ใครบางคนเคยนิยามว่าความรักคือความป่วยไข้ ยามใดที่ติดเชื้อเข้าแล้ว พิษรักอาจเสกโลกทั้งใบให้งดงามหมดจด แต่พิษรักก็ทำให้เพ้อคลั่งอกกลัดหนอง แบบที่เราในยามปกติไม่มีวันเป็นได้ เพราะอย่างนี้ความรักจึงอาจเป็นความป่วยไข้สำหรับบางคน เป็นพรวิเศษสำหรับหลายคน เป็นสวงสวรรค์หรือขุมนรก แล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละคนจะนิยาม ไม่ว่าเราอายุเท่าไร เรียนสูงเพียงไหน ผ่านอะไร ๆ มามากมายเพียงใด ความรักก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่คุณต้องทำความรู้จักอีกหนเมื่อมันเดินมาทักทาย แต่นอกจากความรักที่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว ความรักพิสูจน์ได้หรือไม่? มีทฤษฎีอะไรมารองรับหรือเปล่า? เราเชื่อว่าหลายคนเคยอยากรู้ เราถึงแวะเอาหนังสือ 5 เล่มที่ว่าด้วยความรัก แต่เป็นความรักที่เชื่อมโยงกับทฤษฎีทั้งทางวิทยาศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เผื่อว่าสักเล่มในนี้จะทำให้ความรักดูแปลกหน้าน้อยลง หรือเข้าใจตัวเองและเรื่องราวรักใคร่ที่ผ่านมาได้ราบรื่นขึ้น ทำไมต้องตกหลุมรัก: Alain Badiou ความรัก และ The Lobster บางคนบอกว่าความรักไม่มีเหตุผล นั่นอาจเป็นเพราะมันเหนื่อยเปล่าที่จะต้องหาคำตอบว่าทำไมเราถึงตกหลุมรักใครสักคน แต่หลายหนเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าการจะตกหลุมรักใครสักคนได้นั้นมีปัจจัยอะไรมาข้องเกี่ยวบ้าง? ทำไมต้องตกหลุมรักเล่มนี้จะพาเราสวมแว่นทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ทำให้เรามองความรักผ่านเลนส์ที่เราไม่เคยมองมาก่อนว่าการตกหลุมรักใครสักคนอาจมีเกณฑ์บางอย่างซ่อนอยู่ก็ได้ ในขณะเดียวกันยุคสมัย ทุนนิยม และอีกหลายสิ่งรอบตัวเราก็ลอบลดทอนความรักให้เหลือเพียงอะไรบางอย่าง อย่างกำไร ขาดทุน ไปด้วย การอ่านเล่มนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเห็นด้วยกับทุกประโยค แต่เรารับรองได้ว่าคุณจะได้กระโจนเข้าหาอีกมุมของความรักที่คุณอาจไม่ทันคิดว่ามันก็มีมุมแบบนี้อยู่ รวมถึงชวนคุณตั้งคำถามบางแบบที่คุณอาจไม่เคยกล้าแม้แต่จะถามตัวเองเกี่ยวกับความรัก จงรักสิ่งที่คุณจะไม่มีวันได้เจออีกเป็นครั้งที่สอง ถอดรหัสรักออนไลน์ รักออนไลน์มันปลอม! บางคนกล่าวหาความรักที่พบเจอกันในโลกเสมือนไว้แบบนั้น แต่รู้หรือไม่ว่าเว็บไซต์หาคู่อาจช่วยจับคู่ให้คุณได้ถึงเดือนละ 70 คน
ฝนโปรยลงมาอีกครั้ง ฤดูฝนมาเยือนอีกหน เมฆหม่น ฟ้าครึ้มอาจยิ่งทำให้บรรยากาศในบ้านทึมเทากว่าปกติ การพาตัวเองออกไปนอกบ้าน (ในเงื่อนไขที่ดูแลตัวเองอย่างปลอดภัยและถูกสุขอนามัย) บ้างก็ดีต่อสุขภาพจิตเหมือนกัน แต่จะไปห้างสรรพสินค้าฝ่าผู้คนในช่วงนี้ก็อาจไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะนัก กิจกรรมกลางแจ้งหลายอย่างก็ไม่เหมาะกับฤดูฝน UNLOCKMEN อยากชวนไปร้านหนังสือดูสักครั้ง โดยเฉพาะร้านหนังสืออิสระในวันฝนตก ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหนังสือ ไออุ่นและความห่วงใยจากคนขายที่พร้อมให้คำแนะนำ ความเงียบสงบที่ชวนให้เป็นสุขบางแบบที่หาไม่ได้จากที่อื่น ถ้ายังนึกไม่ออกว่าบรรยากาศในร้านหนังสือนั้นน่าหลงใหลจนควรค่าแก่การชวนใครสักคนไปด้วยกันได้อย่างไร วันนี้เราหยิบหนังสือ 5 เล่มเกี่ยวกับหนังสือและร้านหนังสือมาให้คุณได้ลองลิ้มรสความละมุนละไมกันก่อน A Great Little Place Called Independent Bookshop เราอยากกระซิบบอกคุณว่า “ร้านหนังสือเดินทาง” เป็นอีกร้านหนังสืออิสระที่โรแมนติกที่สุดอีกแห่งหนึ่ง ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่รู้จักร้านหนังสือในฐานะโซนหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่วางหนังสือเรียงรายใต้แสงนีออนชืด ๆ และไม่น่าเฉียดเข้าไปหมกตัวนาน ๆ เราอยากขอให้คุณรู้จักร้านหนังสือเดินทางแล้วคิดใหม่ แต่ถ้ายังไม่พร้อมไปเยือนร้านหนังสือเดินทางด้วยตัวเอง “A Great Little Place Called Independent Bookshop” เล่มนี้จะเป็นอีกเล่มที่พาคุณไปรู้จักร้านหนังสือร้านนี้จากปากเจ้าของร้านเอง เล่มนี้ไม่ได้เป็นแค่หนังสือที่พาไปสัมผัสบรรยากาศร้านหนังสือเท่านั้น แต่คือการเลาะลึกลงไปถึงแรงบันดาลใจ ความตั้งใจของมนุษย์คนหนึ่งที่หลงรักการอ่าน หลงรักหนังสือ และครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะนำสิ่งที่เขารักมาก ๆ มาเป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวเองได้ ในวันฝนพรำการได้อ่านเล่มนี้จึงเป็นเหมือนเชื้อเพลิงทำให้ใจอุ่นชั้นยอด เพราะนอกจากภาพร้านหนังสือที่จะคอยปลอบประโลมเราตลอดเล่ม เรื่องราวของหนุ่ม
“หัวใจถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแตกสลาย” Oscar Wilde นักเขียนมากฝีมือชาว Irish กล่าวไว้แบบนั้น บางคนอาจเห็นด้วย บางคนอาจไม่เห็นด้วย แต่ไม่ว่าหัวใจหรือชีวิตจะแตกสลายเพียงใด เราก็ยังต้องดิ้นรนที่จะมีชีวิตรอดในโลกใบนี้ต่อไป คำถามก็คือถ้ามันแตกสลายถึงเพียงนั้น อะไรจะทำให้เรายังก้าวต่อไปได้? บางคนอาจมีคำตอบอยู่แล้ว บางคนอาจไม่แน่ใจกับคำตอบที่มี หรือบางคนเคว้งคว้างอยู่บนความเจ็บปวดแหลกสลายและไม่รู้จะต้องเดินไปทางไหนต่อ UNLOCKMEN ไม่มีคำตอบถูกต้องตายตัวให้ แต่เราอยากแบ่งปันหนังสือ 5 เล่มที่ว่าด้วยปรัชญา แก่น จิตวิญญาณจากญี่ปุ่น ที่อาจไม่ได้บอกเราว่า “ห้ามแตกสลาย” แต่ 5 เล่มนี้จะบอกเราว่าชีวิตก็เป็นเช่นนี้ มีบาดแผล มีเจ็บปวด มีแหลกสลาย แต่หัวใจของเราต้องไปต่อให้ได้ และได้ในแบบที่ยังรัก เคารพและมีความสุขกับเส้นทางที่เรามีเหลืออยู่ อิคิไก: ความหมายของการมีชีวิตอยู่ Ken Mogi บางครั้งชีวิตที่แหลกสลายคือการไม่อาจหาความหมายของการตื่นมาแต่ละวันได้ เราไม่รู้ว่าเช้านี้เราตื่นมาทำไม แค่ลืมตา หายใจ ไปทำงาน ก้มหน้าก้มตา กินข้าว กลับบ้าน รถติด หมดเวลาเข้านอน วนไปไม่รู้จบ เพื่อเงินเดือนหรือ? หรือเพื่อเอาเงินเดือนมาใช้ชีวิตและหาความสุขอีกทีกันแน่? แล้วถ้ามันเป็นแบบนั้นทำไมเราจึงตื่นมาแล้วพบว่าแต่ละเช้าช่างไร้ความหมายเช่นนี้ “อิคิไก” จึงเป็นแก่นแท้ที่ชวนให้เราค้นหาความหมายและความสมดุลแห่งชีวิต
เราต่างเจ็บปวด ทุกข์เศร้า และสูญเสียอะไรบางอย่างให้กับ COVID-19 บางคนเข้าใจ รับมือได้ หรือมีต้นทุนมากพอที่จะดูแลตัวเองให้ผ่านพ้นปัญหาไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ไม่ใช่กับทุกคน บางปัญหา บางการสูญเสีย ปล่อยหมัดตรงจนเราเสียศูนย์ล้มลงไม่เป็นท่า นอกจากการแก้ปัญหาอันเป็นรูปธรรม อีกสิ่งที่มีความหมายไม่แพ้กันคือ “ความแข็งแกร่งของหัวใจ” ถ้าสูญเสียด้วย หัวใจแหลกสลายด้วย การลุกขึ้นมาเจอแสงสวยงามของวันใหม่อาจไม่มีวันมาถึง อย่างน้อยที่สุดหากยังไม่รู้จะหาทางคลี่คลายความเลวร้ายที่เจอได้อย่างไรก็ประคับประคองหัวจิตหัวใจของตัวเองให้สบายดี เพื่อวันหนึ่งที่มีทางคลี่คลาย เราจะได้ฟันฝ่าไปด้วยหัวใจที่พร้อมสู้ไม่ถอย หนังสือ 5 เล่มนี้คือหนังสือที่เราอยากให้ใครบางคนที่เศร้า ใครบางคนที่สูญเสีย ใครบางคนที่หัวใจฟีบแฟบไร้ทางกู้คืนได้ลองอ่าน หัวใจอาจไม่แกร่งข้ึนภายในชั่วข้ามคืน แต่มันจะมีความหมายบางอย่างทางความรู้สึกให้คุณได้แน่นอน จะเล่าให้คุณฟัง DEJAME QUE TE CUENTE Jorge Bucay “หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผู้คนมาแล้วจำนวนมากทั่วโลก” นี่คือนิยามของหนังสือเล่มนี้ แต่เมื่อไรที่ได้ยินคำว่าเปลี่ยนชีวิต เราก็คงอดตั้งกำแพงไม่ได้ว่านี่คือหนังสือไลฟ์โค้ช ฮาวทู ที่เอาแต่บอกให้เรามองโลกในแง่ดี ๆ ๆ บอกให้เราเปลี่ยนตัวเอง เลิกเศร้า เลิกทุกข์ ลุกขึ้นมาฉีกยิ้มร่าโดยไม่สนความเป็นจริงหรือเปล่า? เราขอสัญญาว่าหนังสือเล่มนี้จะไม่ทำแบบนั้นกับคุณ ที่สำคัญหลังอ่านเล่มนี้จบคุณจะมีสิทธิทุกประการที่จะเลือกคิด เลือกจัดการทุกความเศร้าและปวดเจ็บด้วยตัวคุณเอง แต่เป็นการจัดการด้วยมุมมองใหม่ ๆ ที่คุณได้จากการทบทวนตัวเอง ครุ่นคิดกับสิ่งที่รู้สึก “จะเล่าให้คุณฟัง”
หนังสือคือเพื่อน หนังสือคือจินตนาการ หนังสือคือความรู้ หนังสือเป็นอะไรก็ได้ตราบเท่าที่คนอ่านอย่างเรานิยามให้ ในช่วงเวลาที่เราแทบไม่ได้ออกไปไหน ใช้เวลาส่วนใหญ่ในโลกปิดแคบที่เรียกว่าบ้านและโหยหาการเดินทางใจจะขาด หนังสือจะพาเราออกโบยบินไปไกลแสนไกล UNLOCKMEN จึงเอา 5 หนังสือเรื่องการเดินทางมาฝากมนุษย์ทุกคนที่ต้องอยู่บ้านเพื่อส่วนรวม รวมถึงที่ยังต้องออกไปทำงาน (แต่ก็ไม่อาจเดินทางไปไหนไกล ๆ ได้) ทุกการเดินทางในหนังสือ 5 เล่มนี้ไม่เพียงเป็นการเดินทางเพื่อท่องเที่ยว แต่เป็นการเดินทางเพื่อตามหาความหมายอะไรบางอย่าง ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่าในช่วงเวลาอันยากลำบากและชวนสับสนนี้ เราทุกคนต่างพยายามตั้งคำถามว่า “ชีวิตเราต้องการอะไรกันแน่?” มากกว่าที่เคยถามมาทั้งชีวิต สู่หนไหน “สู่หนไหน” หนังสือที่จะพาเราเดินทางไปกับ 2 หนุ่มบ้าระห่ำที่ไม่ได้ต้องการเดินทางเพื่อสิ่งใด นอกจากตอบสนองเสียงเรียกร้องในหัวใจของตัวเองเท่านั้น พวกเขาเดินทางด้วยรถเก่า ๆ รอนแรมไปทัวสหรัฐอเมริกาดินแดนแห่งเสรีที่ดูเหมือนว่าใจของพวกเขาจะเสรียิ่งกว่า การได้อ่านเล่มนี้ให้ความรู้สึกราวกับได้กระเตงไปบนรถเก่าคร่ำคร่า บางหนรถวิ่งอย่างราบรื่นพาไปเห็นบางมุมของชีวิตที่สวยงาม บางคราวรถกระตุกทุลักทุเลราวกับว่าไม่อาจจะไปต่อได้ แต่เช่นนั้น เช่นที่การเดินทางและชีวิตของมนุษย์อย่างเรา ๆ เป็น เพราะหนทางนั้นอีกยาวไกล เราจึงต้องเจอทั้งดีและร้ายอีกมาก แต่ที่หนังสือเล่มนี้ทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองได้อย่างเด็ดขาดคือ “ชีวิตคืออะไร?” เรากล้าจะกระโจนเข้าสู่การเดินทางราวกับตัวละครหลักของเรื่องไหม? ทั้งถนนหนทางจริง ๆ และถนนหนทางของชีวิตเรานั่นเอง ในครึ่งที่ยังว่างของกระเป๋าเดินทางสีฟ้า เรื่องราวของมนุษย์เงินเดือนวัย 29 ปี ที่ตั้งแต่ลืมตามาบนโลกจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยออกเดินทางไปต่างประเทศแม้สักหน แล้วจู่ ๆ
ยังไม่ทันพ้นช่วงต้นของปี โลกใบนี้ก็ดูจะใจร้ายกับเราถึงขีดสุด ไฟป่าครั้งใหญ่ในดินแดนจิงโจ้ เหตุกราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา วิกฤติไวรัสที่ทำอกสั่นขวัญแขวนไปทั่วทั้งโลก สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานการณ์ไกลตัวเพราะมันค่อย ๆ กัดกร่อนลุกลามมาถึงธุรกิจของใครบางคนที่กำลังไปได้สวย คนที่เรารักที่อาจต้องเผชิญวิกฤตหนัก โอกาสทางหน้าที่การงานของใครสักคนที่กำลังสว่างไสว แต่ทั้งหมดที่ดูจะแบ่งบานก็คล้ายจะร่วงโรยลงตรงหน้า ตอนยังเด็ก เมื่อเจอเรื่องเสียใจ เราคงแค่วิ่งเข้าบ้าน ร้องไห้ตัวโยนขอกอดโอบอุ่นจากแม่ให้หายตกใจ ขอให้พ่อพาขี่หลังตระเวนเที่ยวจนกว่าจะหายเศร้า หรือขอขนมจากเพื่อน รวมถึงการวิ่งเล่นลืมโลกจนเรื่องทุกข์ร้อนใดก็ไร้ความหมาย แต่เพราะตอนนี้เราไม่ใช่เด็ก ๆ “โตแล้วต้องดูแลตัวเองให้ได้” UNLOCKMEN จึงอาสาส่งกอดแบบผู้ใหญ่ ๆ ให้ก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กันด้วย “5 หนังสือปลอบใจในวันที่เป็นผู้ใหญ่แต่โลกทั้งใบร้ายกับเราเหลือเกิน” หนังสือ 5 เล่มนี้คงไม่ได้ช่วยเราสะสางทุกปมปัญหาได้ทันทีทันใด แต่มันมีความหมายในแง่การค่อย ๆ ชะโลมไออุ่น ๆ ให้เรามองเห็นโลกในอีกแบบ เข้าใจความทุกข์ในอีกทาง และเห็นความสุขในอีกมุม วะบิ-ซะบิ Wabi-Sabi Leonard Koren คุณมองความไม่สมบูรณ์แบบด้วยสายตาแบบไหน? ทุกครั้งที่เจอรอยบูดเบี้ยวของชีวิตคุณรู้สึกเช่นไร? มนุษย์จำนวนไม่น้อยที่มองชีวิตเป็นประติมากรรมชิ้นเอก ไร้ร่องรอยแตกหัก สมบูรณ์ทุกกระเบียดดังใจ และเมื่อความไม่สมบูรณ์แบบมาเยือนจึงเจ็บปวดแหลกสลาย ราวกับทั้งชีวิตจะไม่มีอะไรดีหลงเหลืออยู่เลย “วะบิ-ซะบิ (Wabi-Sabi 侘寂)” คือปรัชญาจากแดนปลาดิบที่บอกเราให้โอบกอดความไม่สมบูรณ์แบบ อยู่กับรอยแผลในชีวิต
ครั้งหนึ่งในกาแลคซี่ทางช้างเผือก มนุษย์อย่างเราเคยมั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่าชีวิตบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้เต็มไปด้วยความหวังมากกว่าดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ดวงอื่น ๆ อีกหมื่นแสนดวง เพราะบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้มีอากาศให้หายใจ มีชีวิต มีการเกิดใหม่ มีความเป็นไปได้ให้เราฝันและหวังไม่สิ้นสุด แต่ในทางกลับกันเมื่อมนุษย์รวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เชื้อกลายพันธุ์ โรคระบาด ก็สามารถแพร่ไปได้รวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง เมื่อวันนั้นมาถึง โรคร้ายจึงทำให้โลกที่เคยดี กลายเป็น “โลกร้าย” ที่กลิ่นของความตายลอยคละคลุ้ง เมืองพังพินาศ ระบบการจัดการล้มเหลวและผู้คนกำลังจะตาย ในห้วงเวลาเช่นนั้นมนุษย์จะเผยให้เห็นความสิ้นหวัง ความมืดหม่นแห่งความคิดและจิตใจออกมาได้อย่างชวนขนลุกขนพอง แม้ในความเป็นจริงมวลมนุษยชาติจะยังไม่เคยก้าวไปถึงจุดนั้น แต่เราเชื่อว่าหนังสือว่าด้วยโลกร้าย 5 เล่มนี้จะพาคุณไปรู้จักความสิ้นหวังจากโรคระบาดให้เราได้ดำดิ่ง และเตรียมตัวล่วงหน้าเผื่อวันแห่งหายนะนั้นมาถึง บอด : José Saramago เพราะดวงตาคือความหวัง คือแสงสว่าง คืออวัยวะที่ช่วยให้มวลมนุษยชาติมองเห็น การสูญเสียการมองเห็นจึงไม่ได้หมายความถึงแค่อวัยวะหนึ่งล้มเหลว แต่หมายถึงมนุษย์จะต้องเผชิญกับความมืดบอดของโลกและอยู่กับความสิ้นหวังที่จะเห็นสรรพสิ่งไปตลอดกาล “บอด” คือวรรณกรรมผลงานนักเขียนรางวัลโนเบลที่ว่าด้วยโรคลุกลามแพร่ระบาดที่ทำให้มนุษย์มองอะไรไม่เห็นอีกต่อไป! เรื่องเริ่มที่ชายคนหนึ่งขับรถติดไฟแดงอยู่ดี ๆ ฉับพลันดวงตาเขาก็ขาวโพลน ไม่อาจมองสิ่งใดเห็น หลังจากนั้นอาการตาบอดก็แพร่ออกไปจากคนหนึ่ง สู่อีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่ง ตอนนั้นเองที่ทุกอย่างตกอยู่ในความโกลาหล วรรณกรรมเรื่องนี้ไม่เพียงแค่พาเราดิ่งลึกลงไปในความมืดบอดและโรคติดเชื้อ แต่มวลมนุษยชาติผู้สิ้นหวัง สับสน รัฐบาลที่แก้ปัญหาอย่างมืดบอดไม่แพ้อาการตาบอดที่แพร่ระบาด ไปจนถึงมาตรฐานศีลธรรมที่ในเวลาปกติเราเคยยึดถือ แต่เมื่อทุกคนกระเสือกกระสนหนีตาย ศีลธรรมก็คล้ายเป็นเพียงลมปากที่ไม่มีความหมายอีกต่อไป
หรือโลกนี้คือนรก? สำหรับบางคน มีเพียงชีวิตหลังความตายเท่านั้นที่มอบฑัณฑ์ทรมานให้พวกเขาได้ ไฟโลกันตร์สีแดงแผดเผา ภาชนะทองแดงบรรจุน้ำกรดเดือดดำรอกรีดแหวกเรือนร่าง หนามแหลมคมแทงทิ่มสร้างความปวดเจ็บไม่รู้จบรู้สิ้น แต่สำหรับบางคนทัณฑ์ทรมานมาถึงได้โดยไม่ต้องรอให้หมดลมหายใจ การมีชีวิตไปวัน ๆ บนโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันชิงดีชิงเด่น การนอนให้ผ่านไปแต่ละคืนเพื่อตื่นขึ้นมาพบว่าเราต้องทุกข์ทนใช้ชีวิตกลวงเปล่าไร้จุดหมายไปอีก 24 ชั่วโมงอันยาวนาน โลกที่ผู้คนพลุกพล่าน แต่เรากลับรู้สึกเย็นเยียบ เงียบงัน ราวกับตกนรกทั้งเป็น หนังสือบางเล่มชวนให้เราออกไปใช้ชีวิต หนังสือบางเล่มปลอบประโลมเรา หนังสือบางเล่มทำให้เราอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ในขณะที่หนังสือบางเล่มทำให้เราเข้าใจว่าเราไม่ได้รู้สึกราวกับตกนรกอยู่เพียงลำพัง และนี่คือหนังสือ 5 เล่มที่จะพาเราดำดิ่งไปในเรื่องราวของมนุษย์ ทันฑ์ทรมาน ความเงียบงัน ที่ไม่แผดเผาเจ็บปวดเหมือนนรกหลังความตาย แต่ทำให้เข้าใจว่าโลกใบนี้อาจร้ายเงียบกว่าที่คิด และใช่ เรามีเพื่อนที่ตกนรกไปด้วยกันอีกพัน ๆ ล้านคนทั่วดาวเคราะห์สีน้ำเงินใบนี้ Revenge: Eleven Dark Tales Yoko Ogawa ขอต้อนรับสู่โลกมืดมิดและบิดเบี้ยวที่จะรบกวนจิตใจของคุณไปอีกนาน นิ่งเรียบ เงียบงัน เสียวสันหลังและชวนให้ขนลุกวาบอยู่เป็นระยะ ๆ นี่คือนิยามที่เรายกให้ “Revenge: Eleven Dark Tales” หลังอ่านจบ ถ้าจะบอกคร่าว ๆ นี่คือเรื่องสั้น 11 เรื่องที่ว่าด้วยความตาย
“ความสุขคืออะไร?” คำถามปริศนาธรรมล้ำลึก ยากพอ ๆ กับถามว่า “ตายแล้วไปไหน?” บางคนนิยามความสุขว่าคือความพึงพอใจในวินาทีตรงหน้า บางคนนิยามความสุขว่าคือการมีวินัยต่อตัวเองเพื่อไปถึงเป้าหมายหอมหวานภายหลัง บางคนนิยามความสุขว่าคือการทำงานหนักไม่หยุดหย่อน บางคนนิยามความสุขว่าคือการนอนเล่นนานเท่าที่อยากนอน แต่ความสุขที่แท้จริงคืออะไรกันแน่? มีใครเคยศึกษาอย่างลึกซึ้งไหมว่าสุขก่อนแล้วทุกข์ทีหลัง หรือยอมทุกข์ก่อนแล้วรอสุขใหญ่ทีเดียว แบบไหนปริมาณความสุขพุ่งสูงกว่ากัน? หรือถ้าทำงานหนักโดยไม่พักผ่อนเลย แต่กูก็มีความสุขดีนี่หว่า มันเรียกว่าความสุขได้จริงไหม? หนังสือ 5 เล่มที่เราชวนคุณอ่านวันนี้ จะทำให้คุณเข้าใจความหมายของความสุขทั้งในแง่ความรู้สึก และในแง่หลักการทางวิทยาศาสตร์ (ที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว) รวมถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดีนั้นมีผลต่อความสุขได้อย่างไร? รับรองว่าเราจะเข้าใจความสุขรอบด้านกว่าที่เคย เข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น รวมถึงมองการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในแง่มุมใหม่ ๆ นอนเปลี่ยนชีวิต “ผมชอบทำงาน ให้ทำงานทั้งวันแล้วนอนแค่คืนละ 3 ชั่วโมง ผมก็มีความสุขดี” “ปาร์ตี้คือโคตรแห่งความสุข ปาร์ตี้ทุกคืน ไม่นอนเลยก็ยังไหว” เราเชื่อว่าใครหลายคนแอบเอาความพึงพอใจตรงหน้าเป็นตัวตั้ง แล้วตีค่ามันว่าความสุข แต่บางทีพฤติกรรมบางแบบที่รุกล้ำเข้ามาในเวลานอนหลับพักผ่อน อาจกลายเป็นอุปสรรคของคุณภาพชีวิตที่ดี และชีวิตที่มีความสุขในระยะยาวได้เช่นกัน “นอนเปลี่ยนชีวิต” คือหนังสือที่จะพาเราไปรู้จักการนอนหลับมากกว่าที่เราเคยคิดว่ามันก็แค่ข้อจำกัดของมนุษย์ (ที่อยากทำอะไรตั้งมากมาย แต่ต้องมาเจียดเวลาไปนอนเฉย ๆ ) เช่น คุณรู้หรือไม่ว่าคนที่นอนหลับคืนละ 6 ชั่วโมงนาน 10 วัน
ต้องยอมรับว่า บิล เกตส์ (Bill Gates) เป็นต้นแบบทางความคิดของผู้ชายหลาย ๆ คน เพราะนอกจากเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ (Microsoft) เขายังครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกหลายปีซ้อน จนคนทั่วโลกขนานนามว่าเป็น “ชายผู้ประสบความสำเร็จ” ไม่แปลกเลยถ้าผู้ชายอย่างเราจะอยากรู้ว่าวัน ๆ บิล เกตส์ ทำอะไรบ้างถึงได้ประสบความสำเร็จและร่ำรวยขนาดนี้ แท้ที่จริงแล้วใต้ฉากหลังของนักธุรกิจชาวอเมริกันรายนี้ซ่อนกองหนังสือขนาดมหึมา และ บิล เกตส์ ก็เป็นหนอนหนังสือตัวยงที่อ่านหนังสือมากกว่า 50 เล่มต่อปี เพราะเขาเชื่อว่าการอ่านช่วยให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และทดสอบความรู้ไปในตัว แล้วนี่คือหนังสือ 3 เล่มที่ บิล เกตส์ อ่านในวันหยุดช่วงปลายปี 2019 และเราอยากให้คุณลองอ่านดูสักครั้ง! These Truths: A History of the United States These Truths: A History of the United States เขียนโดย Jill