Honda NSX หรือชื่อที่วางขายในตลาดสหรัฐอเมริกาว่า Acura NSX ถือเป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์ที่หนุ่มหลายคนหมายตา ถึงแม้การทำตลาดในเมืองลุงแซมจะไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร แต่ Acura NSX ปี 2020 เตรียมกลับมาอีกครั้งพร้อมกับสี Indy Yellow Pearl ที่คล้ายกับสีดั้งเดิมของรถเจเนอเรชันแรก หนุ่ม ๆ ที่กำลังรอฟังข่าวของซูเปอร์คาร์จากค่าย Honda อย่าง Acura NSX คงตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อทางค่ายผู้ผลิตประกาศแล้วว่า Acura NSX ปี 2020 จะเพิ่มทางเลือกด้วยสีสุดพิเศษอย่าง Indy Yellow Pearl ซึ่งเป็นสีที่ทำมาเพื่อระลึกถึงสีเหลืองยอดนิยมของ NSX ในเจเนอเรชันแรกที่ผลิตระหว่างปี 1990 – 2005 ซึ่งถูกเรียกว่า Spa Yellow และ Rio Yellow และเป็น 1 ใน 5 สียอดนิยมที่ลูกค้าสั่งซื้อมากที่สุด ก่อนหน้านี้ Acura NSX เคยนำสีดั้งเดิมจากรถในเจเนอเรชันแรกกลับมาใช้ในรุ่นปัจจุบันอีกครั้งนั่นคือสี Berlina Black โดยสีมาตรฐานที่มีให้เลือกคือ
สำหรับผู้ชายอย่างเรา การมีโอกาสได้ครอบครองรถยนต์รุ่นในฝันหรือโมเดลที่หลงใหลถือเป็นการเติมเต็มความสุขในชีวิตอีกอย่างหนึ่ง รถหลายคันมีความต้องการในท้องตลาดสูง ความต้องการในตลาดมืดจึงสูงไม่ต่างกันโดยเฉพาะในดินแดนที่กว้างใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาที่ตลาดรถยนต์มีขนาดใหญ่ มีสถิติที่น่าสนใจจาก The Insurance Institute For Highway Safety หรือบริษัทประกันภัยทางหลวงของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยรายชื่อรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมมากที่สุด นับเฉพาะโมเดลใหม่ที่ผลิตออกมาระหว่างปี 2016-2018 มาดูกันว่ารถยนต์จากค่ายไหน รุ่นใดที่มีความต้องการในตลาดมืดมากที่สุดในแดนลุงแซมปีนี้ 10. Mercedes-Benz S-Class 4Matic รถรุ่นยอดนิยมของ Mercedes-Benz อย่าง S-Class หนึ่งในยนตรกรรมคลาสสิกที่หนุ่ม ๆ รู้ดีว่าขึ้นชื่อด้านความหรูหราและได้รับความนิยมในทุกยุคสมัย โดยเฉพาะเสียงของเครื่องยนต์ V8 ใน S-Class 4Matic คันล่าสุด ก็ทำให้อัตราการถูกขโมยของมันเพิ่มขึ้น 2.91 เท่าจากรถยนต์รุ่นเดิมที่เคยผลิตออกมา 9. CHRYSLER 300 ลำดับต่อมาของลิสต์คือ Chrysler 300 จากบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกาที่หลายคนอาจไม่คุ้ยชื่อกันนัก อย่างไรก็ตาม Chrysler 300 ถือเป็นยนตรกรรมที่หรูหราทั้งดีไซน์ภายนอกที่ใกล้เคียงกับ Bentley และงานภายในห้องโดยสารที่สวยงาม อย่างไรก็ตามเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.7 ลิตรที่ให้พลังม้า 363
‘ความเร็ว’ ‘ซูเปอร์คาร์’ ‘ศาสดาอาร์ต’ ‘งานศิลปะ’ ทั้งหมดนี้เมื่อมองดูแล้วไม่น่าจะเป็นสิ่งที่สามารถรวมกันได้ แต่สำหรับ BMW มองเห็นความเจ๋งของทุกอย่างที่กล่าวมาจนเกิดงานศิลปะสุดแนวชื่อว่า BMW Art Car โดยได้เหล่าศิลปินชื่อก้องโลกแต่ละยุคมามีส่วนสร้างสรรค์รถซูเปอร์คาร์ให้กลายเป็นศิลปะ เช่นเดียวกับผลงานที่ครบรอบ 40 ปี ในปีนี้กับงานของ BMW M1 และ เจ้าพ่อ Pop Art นาม Andy Warhol คอรถวินเทจหลายคนคงรู้จักซูเปอร์คาร์จากค่าย BMW กับรุ่น M1 ทวินแคม 6 สูบเรียง 3,500 ซีซี (3.5 ลิตร) เครื่องยนต์วางกึ่งกลาง โดดเด่นทุกครั้งเวลาเปิดประตูด้วยประตูแบบปีกนก ไฟหน้าแบบ pop up สุดคลาสสิก พร้อมขุมพลัง 470 แรงม้า ซึ่งถือว่า BMW เป็นแบรนด์รถยนต์แรก ๆ ที่สามารถทำความเร็วแรงได้มากขนาดนี้ BMW M1 เริ่มวางจำหน่ายช่วงปี 1978-1981 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวก็มีศิลปินชาวอเมริกันกำลังโด่งดังเป็นพลุแตกด้วยผลงานแนว
ถ้าพูดถึงค่ายรถผู้เชี่ยวชาญด้านงานคาร์บอนไฟเบอร์อย่าง Pagani (ปากานี) หลายคนคงรู้จักพวกเขาผ่านสุดยอดยนตรกรรมอย่าง Pagani Zonda (ปากานี ซอนด้า) ไฮเปอร์สายตัวเบาซึ่งเป็นเหมือนจุดขาย แต่ดูเหมือนว่า Pagani จะยังต้องการรถที่มีน้ำหนักเบามากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องแข็งแกร่งพอที่จะวางเครื่องยนต์กำลังโหด ๆ เอาไว้ได้จนท้ายที่สุดก็ออกมาเป็น Pagani Huayra Roadster BC คันนี้ ทุกวันนี้ซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์ของค่ายรถยนต์ระดับโลกมากมาย ต่างหันมาใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เป็นโครงสร้างหลักของตัวรถกันหมดแล้ว ด้วยคุณสมบัติที่ทั้งน้ำหนักเบาและแข็งแรง แต่มันก็อาจไม่ใช่วัสดุที่ดีที่สุด Pagani Huayra Roadster BC นอกจากจะดีไซน์ใหม่ทั้งคันแล้ว ยังเปลี่ยนมาใช้วัสดุที่เบาและแข็งแรงกว่าที่เรียกว่า Carbotanium (คาร์บอนไฟเบอร์ + ไทเทเนียม) ที่ใช้ในเครื่องบินแอร์บัส A380 รวมถึงพาหนะพิเศษต่าง ๆ ที่ทำให้มันแข็งแรงพร้อมต้านแรงลมด้วยน้ำหนักเพียง 1,250 กิโลกรัมเท่านั้น Carbotanium พัฒนาโดย Pagani เมื่อเทียบกับวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์แบบเดิมจะแข็งแรงมากกว่าถึง 12 เปอร์เซ็นต์ แต่ยืดหยุ่นมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ คุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมของมันก็ทำให้ราคาค่าวัสดุของ Pagani Huayra คันเพิ่มสูงขึ้นขึ้นถึง 450 เปอร์เซ็นต์เลยเช่นกัน
หลังจากเปิดตัว 7 Series คันใหม่ไปได้ไม่นาน ดูเหมือน BMW จะต้องการเพิ่มทางเลือกให้กับแฟน ๆ ของ THE 7 มากขึ้นด้วยการเปิดตัวสายพันธุ์แรงที่มีพื้นฐานมาจาก 7 Series อย่าง BMW Alpina B7 ตามออกมาติด ๆ ว่ากันว่ามันคือซีดานที่แรงที่สุดของค่ายจากแคว้นบาวาเรียแห่งนี้ หนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบในรถยนต์ของ BMW คงจะรู้จักและคุ้นเคยกับรถยนต์ของ BMW ที่มีตราสัญลักษณ์ Alpina ซึ่งเป็นค่ายปรับแต่งรถยนต์สมรรถนะสูงที่ทำงานรวมกับค่ายใบพัดสีฟ้ามานานกว่า 50 ปี ในปีนี้พวกเขาเตรียมต่อยอด สายการผลิตรถยนต์ซีดานตัวแรงอย่าง Alpina B7 รหัสตัวถัง G12 ที่คราวนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ตัวพัฒนาใหม่ล่าสุดของค่าย BMW Alpina B7 ปี 2020 ถูกพัฒนามาจากยนตรกรรมสายพันธุ์ซีดานอย่าง BMW 7 Series โดยดีไซน์ภายนอกของรถคันนี้ยังมีกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ รวมถึงช่องอากาศที่อยู่ต่ำลงมา ก่อนจะแปะคำว่า Alpina ไว้ที่ด้านล่างสุด ซึ่งเข้ากันได้ดีกับดีไซน์ของไฟหน้าที่มีขนาดบางลง ส่วนท้ายมาพร้อมกับ
ผู้ขับขี่รถยนต์โดยทั่วไป ส่วนใหญ่มักจะเทความสนใจให้กับรูปโฉมที่เตะตา แรงม้าที่สะใจ กับฟังก์ชันอำนวยความสะดวกทั้งหลาย แค่ชอบก็ยอมจ่ายแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังใด ๆ ทั้งที่หลายต่อหลายกรณีในวินาทีแห่งความเป็นความตาย ระยะเบรกที่มั่นใจ รวมถึงประสิทธิภาพการเกาะถนนของยางเส้นน้อย ๆ ทั้ง 4 เส้นนี่แหละคือสิ่งที่ช่วยกู้วิกฤติจากหนักเป็นเบา เปลี่ยนความสูญเสียให้กลายเป็นความปลอดภัยมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน ยืนยันได้จากสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนของกระทวงคมนาคมประเทศสหรัฐอเมริกาที่ระบุว่าต้นตอการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากความบกพร่องของยานพาหนะ (ไม่นับเรื่องการขับขี่โดยประมาท, เมาแล้วขับ หรือสาเหตุอื่น ๆ) นั้นมีสาเหตุหลักมาจากปัญหาของล้อ และยาง ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุจากยางระเบิด หรือรถเสียหลักลื่นไถลบนถนนเปียกเนื่องจากดอกยางสึก แซงหน้าปัญหาระบบเบรค ระบบเครื่องยนต์ พวงมาลัย ไฟสัญญาณ ไปแบบไม่เห็นฝุ่น (SOURCE: 1/2) รู้แบบนี้แล้วชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายก็ควรหันมาใส่ใจยางรถยนต์กันสักหน่อย ยิ่งอากาศในบ้านเราร้อนอยู่ดี ๆ ก็มีฝนกระหน่ำเข้ามาซะอย่างนั้น เป็นแบบนี้สลับไปมาตลอดทั้งปี ทำให้ยิ่งต้องเตรียมพร้อมหมั่นตรวจดูสภาพยางอย่างสม่ำเสมอ ก่อนออกเดินทางแนะนำให้ดูสักหน่อยว่า แก้มยางไม่บวม ไม่มีรอยแตก เช็คลมยางให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน หากใครที่ยางหมดดอกไปแล้วขอบอกว่าได้เวลาเปลี่ยนยางกันเสียที งานนี้ไม่ควรฝืนสวมบทนายประหยัดใช้ต่อ เพราะค่ายางที่ประหยัดไปยังไงมันก็ไม่คุ้มกับชีวิตเราแน่ ๆ ส่วนใครที่ได้ฤกษ์เปลี่ยนยางใหม่ แต่ยังหายางรถยนต์รุ่นเหมาะ ๆ ไม่ได้ วันนี้เรามียางคุณภาพดี ราคาคุ้มค่าโดนใจมาแนะนำกันอีกครา หลังจากที่เคยแนะนำ MICHELIN Primacy 4 ยางหนึบคุ้มนุ่มเงียบสำหรับรถกลุ่ม C-Segment
Porsche 991 เจเนอเรชัน 992 และ Carrera ที่มาในโมเดล สองประตู (Coupe) และ เปิดประทุน (Cabriolet) เผยโฉมและปล่อยสเปคคร่าว ๆ ออกมาให้หนุ่มทั่วโลกได้ทำความรู้จักกันแล้ว โดยเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในต้นปี 2020 พร้อมราคาที่ลดลงเล็กน้อยจากจากรุ่นก่อนหน้า หลังจากทิ้งช่วงจากการเปิดตัว Carrera S ไปเกือบ 8 เดือน ในที่สุดค่ายรถยนต์จากเมืองสตุ๊ตการ์ตอย่าง Porsche ก็ตัดสินใจเผยโฉมรถรุ่นมาตรฐานของเจ้าชาย เจเนอเรชันล่าสุด (992) กับ Porsche 911 Carrera ในสองโมเดลที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีอย่าง Coupe และ Cabriolet ที่มีราคาถูกกว่า Carrera S รุ่นก่อนหน้า ถึงจะเว้นช่วงไปนาน แต่ความแตกต่างด้านดีไซน์ทั้งภายในและภายในของ Carrera และ Carrera S แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ยกเว้นท่อไอเสียที่ Carrera เปลี่ยนมาใช้ดีไซน์ท่อแบบเดี่ยว และขนาดของยางที่ด้านหน้าใช้ขนาด 19 นิ้วและยางหลังขนาด 20 นิ้ว
Chevrolet Corvette Stingray 2020 คือบทสรุปของการทดลองใช้เครื่องยนต์วางกลางที่ยาวนานมากว่า 60 ปี คอร์เวทท์ เจนเนอเรชั่นที่ 8 ไม่เพียงสะท้อนความยิ่งใหญ่ด้านสมรรถนะที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดมาจากเจนเนอเรชั่นที่ 7 เท่านั้น แต่ยังรวมกับบทเรียนที่ได้จากโครงการพัฒนาระบบวิศวกรรมในอดีต อาทิ รถยนต์เพื่อการวิจัยของเชฟโรเลตหรือ CERV ทั้งสามรุ่น (Chevrolet Experimental Research Vehicles) แอโรเวทท์ (Aerovette) และรถต้นแบบรุ่นอื่น ๆ โซรา อาร์คัส-ดันตอฟ ผู้ซึ่งได้รับการขนามนามว่าเป็นบิดาของคอร์เวทท์ ได้พบกับรถที่ใช้เครื่องยนต์วางกลางครั้งแรกตั้งแต่เขายังหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นรถแข่ง Auto Union Types C และ D Grand Prix ดันตอฟมีความรู้และเป็นผู้เชี่ยวชาญในระบบขับเคลื่อนรถยนต์ เขาปรารถนาที่จะเป็นนักแข่งรถและที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมยานยนต์และการบิน เขาเข้ามาทำงานกับจีเอ็มเนื่องจากมีความหลงใหลในรถต้นแบบ คอร์เวทท์ รุ่นแรก ซึ่งเขาเห็นที่งานโมโตรามา ปี 1953 ในโรงแรมวอร์ดอล์ฟ แอสโตเรีย มหานครนิวยอร์ก ดันตอฟเริ่มต้นทำงานกับจีเอ็ม ในวันที่ 1 พฤษภาคม 1953
Chevrolet สานต่อตำนานความสำเร็จที่ยาวนานของคอร์เวทท์ ด้วยการเผยโฉม Corvette Stingray รุ่นปี 2020 ครั้งแรกของคอร์เวทท์รุ่นโปรดักชั่นเครื่องยนต์วางกลาง สติงเรย์ รุ่นปี 2020 เป็นการสร้างจินตนาการใหม่เพื่อส่งมอบอีกระดับของสมรรถนะ เทคโนโลยี ความประณีต และความหรูหรา จากเครื่องยนต์วางหน้าสู่เครื่องยนต์วางกลาง –ภายในเวลาราว 3 วินาที คอร์เวทท์แสดงถึงความเป็นสุดยอดนวัตกรรมและการผลักดันของจีเอ็มออกจากกรอบเดิมได้เสมอ รถสมรรถนะสูงที่มีเครื่องยนต์อยู่ด้านหน้าได้ถึงขีดจำกัดของสมรรถนะแล้ว จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนารูปแบบใหม่ คอร์เวทท์รุ่นใหม่ยังคงมีรูปลักษณ์และความรู้สึกที่ให้ความสะดวกสบายและความสนุกสนานสไตล์คอร์เวทท์ แต่มีการขับขี่ที่เหนือกว่ารถทุกรุ่นในประวัติศาสตร์ของคอร์เวทท์ ลูกค้าจะได้สัมผัสความตื่นเต้นเร้าใจจากการให้ความใส่ใจในรายละเอียดและสมรรถนะในทุกมิติ เครื่องยนต์วางกลางทำให้สติงเรย์ รุ่นปี 2020 มีคุณสมบัติ ดังนี้ • การกระจายน้ำหนักที่ดียิ่งขึ้น โดยถ่ายเทน้ำหนักไปทางด้านหลังเพื่อเพิ่มสมรรถนะบนทางตรงและบนสนามแข่ง • ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้นและให้การควบคุมที่แม่นยำด้วยตำแหน่งผู้ขับขี่ที่ใกล้กับเพลาล้อหน้ามากขึ้นจนเกือบจะอยู่บนล้อหน้า • อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงที่เร็วที่สุดสำหรับคอร์เวทท์รุ่นเริ่มต้น – ประมาณ 3 วินาทีเมื่อมาพร้อมกับแพ็กเกจ Z51 • ทัศนวิสัยเสมือนนั่งอยู่ในรถแข่งด้วยการปรับตำแหน่งฝากระโปรง มาตรวัดและพวงมาลัยต่ำลง ทำให้การมองเห็นผู้ขับขี่และผู้โดยสารมีความชัดเจน • พัฒนาจุดแข็งด้านการใช้งานของคอร์เวทท์ด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระใต้ฝากระโปรงสองตำแหน่ง ที่มีความจุรวม 12.6 ลูกบาศก์ฟุต เหมาะสำหรับกระเป๋าสัมภาระหรือถุงกอลฟ์ซัก 2
ดูเหมือนว่าค่ายผลิตมอเตอร์ไซค์สุดเก๋าอย่าง Curtiss Motocycles จะกำลังให้ความสำคัญกับรูปแบบรถพลังงานไฟฟ้าของตัวเองอยากต่อเนื่อง ล่าสุดปล่อยคอนเซ็ปต์รถมอเตอร์ไซค์แห่งอนาคตกับ Curtiss ‘Hades ที่มาในดีไซน์มินิมัล แต่ด้านสมรรถนะถือว่าโหดไม่แพ้มอเตอร์ไซค์คันไหนในโลกแน่นอน ก่อนหน้านี้ไม่นาน Curtiss Motocycles เปิดตัวมอเตอร์ไซค์สายพันธุ์ EV ออกมาในชื่อ Zeus ซึ่งนอกจากจะมาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 140 KW (190 แรงม้า) ที่ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลาต่ำกว่า 3 วินาทีแล้ว ยังเลือกใช้โครงสร้างจากคาร์บอนไฟเบอร์และ Aluminum 6061-T6 เพื่อความเบาและแข็งแรงของตัวรถ ขณะเดียวรถคอนเซ็ปต์คันล่าสุดอย่างรุ่น Hades ก็ไม่น้อยหน้า เพราะมากับโครงสร้างตัวรถที่ใช้เป็น Titanium ขนาด 1.75 นิ้วและวัสดุอย่างเหล็กผสม Chromoly Tubular รวมถึง Aluminum 6061 ที่สร้างออกมาในรูปทรงครุยเซอร์สไตล์คลาสสิกที่มาในโทนสีดำตัดขาว และสีน้ำตาลที่เข้ากับเบาะหนังดีไซน์เฉียบ พร้อมล้อหน้าขนาด 110/80 mm ล้อหลังขนาด 160/60 mm ที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งสองเส้น แม้ดีไซน์จะเรียบง่ายแต่ Hades ก็มีระบบป้องกันการสั่นสะเทือนแบบจัดเต็ม
ถือเป็นข่าวดีโดยเฉพาะหนุ่ม ๆ ที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของรถยนต์สายพันธุ์อเมริกันมัสเซิลอย่าง Chevrolet Corvette เมื่อทางค่ายประกาศเปิดตัวการผลิต Chevrolet Corvette ปี 2020 เจเนอเรชันใหม่ รหัสเครื่อง C8 ที่ถึงแม้จะเปิดเผยรายละเอียดออกมาเพียงบางส่วน แต่มันก็ทำให้เราเฝ้ารอดูสเปคเต็มอย่างใจจดใจจ่อกันแน่นอน หลังจาก Corvette รหัสเครื่อง C7 ที่ผลิตขึ้นระหว่างปี 2014-2019 ใช้แพลตฟอร์มเป็นเครื่องยนต์วางหน้าที่ส่งกำลังขับเคลื่อนไปยังล้อหลัง มาในรหัสเครื่อง C9 ก็มีการเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์มแบบ Mid-Engine แต่ยังคงการขับเคลื่อน แบบ RWD เช่นเคย ดีไซน์ภายนอกเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร งานออกแบบเฉียบคมมากขึ้นโดยเฉพาะฝากระโปรงที่นำเอาช่องอากาศขนาดใหญ่ออกไปแทนที่ด้วยเส้นสายที่ตัดกลางตัวรถลงมาบรรจบกันด้านหน้า แต่มีการเพิ่มช่องลมไว้ด้านล่างของไฟหน้ารถของตัวรถเป็นการทดแทน รวมถึงช่องอากาศด้านข้างตัวรถที่ย้ายจากด้านหลังล้อหน้าเพื่อลดอุณหภูมิเครื่องยนต์ที่ถูกเปลี่ยนตำแหน่งการวางไป ดีไซน์ของไฟท้ายยังมีลักษณะคล้ายเดิม แต่เปลี่ยนจุดวางท่อไอเสียให้ออกมาอยู่ด้านข้าง ด้านดีไซน์ภายในคาดว่าห้องโดยสารจะใช้สีดำตัดด้วยเส้นสายสีแดง โดดเด่นด้วยคอนโซลกลางขนาดใหญ่และแผงควบคุมที่วางพาดยาวขนานลงมา แน่นอนว่าจอแสดงผลทั้งตำแหน่งคนขับและตรงส่วนของคอนโซลมาในแบบดิจิทัลที่สามารถปรับระดับได้ พลิกโฉมดีไซน์ไปแล้ว ด้านขุมกำลังก็ต้องพัฒนาไปอีกขั้นกับเครื่องยนต์ V8 ขนาด 6.2 ลิตรตัวใหม่ที่ให้พลัง 490 แรงม้าและแรงบิดที่ 630 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับชุดเกียร์ Dual-Clutch 8-Speed ที่ทาง Chevrolet เคลมว่าให้อัตราเร่ง
“แม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ผมเป็นหนี้บุญคุณพวกเขาเสมอ ขอบคุณพ่อและจูลส์สำหรับทุกอย่าง ผมจะไม่มีวันลืมพวกคุณที่สนับสนุนและเชื่อในตัวผม” ประโยคข้างต้นคือคำกล่าวขอบคุณของชาร์ล เลอแคลร์ (Charles Leclerc) ถึงผู้เป็นพ่อและพี่ชายผู้ล่วงลับ ผู้ต่างเคยสนับสนุนและเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเขาฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นนักแข่งรถสูตร 1 ของทีมเฟอร์รารี่ (Ferrari) ด้วยวัยเพียง 21 ปี ซึ่งทำให้เขาคนนี้กลายนักขับตัวจริงของทีมที่มีอายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 1961 ถ้าพูดภาพจำของกีฬามอเตอร์สปอร์ตอย่าง Formula 1 เชื่อว่าหนึ่งในภาพแรกที่สอดแทรกเข้ามาในหัวของทุกคน คงต้องเป็นรถแข่งคันสีแดงของทีมเฟอร์รารี่ หนึ่งในทีมรถสูตรหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่เคยคว้าแชมป์โลกร่วมกับยอดนักขับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนิกิ เลาดา (Nikki Lauda), คิมิ ไรโคเนน (Kimi Räikkönen) และตำนานอย่างมิชาเอล ชูมัคเกอร์ (Michael Schumacher) ที่ผ่านมาแฟน ๆ ของยอดทีมจากอิตาลี ล้วนเคยชินกับการที่ทีมรักของพวกเขาพร้อมไปด้วยนักขับที่เต็มเปี่ยมทั้งด้านฝีมือและประสบการณ์ แต่ทว่าก่อนฤดูกาล 2018 จะจบ เฟอร์รารี่ก็ตัดสินใจทำสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิด ด้วยการเซ็นสัญญากับนักขับหน้าใหม่ที่มีประสบการณ์ในการแข่งขัน Formula 1 เพียงแค่ปีเดียว นั่นคือวันที่หลายคนต่างตั้งคำถามว่า ไอ้หนูที่ชื่อชาร์ล เลอแคลร์ นี่มันใครกันวะ ?