ในวรรณกรรมดิสโทเปียชื่อ Fahrenheit 451 โดยนักเขียนชาวอเมริกัน Ray Bradbury นั้น เล่าเรื่องของโลกที่รัฐบาลลงมติว่า ‘หนังสือ’ คือสิ่งผิดกฎหมาย ประชาชนห้ามอ่านเด็ดขาด ถึงขนาดว่ามีหน่วยชื่อ Firemen คอยเผาหนังสือทุกที่ที่มีอยู่ในสังคมให้หมดไป Guy Montag ตัวเอกของเรื่องก็คือหนึ่งในหน่วยสุมเพลิงนั้น ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ตั้งคำถามว่าสิ่งที่รัฐบาลบอกว่าผิด ใครที่เป็นแฟนคลับตัวยงของมังงะโจรสลัด One Piece น่าจะรู้ถึงความโหดร้ายของรัฐบาลโลกในเรื่องดี ซึ่งหนึ่งในสิ่งชั่วร้ายที่รัฐบาลคอยทำมาตลอดตั้งแต่เล่มที่ 1 ของมังงะเรื่องนี้ คือการปิดบังข้อมูลกับประชาชน จากตัวอักษรโบราณที่ชื่อว่า ‘โพเนกรีฟ’ เพราะกลัวว่าประชาชนจะล่วงรู้ประวัติศาสตร์แห่งความว่างเปล่าหลายร้อยปีก่อนที่อาจจะมีศพซุกซ่อนอยู่ใต้พรหมที่ตัวเองซุกซ่อนเอาไว้ ถึงขนาดว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนที่อ่านตัวอักษรนี้ทิ้งไปเลย เรื่องแต่งว่าด้วยการห้ามอ่านของหนังสือ 2 เล่มที่กล่าวไปในข้างต้น มีจุดเชื่อมโยงน่ากลัวร่วมกันอยู่ตรงที่ ‘พลังของตัวอักษร’ มีพลังสามารถเปลี่ยนความคิด ความรู้สึกคนอ่านแบบฉับพลันโดยใช้เวลาเพียงจบหน้ากระดาษ 100-300 หน้าเท่านั้น และการห้ามอ่านมันเกิดขึ้นในชีวิตจริงของพวกเราด้วย ! ในปี 1982 จำนวนหนังสือที่ถูกแบนจากห้องสมุดโรงเรียน และจากรัฐบางรัฐในอเมริกามีปริมาณที่สูงขึ้นมาก ถึงขนาดทำให้องค์กร Free-Speech หลายแห่งรวมตัวกันตั้ง ‘งานสัปดาห์หนังสือที่ถูกแบน (Banned Books Week)’ ครั้งที่
ในช่วงเวลาปีแรกของการทำงาน (ประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว) เราซื้อหนังสือเรื่อง The Catcher in the Rye ของ J. D. Salinger จากร้านหนังสือออนไลน์แห่งหนึ่ง โดยมีเหตุผลไม่ได้ซับซ้อนว่า เป็นหนังสือที่ถูก Name Drop ในหนังไฮสคูลอเมริกันหลายเรื่อง ในแง่ที่ว่าเป็นหนังสือนอกเวลาที่ต้องใช้อ่านเพื่อเขียนเรียงความส่ง ซึ่งหนังที่เรารักที่สุดในชีวิตอย่าง The Perks of Being a Wallflower (2012) ก็พูดถึงวรรณกรรมเยาวชนเล่มนี้เช่นกัน เราได้อ่านหนังสือเล่มนี้จริง ๆ ตอนออกจากงานแรกที่พูดถึงในรรทัดก่อน แปลกดี (1) หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มวัยมัธยม Holden Caulfield กับช่วงเวลาการเติบโตสั้น ๆ ขณะขึ้นรถไฟไปนิวยอร์ก ซึ่งเต็มไปด้วยการตะโกนโหวกเหวกโวยวายของตัวละครตลอดทั้งเรื่อง แปลกดี (2) หลังจากผ่านไป 3 เดือนที่อ่านหนังสือเล่มที่ว่าจบ เราอ่านหนังสือเล่มไหนต่อไม่ได้เลย เพราะเรื่องราวของโฮลเดนยังค้างคาในจิตใจของตัวเอง วนเวียนอยู่ในความทรงจำเป็นระยะ ๆ ตลอดมา UNLOCKMEN ขอแนะนำให้เหล่าหนอนหนังสือได้รู้จักกับ Book
หนึ่งในรูปแบบ ‘อัลบั้มที่ดี’ สำหรับเรา คือการที่เพลงในนั้นมีหลาก Mood & Tone เพื่อที่จะสามารถเล่าเรื่องราวของคอนเซปต์อัลบั้มซึ่งถูกคิดเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน แล้วจากจุดนั้นเอง ดนตรีที่อะเรนจ์ เนื้อร้องที่ถูกเขียน ก็ต้องเกิดขึ้นจากศิลปินซึ่งเข้าใจตัวเองและจุดที่ว่าไปมาก ๆ และอัลบั้ม Your Girl เป็นแบบนั้น … นี่คือเพลง Pop ในยุคสมัยใหม่ ที่ประกอบด้วยซาวด์จากเครื่องสังเคราะห์เต็มไปหมด แต่กลับยังสามารถคงความประณีตในการเรียบเรียงได้เป็นอย่างดี ไปจนถึงเนื้อร้องที่เขียนเองก็เยี่ยมไม่แพ้กันเลย เคยฟังบทสัมภาษณ์ที่ไหนสักที่เมื่อนานมากแล้ว จำได้ว่าคุณวีชอบซีรีส์เรื่อง That 70’s Show มาก คือที่จำได้แม่นจนขึ้นใจเนี่ย เป็นเพราะมันบังเอิญมากว่าเราเองก็เป็นแฟนคลับของเรื่องนี้ด้วย และก็ไม่เคยมีเพื่อนคนไหนที่ชอบเหมือนกันมาก่อน เรารัก Sit-Com ของเหล่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาด้วยกันในห้องใต้ดิน ‘บ้านฟอร์แมน’ มาก ๆ ถึงขนาดว่าเมื่อดูซีซั่นสุดท้ายจบลงไปแล้ว ก็ติดตามอ่านชีวิตของนักแสดงแต่ละคน พร้อมดูคลิปวันสุดท้ายที่พวกเขายืนเรียงกันหน้ากระดานพร้อมกันเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอด 8 ปี ซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง และเสียใจเสมอที่ Topher Grace ที่รับบท Eric Forman เลือกจะไม่อยู่ในช่วงเวลานั้นด้วย เอ้า ๆ ต้องขออภัยด้วยนะครับที่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวเล่าเสียยืดยาว
เคยมั้ย ฟังเพลงจบแล้วอิน จนต้องหาสื่อบันเทิงในรูปแบบใดก็ตามที่มี Mood & Tone ใกล้เคียงกันมาเสพต่อ ซีรีส์เอย หนังเอย หรือเพลงที่ใกล้เคียงกันเอย แต่ในบางครั้งสื่อที่โดนใจเราที่สุดก็คือ ‘หนังสือ’ สักเล่ม ด้วยความที่มีเนื้อเรื่องเปิด ตอนกลาง และตอนจบ หลากหลายอารมณ์ ไม่ต่างอะไรกับเพลงที่มี Intro ไปจนถึง Outro ทำให้นิยายดี ๆ ช่วยต่อความยาวสาวความอินไปได้อีกสักพักนึงเลย ในซีรีส์ Next Cover, Same Mood เราจะเอาอัลบั้มโปรดที่เพิ่งฟังไป มาดูด้วยกันไปทีละเพลงว่า มีหนังสือเล่มไหนบ้างที่มีจุดเชื่อมโยงกับตัวเพลงนั้น ๆ ทั้งชื่อเพลง, เนื้อร้อง, พาร์ทดนตรี, อารมณ์หลังฟังจบ, เรื่องราวก่อนจะมาเป็นเพลง ไปจนถึงความหมายของเพลง เป็น What You Should Read Next ‘ฟังเพลงนี้จบแล้ว ถ้าอิน ก็ควรอ่านหนังสือเล่มนั้นต่อนะ’ เพื่อช่วยยืดอารมณ์อันไม่มูฟออนจากเพลงของเรากันต่อไป (พูดแบบนี้ดูเศร้า) ขอเปิดตัวคอลัมน์แรกอย่างเป็นทางการ ด้วยอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกเป็นของวง Asia 7 ที่ออกกับค่าย
เพราะวรรณกรรมเต็มไปด้วยความสวยงามที่เกิดจากความเมามายทางอารมณ์มากมาย ไม่ว่าจะในเนื้อเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นก็ดี หรือตัวนักเขียนเองที่ใช้เป็นแรงขับเคลื่อนในการจรดปากกาแต่ละตัวอักษรก็ดี ไปจนถึงการมีแพชชั่นในการดื่มโดยส่วนตัว อย่างผู้เขียน Ernest Hemingway ผู้เขียน Old Man and The Sea ก็ถึงขนาดเปิดแบรนด์เครื่องดื่มของตัวเองขึ้นมาเลย ในนิยายซีไรต์ของ ‘ชาติ กอบจิตติ’ เรื่อง คำพิพากษา เครื่องดื่มเย็น ๆ ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการ ‘ลืม’ โดยหมายถึงการลืมว่าโลกในชีวิตจริงเป็นอย่างไร แล้วอาศัยอยู่ในโลกหลังแอลกอฮอลล์แทน หรืออดีตนายกของประเทศไทย ‘คึกฤทธิ์ ปราโมช’ ก็เขียนรวมเรื่องสั้นขนาดยาวชื่อ หลายชีวิต ที่มีโทษของการใช้เครื่องดื่มเพื่อเป็นสุดยอดนักเขียนบันทึกเอาไว้ด้วย ความสัมพันธ์ระหว่าง ‘เครื่องดื่มเย็น ๆ’ กับ ‘วรรณกรรม’ เป็นสิ่งที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาอย่างยาวนาน เพราะมนุษย์ยังคงดื่มและเขียนอย่างไม่มีทางสิ้นสุด UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปรู้จักกับเครื่องดื่มที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือเล่มดังกัน First Rule India Pale Ale (Fight Club) “กฎข้อแรกของไฟต์คลับ ห้ามพูดถึงไฟต์คลับ” จากนิยายเล่มดังของ Chuck Palahniuk สู่หนังไอคอนิกในปี 1999 โดย
นักฆ่าขวัญใจทุกคน John Wick กลับมาแล้วในภาคที่ 4 พร้อมปล่อยตัวอย่างจนแฟน ๆ ทั่วโลกแทบจะอดใจรอกันไม่ไหว ซึ่งนอกจากความมันส์ กับคุณคีอานูที่เข้าถึงคาแรคเตอร์แบบเท่สุด ๆ แล้ว ประเด็นเรื่อง ‘การต่อต้าน’ หรือ ‘การฝืน’ ในสิ่งที่เราไม่อยากเป็น แม้ว่าจะทำสิ่งนั้นได้ดีแค่ไหนก็ตามเป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้ ใน John Wick คือการแก้แค้นให้กับสิ่งที่เขารัก พร้อมกับการตระหนักถึงศีลธรรมว่าอาชีพของตัวเองมีความเทาอยู่สูง แล้วจะเคลียร์อย่างไรถึงจะสามารถไปใช้ชีวิต ‘ปกติ’ ที่มีบ้าน มีอาหาร 3 มื้อ มีสิ่งที่รักให้ยึดเกาะชีวิตในแต่ละวันได้ล่ะ การที่ยังมีภาคต่อออกมาเรื่อย ๆ แสดงว่ามันยังไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสำเร็จได้ง่าย ๆ และเราทุกคนได้แต่หวังว่าในหนังภาคสุดท้าย (ไม่รู้ว่าปีไหน) จอห์นจะได้ใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ UNLOCKMEN ชวนอ่านมังงะ 6 เล่ม ว่าด้วยนักฆ่ากลับใจ ผู้พยายามอย่างหนักเพื่อหนีจากชีวิตที่ตัวเปรอะไปด้วยเลือด แล้วมุ่งหน้าสู่ความสามัญแสนเรียบง่ายให้ได้ แม้จะรู้ตัวดีว่ามันจะยากกว่าทุกงานที่พวกเขาเคยได้รับก็ตาม The Fable (2014) เมื่อนักฆ่าในตำนานผู้ใช้ฉายาว่า The Fable ถูกหัวหน้าขององค์กรที่สังกัดอยู่สั่งให้วางมือซะ แล้วจงไปใช้ชีวิตเงียบ ๆ อยู่ในเมืองเล็ก
3 สิ่งที่นึกถึง เมื่อคุยกับเพื่อนเรื่องนักเขียนชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ Haruki Murakami ก็คือ (1) บุหรี่ (2) แมว และ (3) เพลงแจ๊ซ โดยอย่างหลังน่าจะเป็นภาพจำที่ฝังอยู่ในหัวของใครหลาย ๆ คนมากที่สุด ทุกครั้งที่อ่านงานของเขา เราจะต้องได้ยินเสียงของเพลงแจ๊ซลอดออกมาจากตัวอักษรเสมอ และแน่นอนว่า ความสามารถในการเขียนพรรณาถึงความสุนทรีย์ในเพลงแจ๊ซของมูราคามิเกิดจากประสบการณ์ตรง ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเปิดบาร์แจ๊ซจริง ๆ มาก่อน และนั่นคือ 4 ปีก่อนหน้าช่วงเวลาของการเริ่มเขียนนิยายเล่มแรก เราจะลงเข็มไวนิลชีวิต ย้อนกลับไปที่ร่องแรกของมูราคามิกัน จุดเริ่มต้นของบาร์แมว ฮารูกิ มูราคามิ เป็นคนที่เกลียดการทำงานเป็นพนักงานบริษัทมาก ซึ่งความคิดนี้เป็นชนวนเล็ก ๆ อันนำไปสู่ไอเดียของการอยากมีร้านที่ผู้คนสามารถมาชิล กิน ดื่ม และแน่นอนฟังเพลงแจ๊ซกัน โดยที่ไม่ได้เป็นผลดีต่อลูกค้าอย่างเดียวเท่านั้น แต่ร้านจะเป็นผลดีต่อตัวเขาเอง ที่จะได้ทำงานพร้อมซึ่งสามารถฟังเพลงแจ๊ซ ที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่อายุ 15 ได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ปี 1974 หลังจากทำงานอย่างหนักหน่วงตลอด 3 ปีเพื่อสร้างร้านแห่งความฝัน เขากับภรรยา (ที่พบและแต่งงานกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย) ก็นำเงินเก็บทั้งหมดที่มีเปิดร้านเล็ก ๆ ที่เป็นคาเฟ่ในช่วงเช้า และเป็นบาร์ในตอนกลางคืนชื่อ
Françoise Sagan เป็นนามปากกาของ Françoise Quoirez ซึ่งคำว่า ‘Sagan’ มาจากชื่อตัวละครในนิยายของนักเขียนชื่อ Marcel Proust ซากองเป็นนักเขียนสาวชาวฝรั่งเศส ที่ใช้ชีวิตเหมือนรถแข่ง โฉบเฉี่ยวบนสนามด้วยความสวยงาม และจบการแข่งขันในเวลาที่ไม่นานนัก UNLOCKMEN ขอพาทุกคนไปรู้จักกับชีวิตที่น่าสนใจของเธอกัน หนังสือเล่มแรก Bonjour Tristesse (Hello Sadness) ‘ฟรองซัวส์ ซากอง’ เกิดในปี 1953 เป็นน้องคนเล็กสุดของครอบครัวที่มีลูก 3 คน ซึ่งเติบโตในหมู่บ้านทางตอนใต้ของฝรั่งเศสชื่อว่า Cajarc ทัศนียภาพของที่นี่ล้อมด้วยเนินเขาเตี้ย ๆ และติดริมแม่น้ำสวยงาม เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ซากองย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ที่ปารีส พร้อมเข้าเรียนสาขาวรรณกรรมที่ Sorbonne Université และเริ่มใช้ชีวิตสุนทรีย์แบบสาวปาร์ตี้ในเมืองหลวง ตอนอายุ 18 ซากองใช้เวลา 7 อาทิตย์เขียนหนังสือชื่อ Bonjour Tristesse (Hello Sadness) จนเสร็จเรียบร้อย วางปากกา ปล่อยมือ ส่งเข้าโรงพิมพ์ และปล่อยให้มันทำหน้าที่สร้างชื่อเสียงให้เธอโด่งดังไปทั่ว ปักหมุดชื่อ Françoise
“จะซื้อหนังสือมาทำไมถ้าไม่อ่าน?” “อ่านที่มีอยู่ให้หมดก่อนแล้วค่อยซื้อเพิ่มสิ” “โธ่ ก็แค่อยากเท่ใช่ไหม ถึงมีหนังสือไว้แค่ประดับบ้าน” เราเชื่อว่าถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีกองดอง หรือกองหนังสือที่ซื้อมาแล้วแต่ยังไม่ได้อ่านวางดองรอวันที่เหมาะสมอยู่ที่บ้าน คุณต้องเคยเผชิญกับประโยคเหล่านี้จากคนรอบตัวอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิตแน่นอน แม้เราอยากจะตอบคำพูดเหล่านั้นกลับไปง่าย ๆ ว่า “หนังสือผม เงินผม ผมจะทำอะไรก็ได้” แต่ก็ไม่ได้ทำ… รวมถึงหลายครั้งที่เราเห็นภาพถ่ายบ้านคนเก่ง ๆ ระดับโลก Elon Musk เอย Bill Gates เอย แล้วเขามีหนังสือจำนวนมากเรียงราย หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่า อ่านหมดเหรอ? วันนี้ UNLOCKMEN ชวนมาไขข้อข้องใจว่าทำไมหนังสือต่อให้ซื้อมาแล้วไม่ได้อ่านก็มีประโยชน์อยู่ดี รับรองว่าจะรู้สึกสบายใจกับหนังสือ (ที่ยังไม่ได้อ่าน) ของตัวเองและคนอื่น รวมถึงเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมคนเก่ง ๆ หลายคนเขาถึงมีหนังสือจำนวนมากกันขนาดนั้น แม้จะอ่านได้ไม่หมดในชีวิตนี้ก็ตาม antilibrary: หนังสือที่ยังไม่ได้อ่าน เตือนเราว่า “ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ยังไม่รู้” เรามักได้ยินคำพูดทำนองว่าคนอ่านหนังสือเป็นคนอวดรู้ หรือคิดว่าตัวเองรู้ดี รู้เยอะกว่าคนอื่น แต่ความเชื่อแบบนั้นอาจต้องเปลี่ยนไปแบบพลิกโลก เพราะสำหรับคนที่มีหนังสือเรียงราย แต่อ่านไม่หมด เขากลับถ่อมตัว (ในสิ่งที่เขารู้) และตระหนักว่าพวกเขายังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก หนึ่งในคนที่เสนอเรื่องยิ่งมีหนังสือไม่ได้อ่าน ยิ่งกระหายการเรียนรู้คือ Nassim Nicholas Taleb เขาคือนักสถิติ
เราต่างหายใจอยู่บนโลกยุคที่เห็นความสำเร็จของคนอื่นผ่านหน้าจอมือถือได้ตลอด 24 ชั่วโมง เราเห็นความสุขที่เพื่อน ๆ ใช้เงินมหาศาลแลกกับการพักผ่อนหรูหราในวันที่เราแสนเศร้า เราเห็นคนรู้จักก้าวหน้าในหน้าทีการงานแบบก้าวกระโดด แต่เรายังอยู่ที่เดิม นี่คือโลกที่เรามองเห็นคนอื่นได้ง่ายดาย แต่กลับยิ่งทำให้เราใจหายกับสิ่งที่เราเป็นมากขึ้นทุกวัน ๆ เมื่อชีวิตคนอื่นก้าวไปไกล เมื่อเห็นใคร ๆ ประสบความสำเร็จ เมื่อเห็นผู้คนมากมายที่เข้าถึงความสุขแบบที่เราเข้าไม่ถึง เราจึงอดเอาตัวเองไปเทียบไม่ได้ เราไขว่คว้า วิ่งไล่ตาม อยากสุขแบบนั้น สำเร็จแบบนี้ มีเงินแบบโน้น ซึ่งการกระหายที่จะดีขึ้นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่การวิ่งไล่ตามความสำเร็จของคนอื่น อาจทำเราแสนเหนื่อยแสนท้อ โดยหลงลืมไปว่า จริง ๆ แล้วแต่ละคนมีบริบทที่ไม่เท่ากัน มีต้นทุนชีวิตที่แตกต่างกัน และแน่นอนว่าเวลาในการประสบความสำเร็จก็ไม่เท่ากันด้วย ก่อนที่จะวิ่งไล่ล่าความสำเร็จในแบบคนอื่นจนหมดแรงไปเสียก่อน เราอยากชวนคุณมาพักทบทวนความสำเร็จ ทบทวนจุดยืน ทบทวนคุณค่าด้วยหนังสือ 5 เล่มที่จะพาไปสำรวจความสำเร็จในมุมอื่น ๆ ที่ต่างออกไป หลังอ่านจบ เราอาจตระหนักได้มากขึ้นว่าเราล้วนมีความสำเร็จในแบบของเรา และมันไม่จำเป็นต้องมาถึงในเวลาเดียวกับที่คนอื่นเขามาถึงก็ได้ วิทยาศาสตร์แห่งความสำเร็จ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” อาจเพราะเราเติบโตมากับคำสอนแบบนี้ตั้งแต่จำความได้ จึงไม่แปลกที่ทุกครั้งที่เราเห็นเพื่อนเราสำเร็จ ได้ดิบได้ดี เราจะเชื่อว่าเพราะเขาพยายาม ในขณะเดียวกันเราก็โบยตีและโทษตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเพราะเราไม่พยายามหรือพยายามไม่พอถึงยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ วิทยาศาสตร์แห่งความสำเร็จ