไม่ใช่หนังสือที่เรียกร้องให้ทุกคนต้องกลับมาอ่านหนังสือ
นี่ไม่ใช่หนังสือที่ตัดสินใคร
แต่…ถ้าคุณหลงรักหนังสืออยู่แล้ว เล่มนี้จะทำให้คุณเหมือนต้องมนตร์และสุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะอ่านหรือไม่ ทุกคนก็ต่างเรียนรู้โลกได้ในแบบของตัวเอง
เมื่อนักเขียน 8 คนรับหน้าที่เล่าเรื่องราวของร้านหนังสือจากทั่วโลกในแบบของพวกเขา เราจึงจะได้ท่องไปในร้านหนังสือสารพัดรูปแบบที่พ้นไปจากร้านหนังสือที่เราเคยรู้จัก ในเล่มนี้เราจะได้สัมผัสร้านหนังสือโด่งดังที่ใคร ๆ ก็อยากไปเยือนสักครั้ง ร้านหนังสือขนาดใหญ่จนเราทึ่ง ร้านหนังสือขนาดกะทัดรัดที่มีเสน่ห์ในตัวเอง ไปจนถึงร้านหนังสือเฉพาะทางที่เราเพิ่งรู้ว่ามีอยู่
การได้อ่านหนังสือเล่มนี้จะพาเราไปเปิดมุมมองใหม่ ๆ ว่าร้านหนังสืออาจเป็นสถานที่ที่เอาเงินไปแลกหนังสือก็ได้ แต่ขณะเดียวกันร้านหนังสือบางแห่งก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง มีกลิ่นอายเฉพาะแบบ มีความโรแมนติกในบางแง่มุม ที่ถ้าเราพลาดไปก็อาจเสียดายไปทั้งชีวิตได้เช่นกัน
ในวันฝนตก และสถานการณ์ COVID-19 ยังไม่คลี่คลาย เตรียมตัวเองให้พร้อม แล้วลองหาหนังสืออิสระใกล้ ๆ บ้านสักร้าน การพาตัวเองไปอยู่ในบรรยากาศใหม่ ๆ ที่ในห้วงเวลาปกติไม่เคยคิดจะไปมาก่อน ก็อาจทำให้เราได้อะไรใหม่ ๆ กลับมาได้เช่นกัน