ช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนหมดปี 2023 ที่ผ่านมา เราทำงานแบบ WFH อยู่บ้านทั้งสัปดาห์ก็เลยได้โอกาสทองในการทำลายกองดอง (ส่วนหนึ่ง) ตั้งแต่ต้นปีให้พร่องลงเล็กน้อย และจากจำนวนเล่มที่เลือกมาทั้งหมด ก็มีนิยายญี่ปุ่นของโอตสึ อิจิ นี่ล่ะที่ติดอยู่ในใจเอามาก ๆ นักเขียนอะไรดังตั้งแต่อายุ 17 (ฤดูร้อน ดอกไม้ไฟ และร่างไร้วิญญาณของฉัน) และถูกเรียกว่าเป็นเครื่องจักรผลิตความเศร้ามาตั้งแต่ตอนนั้น ตัวอักษรใน ‘เสียงโทรศัพท์ข้ามเวลา’ (Calling You) きみにしか聞こえない ทำงานของมันสำเร็จอีกครั้ง เอาน้ำตาของเราไปหลายลิตร รวม 3 เรื่องสั้นก็เอาน้ำตาไปทั้ง 3 ครั้ง ก็เพราะธีมของเรื่องสั้นทั้งหมดล้วนพูดถึง ‘ความรัก’ ในรูปแบบที่ต่างกัน ของตัวละครต่างวัย แต่ทุกคนเหมือนกันตรงที่ถูกความรักเหล่านั้นเป็นอาวุธทิ่มแทงใจจนปวดร้าว เกิดเป็นความรักที่ไม่สมหวัง / ความรักที่ทำร้าย และ ความรักที่ถูกกีดกัน ‘เสียงโทรศัพท์ข้ามเวลา’ เล่าเรื่องของ เรียว เด็กสาวที่ฝันอยากมีโทรศัพท์มือถือเป็นของตัวเอง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีเพื่อนให้โทรหาเลยก็ตาม ความหมกมุ่นนำไปสู่จินตนาการถึงโทรศัพท์ในหัวของตัวเอง ก่อนจะพาเธอไปสู่เหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อจู่ ๆ มีใครบางคนโทรเข้ามาในหัว และมันจะเปลี่ยนชีวิตของเรียวให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ‘บาดแผลวัยเยาว์’ พูดถึงมิตรภาพเด็กประถมในชั้นเรียนพิเศษ 2 คน
การกลับมาของอัลบั้มชุดที่ 6 (เลขจริงที่ไม่ได้ตั้งเอาชื่อมงคลแบบชุดที่ 8) ของวง POP ที่ม่วนที่สุดในค่ายห้องเล็ก Smallroom ชื่อ Tattoo Colour หลังจากที่หายจากการปล่อยอัลบั้มเต็มถึง 5 ปี แล้วก็ต้องบอกว่าพวกเขากลับมาอย่างสม ‘ศักดิ์ศรี’ จริง ๆ ทั้งการมีชื่อด้อมของตัวเองเป็นครั้งแรกว่า ‘ชาวนัวร์’ ไปจนถึงคอนเซปต์ของการทำอัลบั้ม ‘เรือนแพ ชุดที่ 6’ ที่ทั้ง 4 คนเช่าบ้านอยู่ด้วยกันเพื่อตกผลึกเพลงของทั้งอัลบั้ม จนทำให้กลายเป็นอัลบั้มที่สำหรับแฟน ๆ แล้ว ใช้คำว่า ‘ใช่’ ได้อย่างสิ้นเปลืองที่สุด ย้อนเวลากลับไปในปี 2008 ตอนที่อัลบั้ม ‘ชุดที่ 8 จงเพราะ’ กำลังโปรโมทซิงเกิล ‘จำทำไม’ อยู่นั้น มันเป็นตอนเดียวกับที่ผู้เขียนกำลังนั่งเรียนพิเศษเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามัธยมปลาย ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาว่ากันว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญและยากที่สุดในชีวิตวัยรุ่น แต่เราก็โชคดี ที่มีเพลงของ Tattoo Colour เป็นเหมือนซาวด์แทร็คประกอบชีวิต ชุบชูจิตวิญญาณของเด็กคนนั้นให้การเติบโตอย่างไม่ยากจนเกินไปนัก และในปัจจุบันที่เป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้ว ความเป็นเด็กของเราก็ยังถูกซ่อนไว้ในความทรงจำที่มีร่วมกับเพลงของพวกเขาเสมอ จะเปิดเพลงไหน เปิดเมื่อไหร่
เข้าสู่กันยายนเดือน 9 กันแล้ว ก็นับถอยหลังใกล้เข้าสิ้นปีกันเข้าไปเรื่อย ๆ ทุกที เดี๋ยวกระพริบตาอีกครั้งเดียวปีนี้ก็จะหมดไป ใครที่ตั้ง Wish List ของปี 2022 กันเอาไว้ตั้งแต่ต้นปีแล้วยังทำไม่สำเร็จ ก็ต้องรีบเร่งมือกันหน่อยแล้วล่ะ แต่ในช่วงเวลาที่โลกยังปั่นป่วนแบบนี้ แค่ตั้งปณิธานให้ตัวเองมีความสุขในทุกวันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อพูดถึง ‘เวลา’ เรามักยกเรื่อง ‘ความเสียดาย’ ขึ้นมาพูดคู่กันเสมอ เพราะคุณค่าของเวลานั้นสำคัญ และอยู่ที่การใช้อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุดในแบบที่ตัวเองสบายใจจริง ๆ UNLOCKMEN ขอแนะนำ 10 หนังสือที่ทำให้เราเห็นคุณค่าของนาฬิกาชีวิตที่มีจำกัด ที่ขอรับรองเลยว่าอ่านแล้วไม่เสียดายเวลาอย่างแน่นอน The Last 10 Years สุดท้ายและตลอดไป (余命10年) ผู้เขียน : Kosaka Ruka สำนักพิมพ์ : Avocado Books “ถ้าคุณรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองเหลือเวลาชีวิตอีกเพียง 10 ปี จะใช้ชีวิตอย่างไรให้คุ้มค่า ไม่ค้างคาเมื่อจากไป และมีความสุขได้ในทุกวัน” นี่คือคำถามที่หนังสือ The Last 10 Years
“จะซื้อหนังสือมาทำไมถ้าไม่อ่าน?” “อ่านที่มีอยู่ให้หมดก่อนแล้วค่อยซื้อเพิ่มสิ” “โธ่ ก็แค่อยากเท่ใช่ไหม ถึงมีหนังสือไว้แค่ประดับบ้าน” เราเชื่อว่าถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีกองดอง หรือกองหนังสือที่ซื้อมาแล้วแต่ยังไม่ได้อ่านวางดองรอวันที่เหมาะสมอยู่ที่บ้าน คุณต้องเคยเผชิญกับประโยคเหล่านี้จากคนรอบตัวอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิตแน่นอน แม้เราอยากจะตอบคำพูดเหล่านั้นกลับไปง่าย ๆ ว่า “หนังสือผม เงินผม ผมจะทำอะไรก็ได้” แต่ก็ไม่ได้ทำ… รวมถึงหลายครั้งที่เราเห็นภาพถ่ายบ้านคนเก่ง ๆ ระดับโลก Elon Musk เอย Bill Gates เอย แล้วเขามีหนังสือจำนวนมากเรียงราย หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่า อ่านหมดเหรอ? วันนี้ UNLOCKMEN ชวนมาไขข้อข้องใจว่าทำไมหนังสือต่อให้ซื้อมาแล้วไม่ได้อ่านก็มีประโยชน์อยู่ดี รับรองว่าจะรู้สึกสบายใจกับหนังสือ (ที่ยังไม่ได้อ่าน) ของตัวเองและคนอื่น รวมถึงเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมคนเก่ง ๆ หลายคนเขาถึงมีหนังสือจำนวนมากกันขนาดนั้น แม้จะอ่านได้ไม่หมดในชีวิตนี้ก็ตาม antilibrary: หนังสือที่ยังไม่ได้อ่าน เตือนเราว่า “ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ยังไม่รู้” เรามักได้ยินคำพูดทำนองว่าคนอ่านหนังสือเป็นคนอวดรู้ หรือคิดว่าตัวเองรู้ดี รู้เยอะกว่าคนอื่น แต่ความเชื่อแบบนั้นอาจต้องเปลี่ยนไปแบบพลิกโลก เพราะสำหรับคนที่มีหนังสือเรียงราย แต่อ่านไม่หมด เขากลับถ่อมตัว (ในสิ่งที่เขารู้) และตระหนักว่าพวกเขายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก หนึ่งในคนที่เสนอเรื่องยิ่งมีหนังสือไม่ได้อ่าน ยิ่งกระหายการเรียนรู้คือ Nassim Nicholas Taleb เขาคือนักสถิติ
เราต่างหายใจอยู่บนโลกยุคที่เห็นความสำเร็จของคนอื่นผ่านหน้าจอมือถือได้ตลอด 24 ชั่วโมง เราเห็นความสุขที่เพื่อน ๆ ใช้เงินมหาศาลแลกกับการพักผ่อนหรูหราในวันที่เราแสนเศร้า เราเห็นคนรู้จักก้าวหน้าในหน้าทีการงานแบบก้าวกระโดด แต่เรายังอยู่ที่เดิม นี่คือโลกที่เรามองเห็นคนอื่นได้ง่ายดาย แต่กลับยิ่งทำให้เราใจหายกับสิ่งที่เราเป็นมากขึ้นทุกวัน ๆ เมื่อชีวิตคนอื่นก้าวไปไกล เมื่อเห็นใคร ๆ ประสบความสำเร็จ เมื่อเห็นผู้คนมากมายที่เข้าถึงความสุขแบบที่เราเข้าไม่ถึง เราจึงอดเอาตัวเองไปเทียบไม่ได้ เราไขว่คว้า วิ่งไล่ตาม อยากสุขแบบนั้น สำเร็จแบบนี้ มีเงินแบบโน้น ซึ่งการกระหายที่จะดีขึ้นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่การวิ่งไล่ตามความสำเร็จของคนอื่น อาจทำเราแสนเหนื่อยแสนท้อ โดยหลงลืมไปว่า จริง ๆ แล้วแต่ละคนมีบริบทที่ไม่เท่ากัน มีต้นทุนชีวิตที่แตกต่างกัน และแน่นอนว่าเวลาในการประสบความสำเร็จก็ไม่เท่ากันด้วย ก่อนที่จะวิ่งไล่ล่าความสำเร็จในแบบคนอื่นจนหมดแรงไปเสียก่อน เราอยากชวนคุณมาพักทบทวนความสำเร็จ ทบทวนจุดยืน ทบทวนคุณค่าด้วยหนังสือ 5 เล่มที่จะพาไปสำรวจความสำเร็จในมุมอื่น ๆ ที่ต่างออกไป หลังอ่านจบ เราอาจตระหนักได้มากขึ้นว่าเราล้วนมีความสำเร็จในแบบของเรา และมันไม่จำเป็นต้องมาถึงในเวลาเดียวกับที่คนอื่นเขามาถึงก็ได้ วิทยาศาสตร์แห่งความสำเร็จ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” อาจเพราะเราเติบโตมากับคำสอนแบบนี้ตั้งแต่จำความได้ จึงไม่แปลกที่ทุกครั้งที่เราเห็นเพื่อนเราสำเร็จ ได้ดิบได้ดี เราจะเชื่อว่าเพราะเขาพยายาม ในขณะเดียวกันเราก็โบยตีและโทษตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเพราะเราไม่พยายามหรือพยายามไม่พอถึงยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ วิทยาศาสตร์แห่งความสำเร็จ
ใครบางคนเคยนิยามว่าความรักคือความป่วยไข้ ยามใดที่ติดเชื้อเข้าแล้ว พิษรักอาจเสกโลกทั้งใบให้งดงามหมดจด แต่พิษรักก็ทำให้เพ้อคลั่งอกกลัดหนอง แบบที่เราในยามปกติไม่มีวันเป็นได้ เพราะอย่างนี้ความรักจึงอาจเป็นความป่วยไข้สำหรับบางคน เป็นพรวิเศษสำหรับหลายคน เป็นสวงสวรรค์หรือขุมนรก แล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละคนจะนิยาม ไม่ว่าเราอายุเท่าไร เรียนสูงเพียงไหน ผ่านอะไร ๆ มามากมายเพียงใด ความรักก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่คุณต้องทำความรู้จักอีกหนเมื่อมันเดินมาทักทาย แต่นอกจากความรักที่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว ความรักพิสูจน์ได้หรือไม่? มีทฤษฎีอะไรมารองรับหรือเปล่า? เราเชื่อว่าหลายคนเคยอยากรู้ เราถึงแวะเอาหนังสือ 5 เล่มที่ว่าด้วยความรัก แต่เป็นความรักที่เชื่อมโยงกับทฤษฎีทั้งทางวิทยาศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เผื่อว่าสักเล่มในนี้จะทำให้ความรักดูแปลกหน้าน้อยลง หรือเข้าใจตัวเองและเรื่องราวรักใคร่ที่ผ่านมาได้ราบรื่นขึ้น ทำไมต้องตกหลุมรัก: Alain Badiou ความรัก และ The Lobster บางคนบอกว่าความรักไม่มีเหตุผล นั่นอาจเป็นเพราะมันเหนื่อยเปล่าที่จะต้องหาคำตอบว่าทำไมเราถึงตกหลุมรักใครสักคน แต่หลายหนเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าการจะตกหลุมรักใครสักคนได้นั้นมีปัจจัยอะไรมาข้องเกี่ยวบ้าง? ทำไมต้องตกหลุมรักเล่มนี้จะพาเราสวมแว่นทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ทำให้เรามองความรักผ่านเลนส์ที่เราไม่เคยมองมาก่อนว่าการตกหลุมรักใครสักคนอาจมีเกณฑ์บางอย่างซ่อนอยู่ก็ได้ ในขณะเดียวกันยุคสมัย ทุนนิยม และอีกหลายสิ่งรอบตัวเราก็ลอบลดทอนความรักให้เหลือเพียงอะไรบางอย่าง อย่างกำไร ขาดทุน ไปด้วย การอ่านเล่มนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเห็นด้วยกับทุกประโยค แต่เรารับรองได้ว่าคุณจะได้กระโจนเข้าหาอีกมุมของความรักที่คุณอาจไม่ทันคิดว่ามันก็มีมุมแบบนี้อยู่ รวมถึงชวนคุณตั้งคำถามบางแบบที่คุณอาจไม่เคยกล้าแม้แต่จะถามตัวเองเกี่ยวกับความรัก จงรักสิ่งที่คุณจะไม่มีวันได้เจออีกเป็นครั้งที่สอง ถอดรหัสรักออนไลน์ รักออนไลน์มันปลอม! บางคนกล่าวหาความรักที่พบเจอกันในโลกเสมือนไว้แบบนั้น แต่รู้หรือไม่ว่าเว็บไซต์หาคู่อาจช่วยจับคู่ให้คุณได้ถึงเดือนละ 70 คน
ฝนโปรยลงมาอีกครั้ง ฤดูฝนมาเยือนอีกหน เมฆหม่น ฟ้าครึ้มอาจยิ่งทำให้บรรยากาศในบ้านทึมเทากว่าปกติ การพาตัวเองออกไปนอกบ้าน (ในเงื่อนไขที่ดูแลตัวเองอย่างปลอดภัยและถูกสุขอนามัย) บ้างก็ดีต่อสุขภาพจิตเหมือนกัน แต่จะไปห้างสรรพสินค้าฝ่าผู้คนในช่วงนี้ก็อาจไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะนัก กิจกรรมกลางแจ้งหลายอย่างก็ไม่เหมาะกับฤดูฝน UNLOCKMEN อยากชวนไปร้านหนังสือดูสักครั้ง โดยเฉพาะร้านหนังสืออิสระในวันฝนตก ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหนังสือ ไออุ่นและความห่วงใยจากคนขายที่พร้อมให้คำแนะนำ ความเงียบสงบที่ชวนให้เป็นสุขบางแบบที่หาไม่ได้จากที่อื่น ถ้ายังนึกไม่ออกว่าบรรยากาศในร้านหนังสือนั้นน่าหลงใหลจนควรค่าแก่การชวนใครสักคนไปด้วยกันได้อย่างไร วันนี้เราหยิบหนังสือ 5 เล่มเกี่ยวกับหนังสือและร้านหนังสือมาให้คุณได้ลองลิ้มรสความละมุนละไมกันก่อน A Great Little Place Called Independent Bookshop เราอยากกระซิบบอกคุณว่า “ร้านหนังสือเดินทาง” เป็นอีกร้านหนังสืออิสระที่โรแมนติกที่สุดอีกแห่งหนึ่ง ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่รู้จักร้านหนังสือในฐานะโซนหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่วางหนังสือเรียงรายใต้แสงนีออนชืด ๆ และไม่น่าเฉียดเข้าไปหมกตัวนาน ๆ เราอยากขอให้คุณรู้จักร้านหนังสือเดินทางแล้วคิดใหม่ แต่ถ้ายังไม่พร้อมไปเยือนร้านหนังสือเดินทางด้วยตัวเอง “A Great Little Place Called Independent Bookshop” เล่มนี้จะเป็นอีกเล่มที่พาคุณไปรู้จักร้านหนังสือร้านนี้จากปากเจ้าของร้านเอง เล่มนี้ไม่ได้เป็นแค่หนังสือที่พาไปสัมผัสบรรยากาศร้านหนังสือเท่านั้น แต่คือการเลาะลึกลงไปถึงแรงบันดาลใจ ความตั้งใจของมนุษย์คนหนึ่งที่หลงรักการอ่าน หลงรักหนังสือ และครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะนำสิ่งที่เขารักมาก ๆ มาเป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวเองได้ ในวันฝนพรำการได้อ่านเล่มนี้จึงเป็นเหมือนเชื้อเพลิงทำให้ใจอุ่นชั้นยอด เพราะนอกจากภาพร้านหนังสือที่จะคอยปลอบประโลมเราตลอดเล่ม เรื่องราวของหนุ่ม
“หัวใจถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแตกสลาย” Oscar Wilde นักเขียนมากฝีมือชาว Irish กล่าวไว้แบบนั้น บางคนอาจเห็นด้วย บางคนอาจไม่เห็นด้วย แต่ไม่ว่าหัวใจหรือชีวิตจะแตกสลายเพียงใด เราก็ยังต้องดิ้นรนที่จะมีชีวิตรอดในโลกใบนี้ต่อไป คำถามก็คือถ้ามันแตกสลายถึงเพียงนั้น อะไรจะทำให้เรายังก้าวต่อไปได้? บางคนอาจมีคำตอบอยู่แล้ว บางคนอาจไม่แน่ใจกับคำตอบที่มี หรือบางคนเคว้งคว้างอยู่บนความเจ็บปวดแหลกสลายและไม่รู้จะต้องเดินไปทางไหนต่อ UNLOCKMEN ไม่มีคำตอบถูกต้องตายตัวให้ แต่เราอยากแบ่งปันหนังสือ 5 เล่มที่ว่าด้วยปรัชญา แก่น จิตวิญญาณจากญี่ปุ่น ที่อาจไม่ได้บอกเราว่า “ห้ามแตกสลาย” แต่ 5 เล่มนี้จะบอกเราว่าชีวิตก็เป็นเช่นนี้ มีบาดแผล มีเจ็บปวด มีแหลกสลาย แต่หัวใจของเราต้องไปต่อให้ได้ และได้ในแบบที่ยังรัก เคารพและมีความสุขกับเส้นทางที่เรามีเหลืออยู่ อิคิไก: ความหมายของการมีชีวิตอยู่ Ken Mogi บางครั้งชีวิตที่แหลกสลายคือการไม่อาจหาความหมายของการตื่นมาแต่ละวันได้ เราไม่รู้ว่าเช้านี้เราตื่นมาทำไม แค่ลืมตา หายใจ ไปทำงาน ก้มหน้าก้มตา กินข้าว กลับบ้าน รถติด หมดเวลาเข้านอน วนไปไม่รู้จบ เพื่อเงินเดือนหรือ? หรือเพื่อเอาเงินเดือนมาใช้ชีวิตและหาความสุขอีกทีกันแน่? แล้วถ้ามันเป็นแบบนั้นทำไมเราจึงตื่นมาแล้วพบว่าแต่ละเช้าช่างไร้ความหมายเช่นนี้ “อิคิไก” จึงเป็นแก่นแท้ที่ชวนให้เราค้นหาความหมายและความสมดุลแห่งชีวิต
เราต่างเจ็บปวด ทุกข์เศร้า และสูญเสียอะไรบางอย่างให้กับ COVID-19 บางคนเข้าใจ รับมือได้ หรือมีต้นทุนมากพอที่จะดูแลตัวเองให้ผ่านพ้นปัญหาไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ไม่ใช่กับทุกคน บางปัญหา บางการสูญเสีย ปล่อยหมัดตรงจนเราเสียศูนย์ล้มลงไม่เป็นท่า นอกจากการแก้ปัญหาอันเป็นรูปธรรม อีกสิ่งที่มีความหมายไม่แพ้กันคือ “ความแข็งแกร่งของหัวใจ” ถ้าสูญเสียด้วย หัวใจแหลกสลายด้วย การลุกขึ้นมาเจอแสงสวยงามของวันใหม่อาจไม่มีวันมาถึง อย่างน้อยที่สุดหากยังไม่รู้จะหาทางคลี่คลายความเลวร้ายที่เจอได้อย่างไรก็ประคับประคองหัวจิตหัวใจของตัวเองให้สบายดี เพื่อวันหนึ่งที่มีทางคลี่คลาย เราจะได้ฟันฝ่าไปด้วยหัวใจที่พร้อมสู้ไม่ถอย หนังสือ 5 เล่มนี้คือหนังสือที่เราอยากให้ใครบางคนที่เศร้า ใครบางคนที่สูญเสีย ใครบางคนที่หัวใจฟีบแฟบไร้ทางกู้คืนได้ลองอ่าน หัวใจอาจไม่แกร่งข้ึนภายในชั่วข้ามคืน แต่มันจะมีความหมายบางอย่างทางความรู้สึกให้คุณได้แน่นอน จะเล่าให้คุณฟัง DEJAME QUE TE CUENTE Jorge Bucay “หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผู้คนมาแล้วจำนวนมากทั่วโลก” นี่คือนิยามของหนังสือเล่มนี้ แต่เมื่อไรที่ได้ยินคำว่าเปลี่ยนชีวิต เราก็คงอดตั้งกำแพงไม่ได้ว่านี่คือหนังสือไลฟ์โค้ช ฮาวทู ที่เอาแต่บอกให้เรามองโลกในแง่ดี ๆ ๆ บอกให้เราเปลี่ยนตัวเอง เลิกเศร้า เลิกทุกข์ ลุกขึ้นมาฉีกยิ้มร่าโดยไม่สนความเป็นจริงหรือเปล่า? เราขอสัญญาว่าหนังสือเล่มนี้จะไม่ทำแบบนั้นกับคุณ ที่สำคัญหลังอ่านเล่มนี้จบคุณจะมีสิทธิทุกประการที่จะเลือกคิด เลือกจัดการทุกความเศร้าและปวดเจ็บด้วยตัวคุณเอง แต่เป็นการจัดการด้วยมุมมองใหม่ ๆ ที่คุณได้จากการทบทวนตัวเอง ครุ่นคิดกับสิ่งที่รู้สึก “จะเล่าให้คุณฟัง”
หนังสือคือเพื่อน หนังสือคือจินตนาการ หนังสือคือความรู้ หนังสือเป็นอะไรก็ได้ตราบเท่าที่คนอ่านอย่างเรานิยามให้ ในช่วงเวลาที่เราแทบไม่ได้ออกไปไหน ใช้เวลาส่วนใหญ่ในโลกปิดแคบที่เรียกว่าบ้านและโหยหาการเดินทางใจจะขาด หนังสือจะพาเราออกโบยบินไปไกลแสนไกล UNLOCKMEN จึงเอา 5 หนังสือเรื่องการเดินทางมาฝากมนุษย์ทุกคนที่ต้องอยู่บ้านเพื่อส่วนรวม รวมถึงที่ยังต้องออกไปทำงาน (แต่ก็ไม่อาจเดินทางไปไหนไกล ๆ ได้) ทุกการเดินทางในหนังสือ 5 เล่มนี้ไม่เพียงเป็นการเดินทางเพื่อท่องเที่ยว แต่เป็นการเดินทางเพื่อตามหาความหมายอะไรบางอย่าง ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่าในช่วงเวลาอันยากลำบากและชวนสับสนนี้ เราทุกคนต่างพยายามตั้งคำถามว่า “ชีวิตเราต้องการอะไรกันแน่?” มากกว่าที่เคยถามมาทั้งชีวิต สู่หนไหน “สู่หนไหน” หนังสือที่จะพาเราเดินทางไปกับ 2 หนุ่มบ้าระห่ำที่ไม่ได้ต้องการเดินทางเพื่อสิ่งใด นอกจากตอบสนองเสียงเรียกร้องในหัวใจของตัวเองเท่านั้น พวกเขาเดินทางด้วยรถเก่า ๆ รอนแรมไปทัวสหรัฐอเมริกาดินแดนแห่งเสรีที่ดูเหมือนว่าใจของพวกเขาจะเสรียิ่งกว่า การได้อ่านเล่มนี้ให้ความรู้สึกราวกับได้กระเตงไปบนรถเก่าคร่ำคร่า บางหนรถวิ่งอย่างราบรื่นพาไปเห็นบางมุมของชีวิตที่สวยงาม บางคราวรถกระตุกทุลักทุเลราวกับว่าไม่อาจจะไปต่อได้ แต่เช่นนั้น เช่นที่การเดินทางและชีวิตของมนุษย์อย่างเรา ๆ เป็น เพราะหนทางนั้นอีกยาวไกล เราจึงต้องเจอทั้งดีและร้ายอีกมาก แต่ที่หนังสือเล่มนี้ทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองได้อย่างเด็ดขาดคือ “ชีวิตคืออะไร?” เรากล้าจะกระโจนเข้าสู่การเดินทางราวกับตัวละครหลักของเรื่องไหม? ทั้งถนนหนทางจริง ๆ และถนนหนทางของชีวิตเรานั่นเอง ในครึ่งที่ยังว่างของกระเป๋าเดินทางสีฟ้า เรื่องราวของมนุษย์เงินเดือนวัย 29 ปี ที่ตั้งแต่ลืมตามาบนโลกจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยออกเดินทางไปต่างประเทศแม้สักหน แล้วจู่ ๆ