เป็นรองเท้าที่ถูกจับตามองตั้งแต่ปล่อย Logo ออกมาเรียกน้ำย่อยระหว่าง Dior กับ Air Jordan การรวมตัวของแบรนด์จากโลก Luxury Fashion สุดหรู กับแบรนด์ Sportwears สุดเท่ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเทรนด์หลักในโลกแฟชั่นของปีหน้าอย่างแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ก็พึ่งจะเปิดตัว PRADA x adidas SuperStar ไปไม่นาน เป็นไปเหมือนที่เราคาดการณ์เอาไว้ว่าการ Collaboration DIOR x Air Jordan 1 ครั้งนี้จะถูกสร้างสรรค์บนโมเดล Air Jordan 1 High OG ซึ่งถือว่าเป็นรุ่น Iconic ของแบรนด์ที่เลือกได้อย่างสมศักดิ์ศรี เปิดตัวอย่างอลังการสนั่นโลก Social Media ไปหมาด ๆ ในงาน Dior Men’s pre-fall 2020 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ Dior เปิดตัว Men collection ใน Miami โดยมี Influencer
แม้ประโยชน์ใช้สอยหลักของนาฬิกาคือการบอกเวลา แต่ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนาฬิกาต่างพิถีพิถันเรื่องรูปลักษณ์และงานดีไซน์ของเครื่องบอกเวลาชนิดนี้ ไม่น้อยไปกว่ากลไก ความทนทาน หรือความแม่นยำเที่ยงตรงเลย Nendo Design Studio บริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลกจากญี่ปุ่นได้ออกแบบนาฬิกาทำมือทรงลูกบาศก์สุดเท่ ที่สามารถบอกเวลาและเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ แต่จะเปิดเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันเพียง 2 ครั้งต่อวันเท่านั้น นาฬิกาลูกบาศก์ หรือ ‘Nendo Cubic Clock’ ดีไซน์รูปร่างมาให้ดูแข็งแกร่งทนทาน นำก้อนอลูมิเนียมที่ผ่านการขัดเงามาใช้เป็นวัสดุหลักของโครงสร้าง ตั้งลูกบาศก์ในแนวเอียงและสร้างสมดุลด้วยการตัดมุมแหลมออกไป ทำให้สามารถตั้งวางบนแนวราบได้ นาฬิกาเรือนนี้ออกแบบมาเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีของร้านนาฬิกาหรู The Hour Glass และมีจุดมุ่งหมายเพื่อทลายเส้นแบ่งระหว่างศิลปะการออกแบบและนาฬิกาที่เป็นเครื่องบอกเวลา แทนที่จะเพิ่มชิ้นส่วนหรือใช้วัสดุอื่น ๆ สร้างเป็นเข็มนาฬิกาให้ดูโดดเด่นไปเลย แต่ทางสตูดิโอกลับผ่ามุมหนึ่งของลูกบาศก์ออกและแบ่งเป็นสองส่วน เพื่อสร้างเข็มชั่วโมงและเข็มนาทีจากวัสดุเดียวกันกับตัวเรือน เมื่อใดที่เข็มทั้งสองหมุนมาบรรจบกันที่เลข 12 และบอกเวลาเที่ยงวันหรือเที่ยงคืน นั่นจะเป็น 60 วินาทีที่นาฬิกาเรือนนี้เผยรูปร่างที่แท้จริงให้เห็น เป็นทรงลูกบาศก์ที่เต็มสมบูรณ์และไม่มีมุมใดถูกตัดไปนอกจากตัวฐานนาฬิกา Nendo Design Studio และ The Hour Glass มองว่าสุนทรียภาพของวัตถุบอกเวลา ควรเกิดจากคุณภาพ ประโยชน์ใช้สอย และรูปแบบงานดีไซน์ที่ผนวกเข้าด้วยกัน และนาฬิกาเรือนนี้ก็ถือเป็นความแปลกใหม่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งยังสะท้อนถึงอารมณ์ขันในการสร้างสรรค์ที่มาพร้อมกับความประณีตบรรจงในเวลาเดียวกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่
หลังจากมอเตอร์ไซค์ดีไซน์สุดแปลกชื่อว่า ‘Kenzo’ ถูกเผยโฉมให้เห็นในงาน Bike Shed London เมื่อปี 2018 ในตอนนี้รถคันเก่งถูกดัดแปลงมาจาก Honda Gold Wing ปี 1977 โดยสำนักแต่งชื่อดังของอังกฤษอย่าง Death Machines ก็พร้อมออกจากอู่เข้าสู่อ้อมอกของเหล่านักซิ่งผู้ชื่นชอบเรื่องราวของซามูไรเป็นที่เรียบร้อย UNLOCKMEN ได้ตามหารายละเอียดของ Honda Gold Wing ที่ถูกปรับแต่งใหม่จนแทบจำไม่ได้นามว่า Kenzo และทราบว่าเป็นชื่อที่ได้มาจาก Tada Kenzo นักแข่งชาวเอเชียคนแรกที่เข้าร่วมการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบซึ่งถูกเรียกว่าเป็นสนามสุดอันตรายอย่าง Isle of Man TT ที่จัดขึ้นครั้งแรกในปี 1907 แต่ก่อนเขาจะกลายเป็นนักแข่งรถจักรยานยนต์ Kenzo เริ่มมาจากนักแข่งจักรยานและเริ่มจับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ปี 1921 เมื่อการเติบโตของโลกอุตสาหกรรมพุ่งทะยานไปข้างหน้า รถมอเตอร์ไซค์และการแข่งขันความเร็วได้รับความนิยมเป็นวงกว้างมากขึ้นในประเทศญี่ปุ่น Tada Kenzo ได้รู้จัก Isle of Man TT เป็นครั้งแรกผ่านนิตยสารมอเตอร์ไซค์ของอังกฤษ ทำให้เขาเกิดความสนใจอย่างมาก ในที่สุดปี 1930 นาย Kenzo ตัดสินใจเดินทางไปยังทวีปยุโรป
ถ้าพูดถึงศิลปะของญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลก ใคร ๆ ต่างก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภาพพิมพ์แกะไม้ชื่อว่า Ukio-e (อูกิโยะ) เป็นศิลปะญี่ปุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ศิลปะสไตล์นี้ถูกหยิบมาเกี่ยวข้องกับแฟชั่นอยู่บ่อยครั้ง ความหมายแท้จริงของ Ukio-e ถูกตีความได้หลากหลาย บ้างก็แปลว่า ‘โลกที่มีแต่ความทุกข์’ หรือถ้าแปลตามความหมายของภาษาจีนคือ ‘โลกที่ไม่เที่ยง’ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เข้าต่างเข้าใจตรงกันคือมันเป็นศิลปะที่โด่งสุดขีดในยุคสมัยเอโดะ บอกเล่าทุกสิ่งเกี่ยวกับญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ความเชื่อ วิถีชีวิต ครอบครัว ตำนานปีศาจ โสเภณี เซ็กซ์ ซามูไร ไปจนถึงเรื่องราวในราชสำนักและศาสนา ถูกเล่าผ่านลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ร่วมกับสีสันสุดโดดเด่น แถมยังมีราคาขายเริ่มต้นที่ชนชั้นกลางสามารถจับต้องได้ ทำให้ทุก ๆ คนสามารถเข้าถึงศิลปะได้อย่างแท้จริง Ukio-e จึงเปรียบเสมือนวัฒนธรรมป๊อปแห่งยุคเอโดะเลยก็ว่าได้ สำหรับปี 2019 ญี่ปุ่นได้นำศิลปะที่กลายเป็นวัฒนธรรมกระแสหลักในยุคเอโดะมาปรับให้เข้ากับแฟชั่น โดยถ่ายทอดนักรบซามูไรหนุ่มบนแผ่นไม้สไตล์ Nikuhitsu-ga ซึ่งเป็นศิลปะที่แยกย่อยออกมาจาก Ukio-e อีกที นำเรื่องราวและสีสันอันน่าทึ่งมาอยู่บนสนีกเกอร์รุ่น RS-X³ ของแบรนด์ Puma เมื่อ Ukio-e ขึ้นชื่อว่าเป็นศิลปะอันโด่งดังของญี่ปุ่น จะให้หยิบภาพพิมพ์แกะไม้มาสักชิ้นแล้วเอาสีมาเพ้นต์ลงบนรองเท้าให้เสร็จไปก็คงจะไม่ใช่ญี่ปุ่น โปรเจกต์การทำสนีกเกอร์รุ่น RS-X³ ให้เต็มไปด้วยเรื่องราวของวันวานจากเอโดะจึงเริ่มต้นขึ้นจากการร่วมมือกันของหลายกลุ่มทั้ง Atmos ร้านรองเท้าจากโตเกียว Puma แบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องกีฬาจากเยอรมนี
Adidas ประการเปิดตัว UltraBOOST 20 ซึ่งเป็นรองเท้ารุ่นพัฒนาล่าสุดของโมเดล UltraBOOST ที่มาพร้อมระบบการตัดเย็บและเทคโนโลยีที่สร้างมาเพื่อรองรับการเดินและวิ่งให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ค่ายสามขีดส่งท้ายปลายปีด้วยการเปิดตัวรองเท้าวิ่งเรือธงคู่ใหม่ของค่ายในชื่อ UltraBOOST 20 เพื่อเฉลิมฉลองการเป็นพาร์ตเนอร์กับสถานีอวกาศนานาชาติ และ US National Lab ซึ่งเปิดให้ Adidas ได้ทดลองเทคโนโลยีต่าง ๆ เกี่ยวกับรองเท้าบนอวกาศ โดยออกแบบมาให้งานดีไซน์มีกลิ่นอายของยานอวกาศด้วยการไล่ระดับสีตรงส่วน Midsole UltraBOOST 20 คือรองเท้าวิ่งพัฒนาล่าสุดมาพร้อมเทคโนโลยีจำนวนมาก เริ่มตั้งแต่ส่วนอัปเปอร์ทั้งหมดที่ใช้วัสดุ Primeknit ตัดเย็บด้วยเทคโนโลยี Tailored Fiber Placement (TFP) ที่ถักทออัปเปอร์แม่นยำระดับมิลลิเมตร เพื่อให้มั่นใจว่ากระชับกับเท้าของผู้สวมใส่ทุกคน Midsole ยังคงใช้ BOOST แบบเต็มแผ่นให้ความนุ่มสบายเวลาสวมใส่ พื้นรองเท้าส่วนกลางมีสปริง Torsion และยาง Continental ที่ทนทาน ส่วนท้ายมี Heel Frame 3D ที่ช่วยเพิ่มความกระชับของส้นเท้ามากขึ้น UltraBOOST 20 มีลิ้นรองเท้าดีไซน์ใหม่เป็นโลโก้ของสถานีอวกาศนานาชาติ โดยในแคปซูลนี้จะประกอบไปด้วยรองเท้าทั้งหมด 6 สี และมี
Supreme และ Nike ถือเป็นขาประจำที่ร่วมกันปล่อยคอลเลกชันเสื้อผ้าชุดใหม่ส่งท้ายปี โดย Fall 2019 collection ปีนี้ทั้งสองก็กลับมาพร้อมคอลเลกชันสตรีตไอเทมจำนวนมาก Supreme แบรนด์สตรีตจากนิวยอร์กจับมือกับค่ายกีฬายักษ์ใหญ่อย่าง Nike เปิดตัวคอลแลปส์คอลเลกชันประจำฤดูใบไม้ร่วง โดยในคอลเลกชันประกอบไปด้วย เสื้อฮู้ดและกางเกงวอร์มจากหนังพรีเมียมที่ส่วนลำตัวตัดจากหนังแท้และฮู้ดที่ทำจากหนังวัว รวมถึงเสื้อเบสบอลหนัง เสื้อฮู้ดผ้าคอตตอนและกระเป๋าเดินทางจากหนัง ทั้งหมดมี 3 โทนสี คือ สีแดง สีดำและสีขาว นอกจากเสื้อผ้าแล้วในคอลเลกชันยังประกอบไปด้วยเครื่องประดับ ไม่ว่าจะเป็นแว่นตากันแดด ผ้าเช็ดหน้า และแหวนทองคำ 14K ทั้งหมดตกแต่งด้วยโลโก้จากทั้งสองแบรนด์ ซึ่งต้องถูกใจหนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบแฟชั่นสไตล์ Big Logo อย่างแน่นอน คอลเลกชัน Supreme x Nike Fall 2019 จะเริ่มวางขายในร้าน Supreme และทางเว็บไซต์ออนไลน์ในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ ส่วนโซนเอเชียจะเริ่มวางขายในประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 30 พฤศจิกายน หนุ่ม ๆ ที่มองหาสตรีตไอเทมที่มีความหรูหราจากเครื่องหนัง ไม่ควรพลาด! SOURCE :1
ถ้ามีคนเอาเสื้อเอวลอยมาให้ คุณจะใส่ไหม ? UNLOCKMEN คิดว่าผู้ชายเกือบทั้งหมดที่โดนถามด้วยคำถามนี้ต้องตอบปฏิเสธอย่างแน่นอน เพราะเสื้อเอวลอยหรือที่เรียกกันว่า Crop Top ถูกมองว่าเป็นแฟชั่นสำหรับผู้หญิงเอวบางเท่านั้น หรือใส่ได้แค่เวลาไปยิมหรือไปปาร์ตี้ริมสระ แต่เรื่องราวของเสื้อครอปมีอะไรมากกว่านั้น ย้อนรอยสุภาพบุรุษกับเสื้อเอวลอย เสื้อครอปหรือเสื้อเอวลอยถือเป็นแฟชั่นที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน แม้ทางทวีปยุโรปจะหันมาเริ่มใส่เสื้อครอปช้ากว่าทางฝั่งอินเดียหรือทางฝั่งตะวันออกที่มีชุดส่าหรีแบบดั้งเดิมอวดเอวกันมาตั้งนานแล้ว จนมาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1940 เมื่อชาวตะวันตกซึ่งนิยมสวมใส่เสื้อผ้าหลายชิ้นปกปิดร่างกายเริ่มไม่มีวัตถุดิบมาทำเสื้อผ้า เพราะไม่ว่าอะไรในยุคสงครามก็มีราคาแพงทั้งนั้น ดีไซเนอร์ช่วงนั้นจึงมีข้ออ้างเล็ก ๆ ใช้แหวกขนบธรรมเนียมเดิมตัดเสื้อผ้าอวดผิวกายและมัดกล้ามกันบ้าง และเสื้อครอปก็เดินทางมาถึงช่วงพีคในยุคสมัยแห่งความวินเทจอย่างช่วงปี 70-80 ซึ่งถูกเรียกว่ายุคทองของฮิปปี้สู่รอยต่อของวัฒนธรรมป๊อป เพื่อสำรวจว่าเสื้อเอวลอยมันเป็นแฟชั่นสำหรับผู้หญิงเท่านั้นจริงหรือไม่ จากหลักฐานข้อมูลที่เราพบยืนยันว่าเหล่าวัยรุ่นขาฮิปทั้งชายหญิงต่างก็มีเสื้อครอปเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น ว่ากันว่าจุดเริ่มต้นของการใส่เสื้อ Crop Top ของผู้ชายยุคบุปผาชนปี 1970 ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นมาจากนักแสดงชายชื่อดังหรือแฟชั่นไอคอนคนไหนเลย แต่มีจุดเริ่มต้นมาจากนักกีฬายกน้ำหนักคนหนึ่งที่หงุดหงิดเวลาสวมใส่เสื้อผ้าพอดีตัวแล้วยกเวทไม่สะดวก บางครั้งก็ติดแขน บางทีชายเสื้อก็สีกับผิวช่วงหน้าท้อง เพื่อตัดปัญหารำคาญใจนี้เขาจึงเอาเสื้อไปตัดให้สั้นขึ้น แต่กลายเป็นว่าความรำคาญของเขากลับได้รับความนิยมในวงกว้างเสียอย่างนั้น ส่วนทางฝั่งผู้หญิงก็สวมใส่เสื้อเอวลอยด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อไอคอนแห่งวัฒนธรรมอย่าง Cher ก็สวมใส่เสื้อครอป สาว ๆ จึงก็หาเสื้อสั้นเต่อมาใส่เลียนแบบคนดังที่ตัวเองชื่นชอบ ถัดมาจากยุค 70 กระแสแฟชั่นเริ่มเปลี่ยนเมื่อโลกเข้าสู่ช่วง 1980 แฟชั่นสไตล์แอโรบิกเริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับเหล่าวัยรุ่น ตีคู่มากับเสื้อสั้น ๆ ที่ราชาและราชินีแห่งวงการเพลงป๊อปอย่าง Michael
คงมีผู้ชายน้อยคนที่เคยได้ยินชื่อประเทศไนเจอร์ หรือ สาธารณรัฐไนเจอร์ (Republic of Niger) ประเทศเล็ก ๆ ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกาที่ดูไม่โดดเด่นอะไรนัก แต่หากพูดถึงทะเลทราย Sahara ก็คงทำให้หนุ่ม ๆ ต้องร้อง “อ๋อ” เป็นเสียงเดียวกันแน่นอน ใช่ครับ พื้นที่กว่า 80% ของประเทศไนเจอร์ถูกปกคลุมด้วยทะเลทราย Sahara ที่เราคุ้นหูกันดี แต่น่าแปลกที่ใครหลายคนกลับไม่เคยรู้จักประเทศนี้มาก่อนเลย จนในที่สุดสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญก็เผยตัวขึ้นที่นี่ และทำให้ประเทศในดินแดนทะเลทรายแห่งนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในสายตาของชาวโลก Atelier Masomi สตูดิโอสถาปัตยกรรมที่เน้นใช้วัสดุท้องถิ่นในการก่อสร้าง ได้นำอิฐดินดิบมาสร้างสรรค์อาคารทั้ง 5 หลังใจกลางเมืองนีอาเม เมืองหลวงของไนเจอร์ เพื่อให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์วัฒนธรรมของประเทศ และเป็นแลนด์มาร์กแห่งสำคัญของเมืองที่จะเปลี่ยนชีวิตของชาวเมืองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ศูนย์วัฒนธรรมจะถูกสร้างขึ้นบริเวณกึ่งกลางเมือง อันเป็นจุดแบ่งระหว่างชาวฝรั่งเศสกับชาวแอฟริกันพื้นเมือง และ Atelier Masomi ก็หวังว่าสถาปัตยกรรมชิ้นนี้จะรวบรวมผู้คนจากสองฝั่งเมืองเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้ อาคารทั้ง 5 จัดสรรให้เป็นพื้นที่หอประชุมสำหรับการแสดง แกลเลอรี่ คาเฟ่ พื้นที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และห้องสมุด ซึ่งนับเป็นห้องสมุดแห่งแรกที่สร้างขึ้นในเมืองหลังจากที่ประเทศไนเจอร์ได้รับเอกราช วัสดุที่ห่อหุ้มตัวอาคารคืออิฐดินดิบ อันเป็นวัสดุท้องถิ่นของไนเจอร์และเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมในภูมิภาคนี้ เฉดสีและพื้นผิวของอิฐสะท้อนถึงความอบอุ่นและซ่อนกลิ่นอายทะเลทรายเอาไว้ แถมยังทำให้อาคารแห่งนี้ดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ราวกับมันเป็นโครงสร้างที่ผุดขึ้นจากพื้นอย่างไรอย่างนั้น การดีไซน์ภายนอกตอกเสาเข็มให้หอคอยครึ่งวงกลมทั้ง 4
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ‘Rocketman’ หนังชีวประวัติศิลปินชื่อก้องโลก เอลตัน จอห์น (Elton John) ก็เพิ่งจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ไปหมาด ๆ ถึงแม้กระแสในไทยจะไม่ได้หวือหวาเท่า Bohemian Rhapsody หนังชีวประวัติวง Queen แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำรายได้สูงถึง 100 ล้านเหรียญ (ยอดจากตาราง Box Office ทั่วโลก) จากทุนสร้างเพียง 40 ล้าน เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จไปอย่างงดงาม นอกจากตัวภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวเส้นทางชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตก่อนจะมาเป็นท่านเซอร์เอลตัน จอห์นผู้ประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญเลยที่ทำให้หนังเรื่องนี้ทรงคุณค่าและให้แง่คิดมากมายคือความกล้านำเสนอด้านมืดของศิลปินมากความสามารถท่านนี้ เรียกได้ว่าเผยหมดเปลือกทั้งปัญหายาเสพติด ติดเซ็กซ์ และเสพติดการชอปปิงของเขา อย่างที่ทราบกันว่าภายหลังท่านเซอร์เอลตันได้เข้ารับการบำบัดและไม่ข้องเกี่ยวกับยาเสพติดมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่ไอ้เรื่องเหล้ายาปลาปิ้งนี้จัดว่าเป็นของคู่กันกับบรรดาศิลปินชื่อดังยุค 70 เลยก็ว่าได้ ท่านเซอร์เอลตันจึงมักจะออกมาเล่าประสบการณ์แย่ ๆ สมัยที่แกเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเพราะยาเสพติดให้เด็กรุ่นหลังได้ฟังเป็นอุทาหรณ์เสมอและเรื่องที่เรากำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ก็เป็นหนึ่งในวีรกรรมของแกเช่นกัน (แต่อาจจะไม่ได้คอขาดบาดตายถึงขนาดนั้นนะครับ) เอลตัน จอห์นได้ออกมาเผยผ่านหนังสือ Me: Elton John อัตชีวประวัติอย่างเป็นทางการของตัวเขาเองว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นมหาบุรุษแห่งดนตรีโฟล์กอย่าง บ็อบ ดีแลน เป็นคนสวน! ซึ่งความพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้มียาเสพติดเป็นเหตุ และท่านเซอร์ก็ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เอาไว้ดังนี้ “ช่วงปลายยุค 80 ผมเคยจัดปาร์ตี้สุดเหวี่ยงใน LA ผมเชิญทุกคนที่รู้จักมาร่วมงาน
หนุ่มสายสตรีตที่หลงใหลโมเดลรองเท้าคลาสสิกทุกคนจะต้องชื่นชอบรองเท้าคู่ใหม่ที่ Converse และ PLEASURES ร่วมงานกันโดยรองเท้าคู่นี้เพิ่งปล่อยสู่ตลาดแบบสด ๆ ร้อน ๆ PLEASURES แบรนด์สตรีตที่กำลังมาแรงจากสหรัฐอเมริกา กลับมาร่วมงานกับแบรนด์รองเท้าอย่าง Converse อีกครั้ง การกลับมาครั้งนี้พวกเขาก็สลัดคอนเซปต์รองเท้าสีชมพูสดใสจากคราวก่อน สู่งานกราฟิกแบบพังก์ (Punk) ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางที่ Alex James หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ PLEASURES กำลังหลงใหลอยู่ การกลับมาร่วมงานกันคราวนี้ทั้งสองแบรนด์เลือกโมเดลรองเท้าบาสเกตบอลสุดเก๋าอย่าง Converse Pro Leather โดยส่วนอัปเปอร์เป็นหนังสีดำ หุ้มด้วยลวดลายกราฟิกสไตล์พังก์ร็อกที่อยู่รอบ ๆ โลโก้ Converse Chevron พร้อมกับ Heel Tap ที่มีลายกราฟิกเขียนว่า PLEASURES NOW ตัวรองเท้าโดดเด่นด้วยมิดโซลสีครีมขนาดใหญ่ เพราะออกแบบเป็นรุ่นพิเศษให้ 2 ชั้น โดยมิดโซลชั้นบนเป็นยางแบบที่มีใน Converse Chuck 70 ส่วนชั้นล่างเป็นยางที่มีสีเข้มและหนากว่า พร้อมป้ายสีแดงบริเวณฝ่าเท้า Converse Pro Leather ถือเป็นอีกโมเดลอมตะของแบรนด์จากยุค 80’s-90’s โดยการเปิดตัวครั้งแรก Dr.J หรือ Julius Irving อดีตนักบาสเกตบอลชื่อดังในช่วงเวลานั้นเป็นผู้สวมใส่
หลังจากที่มีข่าวลือใหญ่สะเทือนโลกของวงการแฟชั่นโดยเฉพาะกับกลุ่มสตรีตแวร์ว่า Adidas แบรนด์รองเท้าและเครื่องกีฬาที่ใคร ๆ ต้องรู้จักจะจับมือสร้างสรรค์ไอเทมใหม่ร่วมกับแบรนด์หรูสัญชาติอิตาลีอย่าง Prada ผู้คนต่างก็เฝ้ารอดูว่าไอเทมที่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน เพราะทั้งคู่เป็นแบรนด์ต่างขั้วที่ยังไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน แม้ข่าวการ Collaboration กันระหว่าง Prada x Adidas จะคอนเฟิร์มว่าเจอกันจริงแน่ ๆ แต่กว่ารูปเซตแรกจะถูกปล่อยมาให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอันก็กินเวลายาวนานพอสมควร ในที่สุดวันนี้เราก็ได้ฤกษ์เห็นกันจัง ๆ เสียทีว่าไอเทมที่เกิดจากการเจอกันของแบรนด์สตรีตแวร์กับแฟชั่นสุดหรูเมื่อรวมร่างกันแล้วจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ขาวสะอาดตาหมดจดกับคอลเลกชันพิเศษ Prada x Adidas โดยครั้งนี้ฝั่ง Adidas นำโมเดลรองเท้าผ้าใบสุดคลาสสิกที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ฮิตในรุ่น Superstar มาผลิตใหม่ ขึ้นรูปจากแผ่นหนังวัวคุณภาพสูง ประกอบเข้ากับพื้นรองเท้าที่ทำจากยาง ทุกส่วนของสนีกเกอร์จึงเป็นสีขาวล้วนทั้งหมดเหลือไว้เพียงโลโก้แสนคุ้นตาของ Adidas ร่วมกับ PRADA MILANO บริเวณลิ้นรองเท้าและส้นรองเท้าเท่านั้นที่เป็นสีดำ บริเวณนี้จึงโดดเด่นสะดุดตา เห็นแล้วรับรู้ได้ทันทีว่านี่คือคอลเลกชันพิเศษ นอกจากรองเท้าผ้าใบรุ่น Superstar จาก Adidas แล้ว ยังมีกระเป๋าทรง Bowling สีขาวจาก Prada รวมอยู่ในคอลเลกชันแสนพิเศษครั้งนี้ด้วย โดยสีขาวของพื้นกระเป๋าจะถูกตัดขอบอย่างละเมียดละไมด้วยสีดำพร้อมกับชื่อแบรนด์ Prada และ Adidas ที่ประทับเอาไว้อย่างโดดเด่น ไอเทมคอลเลกชันพิเศษสร้างสรรค์และผลิตขึ้นที่ฐานบ้านเกิดของ
เดินดูงาน Awakening Bangkok มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้เองก็ตามมาถ่ายรูป แต่เชื่อว่าคุณยังไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าของผลงานที่อยู่เบื้องหลังแสงไฟสวย ๆ เหล่านี้คือใคร…เราเองก็เช่นกัน ปีนี้ UNLOCKMEN จึงขอถือโอกาสเพิ่มความพิเศษ จากเดินดูงานเปิดไฟ ขอไปเปิดหน้าศิลปินเจ้าของผลงาน 3 ชิ้นที่เราสนใจและเพิ่งลงผลงานของพวกเขาไปเมื่อวานกันบ้าง พร้อมบทสัมภาษณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้คุณรู้จักเขาและผลงานเพิ่มขึ้น ใครชอบงานชิ้นไหน อย่าลืมจำชื่อของเขาไว้ บางทีระหว่างที่คุณดูงาน AWAKENING 2019 คืนนี้ อาจจะได้เจอกับพวกเขาก็ได้ หรือจบงานนี้ ไปเจอกันที่อื่น อยากจะเดินเข้าไปทักทายก็ทำได้เช่นกัน เพราะพวกเขาพูดคุยเป็นกันเองมาก DON BOY : Lhong 1919 presents D19B19 อย่างที่เราบอกไว้ก่อนหน้านี้ในการลง Gallery Post ว่าเราเลือกความสนใจจากทั้งงานและสถานที่ที่มีกลิ่นอายความเป็นจีน ดังนั้น สถานที่ขนาดใหญ่อย่างล้ง 1919 ที่เซตขึ้นเป็นโรงงิ้ว มาพร้อมแสง สี เสียง จัดเต็มจึงไม่รอดสายตาของเราไป และพวกเขา “DON BOY” คือเจ้าของผลงาน Lhong