ยังไม่ทันพ้นช่วงต้นของปี โลกใบนี้ก็ดูจะใจร้ายกับเราถึงขีดสุด ไฟป่าครั้งใหญ่ในดินแดนจิงโจ้ เหตุกราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา วิกฤติไวรัสที่ทำอกสั่นขวัญแขวนไปทั่วทั้งโลก สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานการณ์ไกลตัวเพราะมันค่อย ๆ กัดกร่อนลุกลามมาถึงธุรกิจของใครบางคนที่กำลังไปได้สวย คนที่เรารักที่อาจต้องเผชิญวิกฤตหนัก โอกาสทางหน้าที่การงานของใครสักคนที่กำลังสว่างไสว แต่ทั้งหมดที่ดูจะแบ่งบานก็คล้ายจะร่วงโรยลงตรงหน้า ตอนยังเด็ก เมื่อเจอเรื่องเสียใจ เราคงแค่วิ่งเข้าบ้าน ร้องไห้ตัวโยนขอกอดโอบอุ่นจากแม่ให้หายตกใจ ขอให้พ่อพาขี่หลังตระเวนเที่ยวจนกว่าจะหายเศร้า หรือขอขนมจากเพื่อน รวมถึงการวิ่งเล่นลืมโลกจนเรื่องทุกข์ร้อนใดก็ไร้ความหมาย แต่เพราะตอนนี้เราไม่ใช่เด็ก ๆ “โตแล้วต้องดูแลตัวเองให้ได้” UNLOCKMEN จึงอาสาส่งกอดแบบผู้ใหญ่ ๆ ให้ก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กันด้วย “5 หนังสือปลอบใจในวันที่เป็นผู้ใหญ่แต่โลกทั้งใบร้ายกับเราเหลือเกิน” หนังสือ 5 เล่มนี้คงไม่ได้ช่วยเราสะสางทุกปมปัญหาได้ทันทีทันใด แต่มันมีความหมายในแง่การค่อย ๆ ชะโลมไออุ่น ๆ ให้เรามองเห็นโลกในอีกแบบ เข้าใจความทุกข์ในอีกทาง และเห็นความสุขในอีกมุม วะบิ-ซะบิ Wabi-Sabi Leonard Koren คุณมองความไม่สมบูรณ์แบบด้วยสายตาแบบไหน? ทุกครั้งที่เจอรอยบูดเบี้ยวของชีวิตคุณรู้สึกเช่นไร? มนุษย์จำนวนไม่น้อยที่มองชีวิตเป็นประติมากรรมชิ้นเอก ไร้ร่องรอยแตกหัก สมบูรณ์ทุกกระเบียดดังใจ และเมื่อความไม่สมบูรณ์แบบมาเยือนจึงเจ็บปวดแหลกสลาย ราวกับทั้งชีวิตจะไม่มีอะไรดีหลงเหลืออยู่เลย “วะบิ-ซะบิ (Wabi-Sabi 侘寂)” คือปรัชญาจากแดนปลาดิบที่บอกเราให้โอบกอดความไม่สมบูรณ์แบบ อยู่กับรอยแผลในชีวิต
ครั้งหนึ่งในกาแลคซี่ทางช้างเผือก มนุษย์อย่างเราเคยมั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่าชีวิตบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้เต็มไปด้วยความหวังมากกว่าดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ดวงอื่น ๆ อีกหมื่นแสนดวง เพราะบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้มีอากาศให้หายใจ มีชีวิต มีการเกิดใหม่ มีความเป็นไปได้ให้เราฝันและหวังไม่สิ้นสุด แต่ในทางกลับกันเมื่อมนุษย์รวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เชื้อกลายพันธุ์ โรคระบาด ก็สามารถแพร่ไปได้รวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง เมื่อวันนั้นมาถึง โรคร้ายจึงทำให้โลกที่เคยดี กลายเป็น “โลกร้าย” ที่กลิ่นของความตายลอยคละคลุ้ง เมืองพังพินาศ ระบบการจัดการล้มเหลวและผู้คนกำลังจะตาย ในห้วงเวลาเช่นนั้นมนุษย์จะเผยให้เห็นความสิ้นหวัง ความมืดหม่นแห่งความคิดและจิตใจออกมาได้อย่างชวนขนลุกขนพอง แม้ในความเป็นจริงมวลมนุษยชาติจะยังไม่เคยก้าวไปถึงจุดนั้น แต่เราเชื่อว่าหนังสือว่าด้วยโลกร้าย 5 เล่มนี้จะพาคุณไปรู้จักความสิ้นหวังจากโรคระบาดให้เราได้ดำดิ่ง และเตรียมตัวล่วงหน้าเผื่อวันแห่งหายนะนั้นมาถึง บอด : José Saramago เพราะดวงตาคือความหวัง คือแสงสว่าง คืออวัยวะที่ช่วยให้มวลมนุษยชาติมองเห็น การสูญเสียการมองเห็นจึงไม่ได้หมายความถึงแค่อวัยวะหนึ่งล้มเหลว แต่หมายถึงมนุษย์จะต้องเผชิญกับความมืดบอดของโลกและอยู่กับความสิ้นหวังที่จะเห็นสรรพสิ่งไปตลอดกาล “บอด” คือวรรณกรรมผลงานนักเขียนรางวัลโนเบลที่ว่าด้วยโรคลุกลามแพร่ระบาดที่ทำให้มนุษย์มองอะไรไม่เห็นอีกต่อไป! เรื่องเริ่มที่ชายคนหนึ่งขับรถติดไฟแดงอยู่ดี ๆ ฉับพลันดวงตาเขาก็ขาวโพลน ไม่อาจมองสิ่งใดเห็น หลังจากนั้นอาการตาบอดก็แพร่ออกไปจากคนหนึ่ง สู่อีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่ง ตอนนั้นเองที่ทุกอย่างตกอยู่ในความโกลาหล วรรณกรรมเรื่องนี้ไม่เพียงแค่พาเราดิ่งลึกลงไปในความมืดบอดและโรคติดเชื้อ แต่มวลมนุษยชาติผู้สิ้นหวัง สับสน รัฐบาลที่แก้ปัญหาอย่างมืดบอดไม่แพ้อาการตาบอดที่แพร่ระบาด ไปจนถึงมาตรฐานศีลธรรมที่ในเวลาปกติเราเคยยึดถือ แต่เมื่อทุกคนกระเสือกกระสนหนีตาย ศีลธรรมก็คล้ายเป็นเพียงลมปากที่ไม่มีความหมายอีกต่อไป
หรือโลกนี้คือนรก? สำหรับบางคน มีเพียงชีวิตหลังความตายเท่านั้นที่มอบฑัณฑ์ทรมานให้พวกเขาได้ ไฟโลกันตร์สีแดงแผดเผา ภาชนะทองแดงบรรจุน้ำกรดเดือดดำรอกรีดแหวกเรือนร่าง หนามแหลมคมแทงทิ่มสร้างความปวดเจ็บไม่รู้จบรู้สิ้น แต่สำหรับบางคนทัณฑ์ทรมานมาถึงได้โดยไม่ต้องรอให้หมดลมหายใจ การมีชีวิตไปวัน ๆ บนโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันชิงดีชิงเด่น การนอนให้ผ่านไปแต่ละคืนเพื่อตื่นขึ้นมาพบว่าเราต้องทุกข์ทนใช้ชีวิตกลวงเปล่าไร้จุดหมายไปอีก 24 ชั่วโมงอันยาวนาน โลกที่ผู้คนพลุกพล่าน แต่เรากลับรู้สึกเย็นเยียบ เงียบงัน ราวกับตกนรกทั้งเป็น หนังสือบางเล่มชวนให้เราออกไปใช้ชีวิต หนังสือบางเล่มปลอบประโลมเรา หนังสือบางเล่มทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ในขณะที่หนังสือบางเล่มทำให้เราเข้าใจว่าเราไม่ได้รู้สึกราวกับตกนรกอยู่เพียงลำพัง และนี่คือหนังสือ 5 เล่มที่จะพาเราดำดิ่งไปในเรื่องราวของมนุษย์ ทันฑ์ทรมาน ความเงียบงัน ที่ไม่แผดเผาเจ็บปวดเหมือนนรกหลังความตาย แต่ทำให้เข้าใจว่าโลกใบนี้อาจร้ายเงียบกว่าที่คิด และใช่ เรามีเพื่อนที่ตกนรกไปด้วยกันอีกพัน ๆ ล้านคนทั่วดาวเคราะห์สีน้ำเงินใบนี้ Revenge: Eleven Dark Tales Yoko Ogawa ขอต้อนรับสู่โลกมืดมิดและบิดเบี้ยวที่จะรบกวนจิตใจของคุณไปอีกนาน นิ่งเรียบ เงียบงัน เสียวสันหลังและชวนให้ขนลุกวาบอยู่เป็นระยะ ๆ นี่คือนิยามที่เรายกให้ “Revenge: Eleven Dark Tales” หลังอ่านจบ ถ้าจะบอกคร่าว ๆ นี่คือเรื่องสั้น 11 เรื่องที่ว่าด้วยความตาย
“ความสุขคืออะไร?” คำถามปริศนาธรรมล้ำลึก ยากพอ ๆ กับถามว่า “ตายแล้วไปไหน?” บางคนนิยามความสุขว่าคือความพึงพอใจในวินาทีตรงหน้า บางคนนิยามความสุขว่าคือการมีวินัยต่อตัวเองเพื่อไปถึงเป้าหมายหอมหวานภายหลัง บางคนนิยามความสุขว่าคือการทำงานหนักไม่หยุดหย่อน บางคนนิยามความสุขว่าคือการนอนเล่นนานเท่าที่อยากนอน แต่ความสุขที่แท้จริงคืออะไรกันแน่? มีใครเคยศึกษาอย่างลึกซึ้งไหมว่าสุขก่อนแล้วทุกข์ทีหลัง หรือยอมทุกข์ก่อนแล้วรอสุขใหญ่ทีเดียว แบบไหนปริมาณความสุขพุ่งสูงกว่ากัน? หรือถ้าทำงานหนักโดยไม่พักผ่อนเลย แต่กูก็มีความสุขดีนี่หว่า มันเรียกว่าความสุขได้จริงไหม? หนังสือ 5 เล่มที่เราชวนคุณอ่านวันนี้ จะทำให้คุณเข้าใจความหมายของความสุขทั้งในแง่ความรู้สึก และในแง่หลักการทางวิทยาศาสตร์ (ที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว) รวมถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดีนั้นมีผลต่อความสุขได้อย่างไร? รับรองว่าเราจะเข้าใจความสุขรอบด้านกว่าที่เคย เข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น รวมถึงมองการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในแง่มุมใหม่ ๆ นอนเปลี่ยนชีวิต “ผมชอบทำงาน ให้ทำงานทั้งวันแล้วนอนแค่คืนละ 3 ชั่วโมง ผมก็มีความสุขดี” “ปาร์ตี้คือโคตรแห่งความสุข ปาร์ตี้ทุกคืน ไม่นอนเลยก็ยังไหว” เราเชื่อว่าใครหลายคนแอบเอาความพึงพอใจตรงหน้าเป็นตัวตั้ง แล้วตีค่ามันว่าความสุข แต่บางทีพฤติกรรมบางแบบที่รุกล้ำเข้ามาในเวลานอนหลับพักผ่อน อาจกลายเป็นอุปสรรคของคุณภาพชีวิตที่ดี และชีวิตที่มีความสุขในระยะยาวได้เช่นกัน “นอนเปลี่ยนชีวิต” คือหนังสือที่จะพาเราไปรู้จักการนอนหลับมากกว่าที่เราเคยคิดว่ามันก็แค่ข้อจำกัดของมนุษย์ (ที่อยากทำอะไรตั้งมากมาย แต่ต้องมาเจียดเวลาไปนอนเฉย ๆ ) เช่น คุณรู้หรือไม่ว่าคนที่นอนหลับคืนละ 6 ชั่วโมงนาน 10 วัน
การอ่านหนังสือสักเล่ม อ่านบทความสักชิ้น คือการอ่านความคิดและทัศนคติที่เจ้าของเรื่องราวมีต่อสิ่งนั้น หลายครั้งหนังสือของคนประสบความสำเร็จและคนดังที่ตีพิมพ์ออกมาจึงขายดิบขายดี ตัวเราเองที่คลุกคลีกับวงการหนังสือก็พอรู้ว่าหนังสือบางเล่มอาจเป็นท่อน้ำเลี้ยงหลักของสำนักพิมพ์เพื่อเฉลี่ยกับเล่มอื่น ๆ ที่ยอดขายยังไม่ดีเท่ากันเพื่อพยุงรายได้ เพราะคงไม่ง่ายที่นักอ่านทั่วไปจะมีโอกาสสัมผัสความคิดของเจ้าตัวได้โดยตรง การเกษียณอายุของ “อ๋อง – วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ” บรรณาธิการบริหาร a day BULLETIN อายุน้อย (แค่ 47 ปี) บอกเราว่าขณะที่เราไม่ได้ติดตามนิตยสารทุกเล่มที่อยู่ภายใต้การบริหารของเขา ทุกตัวหนังสือบนหน้าบทบรรณาธิการก็ยังทำหน้าที่ของมันอยู่ หลายหน้ากระดาษแทรกบริบทของสถานการณ์บ้านเมืองช่วงนั้นอย่างแยบยล แต่บางแผ่นก็พูดถึงอย่างตรงไปตรงมา “เมื่อถึงเวลาดอกไม้จะบานเอง” ชื่อเรื่องอ่อนโยนบนปกสีนวล ทุกประโยคกรองความคิด เล่าเรื่องอย่างละเมียด ฉุดให้เรามองเห็นหลายมุมที่ผ่านเลย นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราหยิบหนังสือเรื่องนี้และจ่ายสตางค์ซื้อมันที่เคาน์เตอร์เมื่อหลายเดือนก่อน ก่อนได้รู้ว่าวันนี้เจ้าของตัวหนังสือเลือกลุกจากเก้าอี้ ลี้บทบาทที่ทำให้เขาต้องเขียนมันไปสู่บทบาทใหม่แทน แม้จะรู้สึกใจหายแต่เรารับรู้ได้ว่าเขาได้มอบคุณค่าและประสบการณ์ที่น่าสนใจผ่านหนังสือเล่มนี้ไว้ หลายประเด็นน่ารู้ น่าบอกต่อ เราจึงเลือก 3 ใจความสำคัญที่ฝังแน่นในความรู้สึกของเราในฐานะนักอ่านมาแบ่งปัน 1. “แพสชัน” อาจไม่ใช่สิ่งที่กำหนดได้จากต้นทาง ในวัยหนุ่มสาวเราต่างตั้งคำถามกับทุกอย่างทั้งการทำงานที่รัก ชีวิตที่ดี ความสุข ความสำเร็จ ถามหากันแต่คำว่าแพสชัน แต่สุดท้ายก็หามันไม่พบ โทษสิ่งรอบข้าง สารพัดสิ่งภายนอกเอามาสร้างเงื่อนไขและข้ออ้างสนับสนุนความทุกข์ที่เกิดขึ้น อ๋องในช่วงวัยนั้นกล่าวว่าเขาก็ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ที่ตามหาเจ้า “แพสชัน” และ
แม้ปีใหม่จะวนมาทุก ๆ 365 วัน แต่เมื่อวันที่ 1 มกราคมใกล้มาถึงทีไร ผู้ชายอย่างเราก็ยังตื้นเต้นและรอคอยสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาทักทายอยู่เสมอ เพราะปีใหม่คล้ายเป็นหมุดหมายว่า “ได้เวลาเปลี่ยนแปลง” อีกครั้งหนึ่ง อะไรจะดีไปกว่าการได้ “ปลุกความคิด” ตัวเองให้ตื่น พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังหมุนเร็วขึ้นทุกวัน และเพื่อเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รับมือทุกอุปสรรคได้แกร่งกว่าเดิม รวมถึงเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่มีความสุขกว่าเดิมด้วย Principles: Life and Work แม้แต่มหาเศรษฐีที่เก่งระดับโลกอย่าง Bill Gate ยังยกย่องว่าหนังสือเล่มนี้ “เปลี่ยนชีวิต” เขา เพราะ Principles: Life and Work ได้ให้คำแนะนำและแนวทางสุดล้ำค่าที่เขานำไปใช้ในชีวิตได้จริง Principles: Life and Work ว่าด้วยหลักคิดสุดแข็งแกร่งที่ผู้ชายทุกคนสามารถนำไปปรับใช้กับการทำงานและชีวิต โดยยอดขายจากผู้อ่านทั่วโลกก็การันตีได้เป็นอย่างดีว่าหนังสือเล่มนี้เปลี่ยนชีวิตผู้คนมาแล้วจำนวนมาก นอกจากนั้นผู้เขียน Ray Dalio ยังถูกขนานนามว่าเป็น Steve Jobs แห่งโลกการลงทุนอีกด้วย ใครที่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองปีนี้ช่างยุ่งเหยิงจัดการไม่ได้ และอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ในปีหน้าอย่างมีหลักให้ยึดและพิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง Principles: Life and Work
บ่อยครั้งที่เรารู้สึกเหงา แปลกแยก และแสนเดียวดายบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินแสนอ้างว้างใบนี้ ไม่ว่ารอบกายจะมีคนรายล้อมหรือไม่ ความเหงาจู่โจมเราไม่เลือกสถานที่ งอกงามในหัวใจไม่เลือกเวลา จนเราอดสงสัยไม่ได้ว่ามีแค่เราหรือเปล่านะที่เหงาถึงเพียงนี้? คำตอบคือ ไม่ เราไม่ได้เหงาอยู่เพียงลำพัง เพราะโลกใบนี้เต็มไปด้วยคนเหงา และคนบางคนเขียนหนังสือที่ว่าด้วยความเหงา คนเหงา ความแปลกแยก ความโดดเดี่ยวเอาไว้ให้เราได้พินิจพิจารณาโดยละเอียด บางความเหงาอาจตรงกับสิ่งที่เรารู้สึก บางความเดียวดายอาจใกล้เคียงกับที่เราเคยคิด แต่ไม่มีความเหงาไหนที่เหมือนกัน และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่เราควรหาหนังสือ 6 เล่มนี้มาอ่าน เพื่อเข้าใจความเหงาในสารพัดมิติและรับมือกับมันให้ดีกว่าที่เคย ยอดมนุษย์ดาวเศร้า: องอาจ ชัยชาญชีพ “คุณเคยได้ยินเรื่อง 52Hz มั้ย? มันเป็นวาฬสีน้ำเงินที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในมหาสมุทรแปซิฟิคมาเป็นเวลานานถึงยี่สิบปี มันไม่อาจสื่อสารไปถึงวาฬตัวอื่นๆ ได้ เพราะคลื่นความถี่ 52Hz ของมัน ดันเป็นความถี่ที่ไม่เหมือนกับวาฬตัวใดในโลก มันจึงต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาตลอด…” เราเหงาที่สุดตอนไหน? ความเหงานั้นหน้าตาเป็นอย่างไร? ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่อ่านย่อหน้าข้างต้นจาก “ยอดมนุษย์ดาวเศร้า” แล้วรู้สึกว่าเจ้าวาฬ 52Hz คือเรื่องของคุณ เล่มนี้คือเล่มที่คุณไม่ควรพลาด แต่ไม่ต้องห่วงว่าหนังสือจะพาเราจมดิ่งไปในความเหงาเปลี่ยวดายจนไม่อาจย้อนคืน ตรงกันข้าม องอาจ ชัยชาญชีพ จะพาเราไปสำรวจความรู้สึกดิ่งลึกของเราในแง่มุมที่ชวนให้เข้าใจและยอมรับมันมากขึ้น พร้อมกับข้อความจาง ๆ ที่กระซิบบอกคนเหงาอย่างเราทุกคนว่า “อย่างน้อยคุณก็ไม่ได้เหงาอยู่เพียงลำพัง” และจำนวนพิมพ์ 14
ถ้าเดินดุ่ม ๆ เข้าไปถามคนร้อยคนว่า “ความรัก” คืออะไร ? เราอาจได้คำตอบเป็นร้อยแบบ (หรือมากกว่านั้น) เพราะความรักไม่ใช่แค่สีชมพูหวานฟุ้งงดงามเท่านั้น แต่ความรักคือความหลากหลาย ความรักคือเฉดสีสารพัดแบบเท่าที่มนุษย์จะจินตนาการไปถึง UNLOCKMEN จึงอยากชวนผู้ชายทุกคนเข้าสู่ภวังค์แห่งความรักทะลักเขตความรู้สึกด้วยวรรณกรรม 5 เล่มที่ว่าด้วยความรักหลายรูปแบบที่เรามั่นใจว่าไม่ใช่ความรักในแบบที่ผู้ชายอย่างเราเข้าใจมาก่อนแน่นอน แผลลึกหัวใจสลาย แผลลึกหัวใจสลาย แปลจากหนังสือ: Never Let Me Go ผู้เขียน: Kazuo Ishiguro ผู้แปล: นารีรัตน์ ชุนหชา สำนักพิมพ์: เอิร์นเนสต์ (Earnest) Kazuo Ishiguro อาจไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูมากนักสำหรับผู้ชายที่ไม่ได้หลงใหลรื่นรมย์กับการอ่าน แต่เขาคือนักเขียนรางวัลโนเบลที่ในชีวิตนี้เราควรอ่านงานของเขาสักครั้ง ไม่ใช่เพราะเขาเป็นนักเขียนมือรางวัล แต่เพราะวรรณกรรมที่ว่าด้วยความรัก (และเรื่องราวอื่น ๆ ) ของเขาเล่มนี้จะชวนให้เราก้าวข้ามสู่พื้นที่แห่งรักในมิติใหม่ การตั้งคำถามถึงความเป็นมนุษย์ในแบบใหม่ ๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ “แผลลึกหัวใจสลาย” ไม่ได้มีแค่เรื่องความรักโดยตรง แต่คือเรื่องของการเติบโต การก้าวผ่านวันวัย ในห้วงเวลาสุดพิลึกพิลั่นที่เราขอแอบบอกว่าตอนจบจะชวนให้เรารู้สึกแปลกประหลาดอย่างไม่คาดคิด (แต่ก็ไม่อาจบอกได้มากกว่านี้จริง ๆ ) หลังอ่านจบเรารับรองได้ว่าเราจะตั้งคำถามสารพัดสารพันแตกกิ่งก้านไม่รู้จบ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราตกหลุมรักใครสักคน หรือเป็นเราที่สูญหาย
นานพอสมควรที่เราไม่ได้คุยกับคนทำหนังสือ แต่มหกรรมหนังสือระดับชาติที่ประกาศย้ายสถานที่จากศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ไปที่เมืองทองธานีสะกิดเราให้รู้สึกว่า ถึงเวลาที่จะต้องออกไปพูดคุยกับคนทำหนังสือ ถึงเวลาไปสำรวจความจริงของตลาดหนังสือที่ใครเขาว่าซบเซากับตาแล้วว่าของจริงมันเป็นยังไงกันแน่ แล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะบรรยาศที่คึกคัก จำนวนคนที่มางานช่วงที่เราแวะไปเห็นชัดว่ามีคนสนับสนุนสิ่งพิมพ์อยู่มาก ส่วนสำนักพิมพ์ที่แวะไปคุยด้วยก็จัดจ้านทั้งเรื่องราวที่ตีพิมพ์และคำตอบทุกคำถามที่ผ่าตรงถึงใจแบบนี้ “ใครเป็นคนบอกวะ จริง ๆ เราเจอคำถามแบบนี้มาประมาณ 3 รอบได้” “มันก็ใช่นะเวลาที่ทุกคนจะทำอะไรมันต้องมีจุดมุ่งหมายเพื่อสังคมอยู่ในนั้น เพื่อให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เปล่าประโยชน์เกินไป แต่เราก็มองว่า มันไม่ได้เป็นจุดประสงค์หลักขนาดนั้น เราไม่ได้เป็นโรงเรียนหรือว่าไม่ได้มีหน้าที่ทางสังคม ไม่ได้เป็นสถาบันทางสังคมที่จะทำหน้าที่ยกระดับให้สังคม” ประโยคคำตอบกลั้วเสียงหัวเราะของ 2 สาว คุณจุ๋ม – ปนิธิตา เกียรติ์สุพิมล และคุณนิ่ม – สุพรรณี สงวนพงษ์ ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ P.S. Publishing ที่กระตุกให้เราตั้งคำถามกับตัวเอง เออ…จริง ใครบอกก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกทีมันเป็นหนึ่งในลิสต์คำถามที่เราโพล่งออกไปแล้วว่า “การเป็นสำนักพิมพ์ผลิตหนังสือออกไป เรามีเป้าหมายอยากเปลี่ยนแปลงสังคมหรือเปล่า” หนังสือที่ไม่ได้ตัดสินความเป็นมนุษย์ สำนักพิมพ์ที่ไม่ได้อยากเป็นศาลเตี้ยเสนอเรื่องราว “P.S. ยืนหนึ่งเรื่องความสัมพันธ์” เป็น Motto ที่ค่อนข้างเรียบง่ายและอธิบายความเป็น P.S. ได้ดี แม้การพูดเรื่องความสัมพันธ์จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน แหย่ขาข้างหนึ่งเข้าไปขยี้จารีต ซ้อนประเด็นหนัก ๆ อีกชั้นแต่อ่านไปแล้วไม่รู้สึกขยาด ต่างหากที่ทำให้ตัวอักษรทุกเล่มของ
ฤดูร้อนสำหรับผู้ชายหลายคนคือช่วงเวลาแห่งการลุยไม่ยั้ง ช่วงเวลาแห่งกิจกรรมกลางแจ้ง ท้าแดด เสียงข้างในมันร่ำร้องให้ออกไปรับลมทะเล กระโจนใส่ฟองคลื่น ปีนหน้าผา เล่นน้ำสงกรานต์ ฯลฯ ในขณะที่ฤดูร้อนสำหรับผู้ชายหลายคนที่ไม่นิยมชมชอบแสงแดดและอากาศร้อนระอุ การเลือกหมกตัวอยู่ในบ้าน เปิดแอร์เย็นฉ่ำ พร้อมเบียร์เย็น ๆ สักแก้วและหนังสือสักเล่มก็ไม่ต่างจากสวรรค์บนดิน วันนี้ UNLOCKMEN ขอเอาใจผู้ชายสายชิลรับหน้าร้อนด้วยการแนะนำหนังสือ 5 เล่มที่เหมาะกับฤดูร้อน แอบกระซิบว่าบางเล่มอาจทำให้ร้อนได้โดยไม่ต้องเจอแดดด้วยซ้ำ! เมา: ประวัติศาสตร์แห่งการร่ำสุรา ผู้เขียน: Mark Forsyth สำนักพิมพ์: bookscape หน้าร้อนอย่างนี้อะไรจะดีไปกว่าเบียร์เย็นฉ่ำชื่นใจสักแก้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชายขี้เมาหรือไม่เคยคิดจะเมาเลย แต่การมี “เมา: ประวัติศาสตร์แห่งการร่ำสุรา” ผลงานของ Mark Forsyth เล่มนี้อยู่ในครอบครองช่วงหน้าร้อนนี้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเล่มนี้จะพาเราดื่มด่ำเมามายไปกับประวัติศาสตร์แห่งการเมาที่ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ แต่ย้อนยาวไกลไปได้ถึงชาวอียิปต์โบราณ หรือยาวไกลไปถึงความเมาของจักรพรรดิจีน ในเล่มนี้เราจะได้พบความเมาในสารพัดมิติ ทั้งประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม ถ้าเป็นผู้ชายขี้เมาเราก็อ่านเล่มนี้เพื่อดื่มเหล้าครั้งต่อไปได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ถ้าไม่ใช่สายเมา แต่มีเหตุให้ต้องไปอยู่ในวงสนทนาของเพื่อนหรือธุรกิจที่เมากันเป็นประจำ อ่านเล่มนี้ไว้เป็นข้อมูลพูดคุยในวงเหล้าช่วงสงกราต์นี้รับรองว่าดูมีชั้นเชิงขึ้นหลายระดับแน่นอน หยดน้ำหวานในหยาดน้ำตา ผู้เขียน: อุรุดา โควินท์