จะไม่ให้ร้องว้าวก็คงไม่ได้ เมื่อของเล่นในวัยเด็กกับความฝันในวัยหนุ่มถูกมัดรวมกันไว้ในสิ่งเดียว ใครจะไปคิดว่าของเล่นตัวต่ออย่าง LEGO ที่เราเคยใช้จินตนาการสร้างให้ออกมาเป็นรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยยังแบเบาะ วันหนึ่งจะถูกสร้างมาในโมเดลรถ Hypercar อย่าง BUGATTI CHIRON แถมครั้งนี้ไม่ได้ทำมาตั้งโชว์ในตู้ไว้ดูต่างหน้าเฉย ๆ เพราะมันสามารถวิ่งได้จริงด้วย ทีมสร้าง 20 ชีวิต กับตัวต่อกว่า 1,000,000 ชิ้น สำหรับสร้างสรรค์ตัวรถ ตัวต่อมอเตอร์ไฟฟ้า 2,304 ชิ้นในส่วนของเครื่องยนต์ ชุดล้อ 4,032 ชิ้น และเพลาขับอีก 2,016 อัน พร้อมเวลาเบ็ดเสร็จ 13,400 ชั่วโมงที่ LEGO ใช้ไปกับการสร้างสรรค์ BUGATTI CHIRON ขนาดเท่าของจริงขึ้นมา ไม่เพียงแค่นั้น CHIRON คันนี้ต่างจากชุดตัวต่อ X WING FIGHTER ที่เคยตั้งตระหง่านอยู่กลางจัตุรัส Time Square ที่สร้างจาก LEGO 5.3 ล้านชิ้น ตรงที่มันไม่ได้แค่แข็งทื่ออยู่กับที่ แต่คราวนี้กลับเคลื่อนไหวได้จริง ๆ
ในช่วงวันฝนตกแถมรถยังติดคงเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดอยู่แล้วสำหรับผู้ชายแบบเรา แต่ถ้าดันซวยเกิดเครื่องยนต์ดับแบตหมดท่ามกลางสายฝนแล้วละก็คงเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีกที่ต้องตามช่างมาช่วยจั๊มแบตในสถานการณ์แบบนั้น แต่ปัญหานี้จะกลายเป็นเรื่องเล็กในทันทีถ้าคุณมีอุปกรณ์อย่าง NOCO : Genius Boost ติดรถเอาไว้ NOCO : Genius Boost เป็นแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแบบพกพามาพร้อมเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเฉพาะของ NOCO ที่ป้องกันการเกิดประกายไฟระหว่างใช้งานรวมถึงป้องกันกระแสไฟย้อนกลับขั้วและที่สำคัญคือป้องกันน้ำได้ ทำให้หมดกังวลแม้สภาพอากาศจะไม่เป็นใจเพราะถึงคุณเป็นผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยกับการจั๊มแบตเตอรี่รถยนต์ก็สามารถใช้งานได้สบาย ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย NOCO ยังออกแบบให้ Genius Boost มีถึง 5 รุ่นซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีความเหมาะสมกับขนาดของแบตเตอรี่และเครื่องยนต์ของรถรุ่นนั้น ๆ อีกด้วยโดยไล่ตั้งแต่เครื่องยนต์ขนาด 4.0 ลิตรไปจนถึง 10 ลิตรเลยทีเดียว นอกจากนั้นทุกรุ่นยังมีฟังก์ชันการใช้งานเสริมไม่ว่าจะเป็นไฟฉายในกรณีรถเสียเวลากลางคืน หรือการทำหน้าที่เป็น Power Bank สำหรับชาร์จ Smartphones , กล้อง GoPro หรือหูฟัง Wireless ก็ไม่มีปัญหา เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สามารถทำงานเล็กก็ได้งานใหญ่ก็ดี ครบเครื่องในหนึ่งเดียว ต้องบอกว่าหมดยุคพกสายจั๊มแบตแล้ว ต่อไปแม้เราจะพบเจอปัญหาแบตเตอรี่หมดไม่ว่าที่ไหนสถานการณ์ใด ก็สามารถเอาตัวรอดผ่านไปง่าย ๆ ด้วย NOCO : Genius Boost หมดปัญหาต้องรอขอความช่วยเหลือที่แสนยากเย็นเหมือนที่เคยผ่านมาเสียที
ทุกวันนี้การถ่ายภาพกลายเป็นหนึ่งในกิจวัตรพื้นฐานที่ผู้ชายอย่างเราต้องทำทุกวัน ถ้าไม่ถ่ายเพื่อใช้งานเองส่วนตัว ก็ต้องถือถ่ายให้คนอื่น ดังนั้นสมาร์ตโฟนจึงเป็นอุปกรณ์สำคัญที่เราต้องใช้ถ่ายภาพอยู่เสมอ แต่บางครั้งสมาร์ตโฟนที่เราเลือกมาก็ไม่ได้ออกแบบมาให้มีคุณสมบัติถ่ายรูปได้เฉียบเท่ากับรุ่นใหม่ ๆ ที่สร้างฟังก์ชันมาเพื่อการถ่ายรูปโดยเฉพาะ ล่าสุดจึงมีคนรู้ใจออกแบบเคสโทรศัพท์มาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ เราจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ทั้งที่เครื่องเก่าก็ยังใช้งานได้ดีเพราะติดปัญหาเรื่องกล้อง Pictar คือเคสอุปกรณ์เสริมที่สามารถเปลี่ยนโทรศัพท์เครื่องเดิมที่ถ่ายรูปแสนห่วย noise กระจายของเราให้กลายเป็น DSLR ตัวย่อมได้ทันทีที่ใช้ เพื่อให้เราสามารถถ่ายภาพทั่วไปหรือเซลฟี่ได้ดียิ่งขึ้นเพียงแค่สวมทับ ไม่เพียงแค่คุณภาพและฟังก์ชันที่ติดมากับอุปกรณ์ แต่สัมผัสการใช้งานเองก็ยังเลียนแบบออกมาเสียเหมือน เพราะมีกริ๊ฟสำหรับจับกันลื่น ช่วยกันกระแทกเวลาเครื่องหล่นได้ แถมปุ่มด้านบนให้หมุนปรับเลือกฟังก์ชันการถ่ายภาพได้แบบเดียวกับการใช้ DSLR ตั้งค่าได้หมดเนื่องจากมีโหมดไว้ปรับทั้งแสง การซูม หรือค่า ISO ตามต้องการ นอกจากนี้ วิธีเชื่อมอุปกรณ์เพื่อใช้งานยังเป็นการทำงานผ่านคลื่นเสียงความถี่สูงที่เกิดจากการกดปุ่ม โดยแต่ละปุ่มจะให้เสียงต่างกันและซิงค์กับโหมดการใช้งาน จึงทำให้ไม่ดึงพลังงานแบตเตอรี่จากสมาร์ตโฟนของเราระหว่างการใช้งานด้วย เลยเป็นข้อดีที่พวกเราสามารถใช้งานได้แบบไม่ต้องกลัวว่าจะถ่ายภาพสะดุดเพราะแบตฯ หมด สำหรับสายเดินทางที่อยากตั้งกล้องถ่ายแลนสเคปสวย ๆ เพราะกลัวมือสั่น หรือเก็บภาพกลางคืน ทาง Pictar ก็ยังออกแบบทั้งขาตั้งกล้อง แฟลชแยก และไมโครโฟน (กรณีที่เราอยากถ่ายวิดีโอ) มาขายเป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อใช้คู่กัน เรียกได้ว่าเลียนแบบ DSLR จริงมาทุกกระเบียดนิ้ว ใครอยากจะเสริมตัวไหนก็เลือกไปใช้คู่กันได้เลย ส่วนใครที่อยากเปรียบเทียบว่าการใช้งานของมันจะดีสมราคาจริงหรือเปล่า ลองดูวิธีใช้งานได้จากจริงด้วยคลิปด้านล่างนี้จะเห็นภาพชัดกว่า ท้ายนี้ ถ้าใครอยากได้ไว้ในครอบครองแนะนำว่าต้องรีบซื้อในเว็บไซต์ของ The Mashable shop
การถ่ายรูปจะออกมาดีหรือไม่ดี จริงอยู่ว่าขึ้นอยู่กับคนถ่ายเป็นหลัก แต่กล้องที่ดีก็มีส่วนช่วยได้มากไม่แพ้กัน นี่เป็นเหตุผลที่หลายคนยอมจ่ายเงินหลายแสนบาทให้กับกล้อง Leica และโมเดลล่าสุดในตระกูล M Camera อย่าง Leica M10 ก็ได้กระแสตอบรับดีไม่น้อย ซึ่งถ้าเทียบประสิทธิภาพของ Full-frame Sensor ในบอดี้ขนาด Compact คงยากจะหาใครมาเอาชนะได้ อย่างน้อยก็ในด้านความคมและคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน เป็นธรรมเนียมที่ Leica จะปล่อยเวอร์ชั่นอัพเกรดตามออกมาภายในระยะเวลา 1 ปี และวันนี้ก็ถึงเวลาของ Leica M10-P ราคา $7,995 แพงขึ้นจากเดิม $700 ที่แม้จะมีการพัฒนาจาก M10 ปัจจุบันไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ยังไม่ได้จ่ายเงินสองแสนกว่าบาทให้กับ M10 ที่เหลือก็อยู่ที่ความแตกต่างว่าสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา เป็นสิ่งที่คุณยินดีจะจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน M10-P นั้น ยอมรับเลยว่ามีไม่มาก เรียกว่าคนใช้ M10 โล่งอกไปตาม ๆ กัน ภายนอกสังเกตความแตกต่างได้จากการย้าย Leica Red Dot ออกไป มีการสลักโลโก้ Leica ไว้บน
ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังแย่งพื้นที่ของการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมไป เรากลับชอบแนวคิดของ Tesla ที่ไม่ได้ต้องการผลิตรถยนต์มหัศจรรย์จนเปลี่ยนวิธีใช้งานในชีวิตประจำวันของพวกเรา สิ่งที่ Elon Musk ทำเป็นเพียงการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ซึ่ง Clay Alexander CEO ของ Ember บริษัทเจ้าของแก้วกาแฟอัจฉริยะก็ชื่นชอบเช่นกัน และใช้แนวคิดเดียวกันในการพัฒนาแก้วและมักกาแฟที่สามารถคงอุณหภูมิกาแฟได้ตลอด คนรักกาแฟย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่ากาแฟที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ ๆ มักจะมีร้อนเกินไป ทำให้รสชาติไม่ดี และระหว่างที่เรานั่งรอให้กาแฟเย็นด้วยธุระจุกจิก เรากลับพบว่ากาแฟมันได้เย็นเกินไปซะแล้ว ซึ่งไม่น่ารื่นรมย์นักถึงขนาดต้องเททิ้ง และการดื่มกาแฟ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิศดารอะไรมากมายนัก นอกจากแก้วและมักที่การใช้งานเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือระบบการคุมอุณหภูมิของ Ember ที่ยากจะลอกเลียนแบบ ถามนักกาแฟว่าอุณหภูมิที่ดีที่สุดในการดื่มคือเท่าไหร่ เกือบทุกคนจะต้องตอบว่า 50°C – 62.5°C ซึ่งเป็นอุณหภูมิ Default ที่ Ember Ceremic Mug ตั้งเอาไว้ให้ หรือจะเลือกปรับอุณหภูมิตามที่ต้องการในกรณีที่บางเมล็ดกาแฟต้องการร้อนกว่าหรือเย็นกว่าก็สามารถทำได้ และจะคงอยู่เท่านั้นตลอดไปจนกว่าแบตเตอรี่จะหมด เราจึงมั่นใจได้ว่าเมล็ดกาแฟราคาแพงที่หอบหิ้วมาจากต่างแดนจะไม่ถูกทิ้งอย่างเสียเปล่าอีกต่อไป ดูจากภายนอกแบบไม่สังเกตอาจจะไม่รู้ว่าแก้วกาแฟ Ember มีอะไรพิเศษต่างจากแก้วทั่วไปนอกจากดวงไฟ LED ด้านล่าง ซึ่งกว่าจะคิดค้นเทคโนโลยีและออกแบบให้ดูเหมือนแก้วกาแฟแบบนี้ได้นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย โดย Ember Ceremic Mug
เวลาคือสิ่งที่เดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งแม้แต่วินาทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นวินาทีที่เรากำลังอ่านข้อความนี้อยู่ก็ตาม เราถือว่ามันเป็นอีกสิ่งที่มีค่าจนเราต้องใช้ชีวิตบนกลไกของมัน ทุกเช้าที่ต้องวิ่งขึ้นรถให้เข้างานได้ทันเวลา ทุกวันที่ต้องเร่งสปีดตัวเองให้ทำงานได้ทันเวลา ทุกวันที่ต้องรีบกลับให้ไว เพื่อจะได้มีเวลาพักผ่อนที่มากขึ้นอีกสักสิบนาทีหรือครึ่งชั่วโมงก็ยังดี ความสงสัยใคร่รู้ที่ดูจะยุกยิกอยู่ในตัวมนุษย์เรามาแสนนาน ทำให้เรามีเครื่องจับเวลา เพราะอยากเก็บสถิติที่แม่นยำมากกว่าการนับในใจ เราคงคุ้นเคยกับเครื่องจับเวลาทั้งในโทรศัพท์ วงการกีฬา หรือแม้แต่การทำอาหาร ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของการใช้งาน แต่สำหรับการนั่งทำงานออฟฟิศแม้จะดูเหมือนไม่ต้องแข่งกับเวลา แต่ถ้าหากเราอยากจะ Improve ตัวเองล่ะ UNLOCKMEN ขอแนะนำของเล่นเจ๋ง ๆ อย่าง Tiller ที่จะมาช่วยเก็บสถิติแบบมีฟังก์ชั่นที่ช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเยอะ Keep Time To Tracking ในแต่ละวันที่ทำงาน ลองมาจับเวลากันหน่อยมั้ยว่าใช้เวลาไปกับมันเท่าไหร่สำหรับงานแต่ละชิ้น วันนี้อาจจะช้ากว่าเมื่อวาน หรือพรุ่งนี้อาจจะไวกว่าวันนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ลองเก็บสถิติแล้วนำมันไปพัฒนาตัวเองหรือใช้ประโยชน์จากมันก็ยังได้ Tiller มันคือ Time Tracker นั่นแหละ แต่ความเจ๋งคือ เราสามารถ Customize ได้ตามเราต้องการ เก็บสถิติของรายการนี้ในแต่ละวัน มีกราฟเปรียบเทียบให้ดู การใช้งานก็แสนง่าย จะ Split แต่ละครั้งก็เคาะมันเบา ๆ เหมือนเวลาเราเคาะแป้นคีย์บอร์ดนั่นแหละ โดยผู้ออกแบบแนะนำให้วางใกล้ ๆ เมาส์ และเคาะมันทุกครั้งที่งานเสร็จ
เคยสังเกตไหมว่า เวลาเรานั่ง ๆ อยู่ สักพักหลังที่เคยผึ่งผายจะค่อย ๆ ห่อเข้า เหมือนลูกโป่งลมรั่ว จากที่เคยตึงก็ฟืบลง ตามติดมาด้วยอาการคอตกมันเริ่มเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ยิ่งกับพวกเราที่มีส่วนสูงมาก ไอ้อาการเดินคอตกหลังค่อมยิ่งเป็นพฤติกรรมติดตัวเพราะเวลาคุยกับคนรอบข้างทีไรเราก็ต้องก้มลงมองทุกที กว่าจะรู้ตัวอีกที การทำแบบนี้ซ้ำ ๆ ก็ทำให้เราติดเป็นนิสัย เดินหลังค่อมโดยไม่รู้ตัว และแม้กระทั่งเวลานั่งก็อาจจะติดนั่งหลังค่อมให้ปวดหลังไปด้วย ยิ่งถ้าทำติดต่อกันเป็นระยะยาวอาจจะมีผลให้กระดูกคดได้ ผู้เขียนเองเจอปัญหานี้บ่อย ๆ เพราะต้องนั่งทำงานติดโต๊ะ ถึงจะหาพนักเสริมพิงช่วยแก้ให้นั่งได้ถูกสรีระขึ้น แต่ก็ยังแก้ได้แค่ชั่วคราว พอลุกเดินก็ติดอาการหลังค่อมมาทำให้เสียบุคลิกภาพ Upright เป็นอุปกรณ์ใหม่ ขนาดเล็กกว่าฝ่ามือที่ใช้แก้ปัญหานี้ได้ นักประดิษฐ์เขาคิดค้นขึ้นเพื่อแก้ปัญหาจากอาการเจ็บ โดยใช้งานง่าย แค่ติดเครื่องนี้ไว้ตรงกลางแผ่นหลัง ทุกครั้งที่เราเริ่มหลังค่อมลง เครื่องจะเริ่มสั่นเตือนให้เรารีบปรับท่านั่งทันที ที่สำคัญเครื่องนี้ยังสามารถเชื่อมเข้ากับแอปพลิเคชัน UPRIGHT GO ที่สามารถใช้ได้ทั้งระบบ andriod และ iOS เพื่อแสดงผล แถมจังต่อยอดได้ด้วยการเทรนนิ่งที่จัดตารางไว้ให้เราได้ฝึกตามในแอปฯ อีกด้วย ประโยชน์ของ Upright Posture ช่วยให้ไหล่เบา ไม่รู้สึกเหมือนใครมาขี่คอ – เครื่องนี้ช่วยลดอาการตึงของไหล่จากท่ายืนท่านั่งที่ผิดปกติ ลดความเครียดและนำความสงบมาให้ชีวิต – การขยับท่าทางให้ถูกต้องจะช่วยลดความเหนื่อยล้าที่สร้างความเครียดได้ รู้สึกเยี่ยมในท่าสุดเพอร์เฟ็กต์ – แค่การนั่งและยืนในท่าที่ถูกต้องจะทำให้เราดูดีขึ้นทันตา
24 ชั่วโมงจากนี้ ทำให้ดี ทำให้ไว ถ้าทำได้ Tasks ทั้งหมดจะได้รับการเคลียร์ไปเลย มีคนเคยบอกว่า ไม่ว่าเราจะมีแผนการบริหารจัดการที่ดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่ระบุเวลาของแผนงานลงไปใน Action Plan สิ่งที่ตั้งความหวังไว้อาจเป็นแค่ลมปาก แต่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง จนเราแอบคิดในใจว่าด้วยเหตุผลนี้เอง เวลากับประสิทธิภาพงานเลยถูกพูดถึงคู่กันมาแบบปาท่องโก๋ และอาจกลายเป็นที่มาของการทำ “To do list” ไว้ใช้งาน แต่ถ้าไม่อยากให้งานพลาด การวางแผนซอยย่อย ระบุเวลาสำหรับทำกิจกรรมนั้นไว้อย่างชัดเจน แปะไว้ในมุมที่สามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา จะยิ่งทำให้เห็นผลได้มากขึ้น Li Ke, Pang Sheng Li และ Chen Yi Lin สามดีไซเนอร์ที่หลงรักความโปรดักทีฟเข้าไส้ เลยออกแบบ gadget สุดมินิมอลที่จะทำให้เราได้ทำงานแข่งกับเวลาของจริง โดยเราสามารถเขียนระบุ Tasks ที่ต้องการทำบนนาฬิกาในช่องว่างทุกชั่วโมงบนเจ้า Delete Clock ได้ เนื่องจากพื้นผิวหน้าปัดทำขึ้นจากไวท์บอร์ด แต่ถ้าแค่เขียนได้มันก็ธรรมดาไป พวกเขาเลยออกแบบให้มันส์กว่าด้วยการทำตัวเข็มยาวของนาฬิกาให้ใช้งานได้ 2 ฟังก์ชั่น คือเป็นได้ทั้งที่เก็บปากกาไวท์บอร์ดสำหรับเขียนได้โดยไม่ต้องกลัวหาย และด้านล่างของเข็มยาวทำเป็นแปรงลบน้ำหมึกไว้ เรียกได้ว่าทุกวินาทีที่ผ่านไปเราจะต้องเร่งทำสิ่งที่ตั้งใจไว้แข่งกับเข็มนี้ที่คอยไล่ลบ Task ของเราทิ้ง
หลายครั้งที่สถานการณ์ไม่เป็นใจให้เราหาที่นั่ง หย่อนก้นลงพักให้หายเมื่อยล้า จะนั่งลงไปกับพื้นก็เกรงใจกางเกงตัวเก่ง แถมยังไม่มั่นใจในความสะอาดอีกด้วย อย่างมากคงทำได้แค่หากระดาษปูให้ได้นั่งชั่วคราว แต่ถ้าพื้นที่ยังไม่เอื้ออำนวยอีกล่ะ UNLOCKMEN อยากให้คนที่เจอปัญหานี้มาทำความรู้จักกับ “The Sitpack” ที่พร้อมจะเปลี่ยนตัวเองเป็นเก้าอี้ให้เราได้หย่อนกายได้ทุกที่ The Sitpack ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พื้นที่จำกัด ความสะอาด สภาพพื้นที่ ที่ไม่เอื้ออำนวยให้เรานั่งลงกับพื้นได้ตรง ๆ หรือเพราะความรักสะอาดของเราเองก็ตาม ดูจะเป็นปัญหาที่ใครหลายคนเคยเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น รอแฟนช็อปปิ้ง เดินทางไกลแต่ไม่อยากพกเก้าอี้สนามเทอะทะ หรือเหตุผลง่าย ๆ อย่างไปไหนแล้วไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง แต่ขาคุณเมื่อยล้าซะเต็มทีแล้ว เราคงจะเริ่มมองหาอะไรที่ทดแทนกันได้ อย่างการยืนพิงผนัง นั่งบนวัตถุอื่น ๆ ที่แข็งแรงมากพอ แต่ถ้าหากเรามี “The Sitpack” เลิกกังวลกับเรื่องพวกนี้ไปได้เลย น้ำหนักเบา พกพาง่าย ไม่เทอะทะเหมือนเก้าอี้พับ เก้าอี้สนาม ที่ดูเป็นเก้าอี้จ๋าเสียเหลือเกิน มันคงตลกดีที่ไปไหนแล้วจะต้องพกเฟอร์นิเจอร์ไปกับตัวเองตลอดเวลา ลองเป็นอะไรที่พกพาง่าย ชนิดที่พับ ๆ แล้วสะพายขึ้นไหล่ในไซซ์ใกล้เคียงกับร่มพกพาเลยล่ะ ดีไซน์ออกมาเท่ ๆ ไม่เหมือนเก้าอี้เลยด้วยซ้ำอย่าง The Sitpack กันดีกว่า มาในรูปทรงตัววายในส่วนที่นั่ง และส่วนที่รับน้ำหนักเป็นทรง Cylindrical ตัวบอดี้ทำมาจาก
ฝนตก รถติด รถไฟฟ้าเสีย และอีกสารพัดปัญหาของคนเมืองที่ทำให้ปวดหัวได้อยู่ทุกวี่ทุกวันจนบางทีก็อย่างหนีเข้าป่าไปให้พ้น ๆ แต่เมื่อมาคิดดูดี ๆ แล้วก็เป็นตัวเราเองนั่นแหละที่เสพติดความสะดวกสบาย จะ Into the Wild แบบในภาพยนตร์ก็คงไปได้ไม่กี่น้ำเดี๋ยวก็คงซมซานกลับเข้าสังคมเมือง ดังนั้นมันจะดีแค่ไหนถ้าเราได้ทั้งความสะดวกสบายไปพร้อม ๆ กับการใช้ชีวิตสงบ ๆ ท่ามกลางธรรมชาติ ด้วยแนวคิดแบบนี้จึงเกิดสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถตอบโจทย์ขึ้นมา ‘Mono Cabin’ คือชื่อของเจ้ากระท่อมในฝันหลังนี้ มันถูกออกแบบให้เป็นเหมือนที่พักพิงที่ครบครันทั้งความสะดวกสบายและความทันสมัย ทุกรายละเอียดมีประโยชน์ต่อการใช้สอยในพื้นที่ 106 ตารางฟุต ภายใต้คอนเซ็ป “Plug and Play” ที่มีทั้งความสนุกสนานและการพักผ่อน ความเรียบง่ายที่สร้างอารมณ์สุนทรีคือปรัชญาในการรังสรรค์ Mono Cabin ออกมา โดยด้านนอกจะมีเหล็กเป็นส่วนประกอบหลักเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ตัวกระท่อม ส่วนภายในจะตกแต่งด้วยไม้ เพดานถูกออกแบบเป็นทรงโค้งให้ความรู้สึกอิสระ นอกจากนั้นบรรดาอุปกรณ์ภายในตัวกระท่อมสามารถเคลื่อนย้ายได้ทำให้คุณสามารถจัดวางและออกแบบในแบบที่เป็นตัวคุณได้ Mono Cabin มีให้เลือกจับจองถึง 3 แบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นมาตรฐานที่มาพร้อมกับอุปกรณ์กำเนิดไฟฟ้าในตัว รุ่นใช้พลังงานจากแผงโซลาเซลล์ซึ่งติดตั้งอยู่ด้านบน และรุ่นสุดท้ายสำหรับคนที่ต้องการใกล้ชิดความเป็นธรรมชาติที่สุดด้วยออปชั่นเสริมเตาผิงไม้ติดตั้งมาในตัว เรื่องราคาก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่แค่คิดแล้วคุณจะมีกระท่อมในฝันไว้นอนท่ามกลางขุนเขาได้แต่คุณต้องมีเงินด้วย! เพราะราคาเฉลี่ยของเจ้า Mono Cabin อยู่ที่ 25,000 เหรียญหรือประมาณเกือบ 1 ล้านบาทเลยทีเดียว
บางครั้งของใช้ใกล้ตัวเรา มันอาจมีฟังก์ชั่นที่เจ๋งไปมากกว่านั้นได้ด้วยเทคโนโลยี ที่เพิ่มลูกเล่นให้มันจากสิ่งของเดิม ๆ กลายเป็นของ Multi-Function ได้แบบเท่ ๆ ใครที่ชอบอะไรแนวนี้ UNLOCKMEN อยากขอแนะนำปากกาสุดเจ๋งด้ามนี้ ที่พัฒนามาจากเทคโนโลยีทางการทหารในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รับรองว่าเท่ทั้งดีไซน์และฟังก์ชั่น Haoyu Feng & Dan Xiong ผู้ออกแบบได้เปิดเผยว่าแรงบันดาลใจของปากกาสุดเท่ด้ามนี้มาจากในช่วงสงคราม ที่บ้านเมืองยังไม่สงบและอะไร ๆ ยังไม่เข้าที่เข้าทางมากนัก นั่นผลักดันให้ผู้คนในช่วงนั้นต้องคิดค้นสิ่งที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นออกมาใช้กัน และหนึ่งในเทคโนโลยีทางการทหารในสมัยนั้น เป็นอีกแขนงที่ก้าวหน้าไปไกลมากที่สุด เลยนำความรู้สึกในช่วงนั้นมาสร้างเป็นปากกาสารพัดประโยชน์อย่าง “The GP1945 Bolt Action Pen” ที่ทำขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงเทคโนโลยีทางการทหารในช่วงหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง ไม่ใช่ด้วยความแค้น อารมณ์ หรือความรู้สึกใด ๆ แต่มันสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตในช่วงนั้นล้วน ๆ ว่าถ้าต้องกลับไปใช้ชีวิตในช่วงนั้น เราจะเป็นต้องมีอะไรบ้าง ปากกาแท่งนี้สามารถตอบโจทย์นั้นได้ ที่นอกจากจะใช้งานตามฟังก์ชั่นของมันได้ตามปกติแล้ว ยังต้องช่วยชีวิตของเราในยามคับขันได้อีกด้วย เราสามารถใช้มันเป็นปากกาลูกลื่นปกติได้ (ก็แน่ล่ะมันเป็นปากกา) สำหรับการจดบันทึก ขีดเขียน ทำหน้าที่ของปากกาตามที่มันควรจะมีเป็นฟังก์ชั่นพื้นฐาน ตัวด้ามทำมาจากไทเทเนียม ที่จะอยู่ยงคงกระพันมากกว่าหนังหุ้มกระดูกของเราอย่างแน่นอน แถมดีไซน์ยังถูกออกแบบมาให้เหมือน Loading ของปืนไรเฟิลอีกด้วย ฟังก์ชั่นต่อมาคือนกหวีด ที่สามารถเลื่อนตัวด้ามให้กลายเป็นเสียงนก
อยากได้ใครที่รู้ใจ อยากได้คนที่คอยสนับสนุนความคิด ความต้องการพวกนี้มันอาจจะไม่ใช่ฝันเฟื่องสำหรับผู้ชายอย่างพวกเราอีกต่อไป เพราะทุกวันนี้เขามีอุปกรณ์ช่วยอ่านใจแม่น ๆ ชนิดไม่ต้องออกเสียงพูด แค่คิดไว้ในหัว มันก็มอบคำตอบที่ต้องการได้ทันที สิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะชิ้นนี้ทางผู้ผลิตและวิจัยออกโรงมาเคลมความแม่นจากตัวเลขผลการทดลองของตัว prototype ของคน 15 คน พบว่าแม่นเกือบ 100 % (ตัวเลขจริงปาเข้าไป 92 %) โดยใช้หลักการล้วงความคิดในสมองแบบที่เราคาดไม่ถึงด้วยการสวม Headset ที่เขาตั้งชื่อมันว่า “AlterEgo” หลายคนอยากรู้ว่าอุปกรณ์นี้ใช้วิธีไหนอ่านใจคนสวม แล็บวิจัย MIT Media ผู้พัฒนา AlterEgo ให้คำอธิบายไว้ว่าเครื่องนี้แกะรอยความคิดของเราจากการประโยคที่เกิดขึ้นภายในหัวเรา ณ เวลานั้น เพราะเมื่อเราคิด สมองจะส่งสัญญาณต่อไปยังปากและกรามทันที เจ้า Headset อัจฉริยะจะจับสัญญาณการขยับที่เกิดขึ้นกระทบแล้วเชื่อมต่อการใช้งานให้กับเรา ตัวอย่างเช่น หากเราอยากรู้ว่าตอนนี้เราอยู่บนถนนเส้นไหน เราแค่คิดคำถามนี้ไว้ในหัว AlterEgo จะแปลงมันเป็นคำถามแล้วหาข้อมูลเพื่อตอบคำถามที่เราต้องการ นอกจากการถามตอบมันยังสามารถเชื่อมโยงการใช้งานเข้าร่วมกับระบบคำสั่งการ smart device อื่น อย่างทีวี มือถือ ฯลฯ ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นระบบ AI ที่ทำงานได้เฉียบกว่า Google Assistant