การถ่ายรูปจะออกมาดีหรือไม่ดี จริงอยู่ว่าขึ้นอยู่กับคนถ่ายเป็นหลัก แต่กล้องที่ดีก็มีส่วนช่วยได้มากไม่แพ้กัน นี่เป็นเหตุผลที่หลายคนยอมจ่ายเงินหลายแสนบาทให้กับกล้อง Leica และโมเดลล่าสุดในตระกูล M Camera อย่าง Leica M10 ก็ได้กระแสตอบรับดีไม่น้อย ซึ่งถ้าเทียบประสิทธิภาพของ Full-frame Sensor ในบอดี้ขนาด Compact คงยากจะหาใครมาเอาชนะได้ อย่างน้อยก็ในด้านความคมและคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน เป็นธรรมเนียมที่ Leica จะปล่อยเวอร์ชั่นอัพเกรดตามออกมาภายในระยะเวลา 1 ปี และวันนี้ก็ถึงเวลาของ Leica M10-P ราคา $7,995 แพงขึ้นจากเดิม $700 ที่แม้จะมีการพัฒนาจาก M10 ปัจจุบันไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ยังไม่ได้จ่ายเงินสองแสนกว่าบาทให้กับ M10 ที่เหลือก็อยู่ที่ความแตกต่างว่าสิ่งที่เพิ่มขึ้นมา เป็นสิ่งที่คุณยินดีจะจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน M10-P นั้น ยอมรับเลยว่ามีไม่มาก เรียกว่าคนใช้ M10 โล่งอกไปตาม ๆ กัน ภายนอกสังเกตความแตกต่างได้จากการย้าย Leica Red Dot ออกไป มีการสลักโลโก้ Leica ไว้บน
ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังแย่งพื้นที่ของการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมไป เรากลับชอบแนวคิดของ Tesla ที่ไม่ได้ต้องการผลิตรถยนต์มหัศจรรย์จนเปลี่ยนวิธีใช้งานในชีวิตประจำวันของพวกเรา สิ่งที่ Elon Musk ทำเป็นเพียงการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ซึ่ง Clay Alexander CEO ของ Ember บริษัทเจ้าของแก้วกาแฟอัจฉริยะก็ชื่นชอบเช่นกัน และใช้แนวคิดเดียวกันในการพัฒนาแก้วและมักกาแฟที่สามารถคงอุณหภูมิกาแฟได้ตลอด คนรักกาแฟย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่ากาแฟที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ ๆ มักจะมีร้อนเกินไป ทำให้รสชาติไม่ดี และระหว่างที่เรานั่งรอให้กาแฟเย็นด้วยธุระจุกจิก เรากลับพบว่ากาแฟมันได้เย็นเกินไปซะแล้ว ซึ่งไม่น่ารื่นรมย์นักถึงขนาดต้องเททิ้ง และการดื่มกาแฟ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิศดารอะไรมากมายนัก นอกจากแก้วและมักที่การใช้งานเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือระบบการคุมอุณหภูมิของ Ember ที่ยากจะลอกเลียนแบบ ถามนักกาแฟว่าอุณหภูมิที่ดีที่สุดในการดื่มคือเท่าไหร่ เกือบทุกคนจะต้องตอบว่า 50°C – 62.5°C ซึ่งเป็นอุณหภูมิ Default ที่ Ember Ceremic Mug ตั้งเอาไว้ให้ หรือจะเลือกปรับอุณหภูมิตามที่ต้องการในกรณีที่บางเมล็ดกาแฟต้องการร้อนกว่าหรือเย็นกว่าก็สามารถทำได้ และจะคงอยู่เท่านั้นตลอดไปจนกว่าแบตเตอรี่จะหมด เราจึงมั่นใจได้ว่าเมล็ดกาแฟราคาแพงที่หอบหิ้วมาจากต่างแดนจะไม่ถูกทิ้งอย่างเสียเปล่าอีกต่อไป ดูจากภายนอกแบบไม่สังเกตอาจจะไม่รู้ว่าแก้วกาแฟ Ember มีอะไรพิเศษต่างจากแก้วทั่วไปนอกจากดวงไฟ LED ด้านล่าง ซึ่งกว่าจะคิดค้นเทคโนโลยีและออกแบบให้ดูเหมือนแก้วกาแฟแบบนี้ได้นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย โดย Ember Ceremic Mug
เคยสังเกตไหมว่า เวลาเรานั่ง ๆ อยู่ สักพักหลังที่เคยผึ่งผายจะค่อย ๆ ห่อเข้า เหมือนลูกโป่งลมรั่ว จากที่เคยตึงก็ฟืบลง ตามติดมาด้วยอาการคอตกมันเริ่มเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ยิ่งกับพวกเราที่มีส่วนสูงมาก ไอ้อาการเดินคอตกหลังค่อมยิ่งเป็นพฤติกรรมติดตัวเพราะเวลาคุยกับคนรอบข้างทีไรเราก็ต้องก้มลงมองทุกที กว่าจะรู้ตัวอีกที การทำแบบนี้ซ้ำ ๆ ก็ทำให้เราติดเป็นนิสัย เดินหลังค่อมโดยไม่รู้ตัว และแม้กระทั่งเวลานั่งก็อาจจะติดนั่งหลังค่อมให้ปวดหลังไปด้วย ยิ่งถ้าทำติดต่อกันเป็นระยะยาวอาจจะมีผลให้กระดูกคดได้ ผู้เขียนเองเจอปัญหานี้บ่อย ๆ เพราะต้องนั่งทำงานติดโต๊ะ ถึงจะหาพนักเสริมพิงช่วยแก้ให้นั่งได้ถูกสรีระขึ้น แต่ก็ยังแก้ได้แค่ชั่วคราว พอลุกเดินก็ติดอาการหลังค่อมมาทำให้เสียบุคลิกภาพ Upright เป็นอุปกรณ์ใหม่ ขนาดเล็กกว่าฝ่ามือที่ใช้แก้ปัญหานี้ได้ นักประดิษฐ์เขาคิดค้นขึ้นเพื่อแก้ปัญหาจากอาการเจ็บ โดยใช้งานง่าย แค่ติดเครื่องนี้ไว้ตรงกลางแผ่นหลัง ทุกครั้งที่เราเริ่มหลังค่อมลง เครื่องจะเริ่มสั่นเตือนให้เรารีบปรับท่านั่งทันที ที่สำคัญเครื่องนี้ยังสามารถเชื่อมเข้ากับแอปพลิเคชัน UPRIGHT GO ที่สามารถใช้ได้ทั้งระบบ andriod และ iOS เพื่อแสดงผล แถมจังต่อยอดได้ด้วยการเทรนนิ่งที่จัดตารางไว้ให้เราได้ฝึกตามในแอปฯ อีกด้วย ประโยชน์ของ Upright Posture ช่วยให้ไหล่เบา ไม่รู้สึกเหมือนใครมาขี่คอ – เครื่องนี้ช่วยลดอาการตึงของไหล่จากท่ายืนท่านั่งที่ผิดปกติ ลดความเครียดและนำความสงบมาให้ชีวิต – การขยับท่าทางให้ถูกต้องจะช่วยลดความเหนื่อยล้าที่สร้างความเครียดได้ รู้สึกเยี่ยมในท่าสุดเพอร์เฟ็กต์ – แค่การนั่งและยืนในท่าที่ถูกต้องจะทำให้เราดูดีขึ้นทันตา
24 ชั่วโมงจากนี้ ทำให้ดี ทำให้ไว ถ้าทำได้ Tasks ทั้งหมดจะได้รับการเคลียร์ไปเลย มีคนเคยบอกว่า ไม่ว่าเราจะมีแผนการบริหารจัดการที่ดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่ระบุเวลาของแผนงานลงไปใน Action Plan สิ่งที่ตั้งความหวังไว้อาจเป็นแค่ลมปาก แต่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง จนเราแอบคิดในใจว่าด้วยเหตุผลนี้เอง เวลากับประสิทธิภาพงานเลยถูกพูดถึงคู่กันมาแบบปาท่องโก๋ และอาจกลายเป็นที่มาของการทำ “To do list” ไว้ใช้งาน แต่ถ้าไม่อยากให้งานพลาด การวางแผนซอยย่อย ระบุเวลาสำหรับทำกิจกรรมนั้นไว้อย่างชัดเจน แปะไว้ในมุมที่สามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา จะยิ่งทำให้เห็นผลได้มากขึ้น Li Ke, Pang Sheng Li และ Chen Yi Lin สามดีไซเนอร์ที่หลงรักความโปรดักทีฟเข้าไส้ เลยออกแบบ gadget สุดมินิมอลที่จะทำให้เราได้ทำงานแข่งกับเวลาของจริง โดยเราสามารถเขียนระบุ Tasks ที่ต้องการทำบนนาฬิกาในช่องว่างทุกชั่วโมงบนเจ้า Delete Clock ได้ เนื่องจากพื้นผิวหน้าปัดทำขึ้นจากไวท์บอร์ด แต่ถ้าแค่เขียนได้มันก็ธรรมดาไป พวกเขาเลยออกแบบให้มันส์กว่าด้วยการทำตัวเข็มยาวของนาฬิกาให้ใช้งานได้ 2 ฟังก์ชั่น คือเป็นได้ทั้งที่เก็บปากกาไวท์บอร์ดสำหรับเขียนได้โดยไม่ต้องกลัวหาย และด้านล่างของเข็มยาวทำเป็นแปรงลบน้ำหมึกไว้ เรียกได้ว่าทุกวินาทีที่ผ่านไปเราจะต้องเร่งทำสิ่งที่ตั้งใจไว้แข่งกับเข็มนี้ที่คอยไล่ลบ Task ของเราทิ้ง
หลายครั้งที่สถานการณ์ไม่เป็นใจให้เราหาที่นั่ง หย่อนก้นลงพักให้หายเมื่อยล้า จะนั่งลงไปกับพื้นก็เกรงใจกางเกงตัวเก่ง แถมยังไม่มั่นใจในความสะอาดอีกด้วย อย่างมากคงทำได้แค่หากระดาษปูให้ได้นั่งชั่วคราว แต่ถ้าพื้นที่ยังไม่เอื้ออำนวยอีกล่ะ UNLOCKMEN อยากให้คนที่เจอปัญหานี้มาทำความรู้จักกับ “The Sitpack” ที่พร้อมจะเปลี่ยนตัวเองเป็นเก้าอี้ให้เราได้หย่อนกายได้ทุกที่ The Sitpack ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พื้นที่จำกัด ความสะอาด สภาพพื้นที่ ที่ไม่เอื้ออำนวยให้เรานั่งลงกับพื้นได้ตรง ๆ หรือเพราะความรักสะอาดของเราเองก็ตาม ดูจะเป็นปัญหาที่ใครหลายคนเคยเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น รอแฟนช็อปปิ้ง เดินทางไกลแต่ไม่อยากพกเก้าอี้สนามเทอะทะ หรือเหตุผลง่าย ๆ อย่างไปไหนแล้วไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง แต่ขาคุณเมื่อยล้าซะเต็มทีแล้ว เราคงจะเริ่มมองหาอะไรที่ทดแทนกันได้ อย่างการยืนพิงผนัง นั่งบนวัตถุอื่น ๆ ที่แข็งแรงมากพอ แต่ถ้าหากเรามี “The Sitpack” เลิกกังวลกับเรื่องพวกนี้ไปได้เลย น้ำหนักเบา พกพาง่าย ไม่เทอะทะเหมือนเก้าอี้พับ เก้าอี้สนาม ที่ดูเป็นเก้าอี้จ๋าเสียเหลือเกิน มันคงตลกดีที่ไปไหนแล้วจะต้องพกเฟอร์นิเจอร์ไปกับตัวเองตลอดเวลา ลองเป็นอะไรที่พกพาง่าย ชนิดที่พับ ๆ แล้วสะพายขึ้นไหล่ในไซซ์ใกล้เคียงกับร่มพกพาเลยล่ะ ดีไซน์ออกมาเท่ ๆ ไม่เหมือนเก้าอี้เลยด้วยซ้ำอย่าง The Sitpack กันดีกว่า มาในรูปทรงตัววายในส่วนที่นั่ง และส่วนที่รับน้ำหนักเป็นทรง Cylindrical ตัวบอดี้ทำมาจาก
ฝนตก รถติด รถไฟฟ้าเสีย และอีกสารพัดปัญหาของคนเมืองที่ทำให้ปวดหัวได้อยู่ทุกวี่ทุกวันจนบางทีก็อย่างหนีเข้าป่าไปให้พ้น ๆ แต่เมื่อมาคิดดูดี ๆ แล้วก็เป็นตัวเราเองนั่นแหละที่เสพติดความสะดวกสบาย จะ Into the Wild แบบในภาพยนตร์ก็คงไปได้ไม่กี่น้ำเดี๋ยวก็คงซมซานกลับเข้าสังคมเมือง ดังนั้นมันจะดีแค่ไหนถ้าเราได้ทั้งความสะดวกสบายไปพร้อม ๆ กับการใช้ชีวิตสงบ ๆ ท่ามกลางธรรมชาติ ด้วยแนวคิดแบบนี้จึงเกิดสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถตอบโจทย์ขึ้นมา ‘Mono Cabin’ คือชื่อของเจ้ากระท่อมในฝันหลังนี้ มันถูกออกแบบให้เป็นเหมือนที่พักพิงที่ครบครันทั้งความสะดวกสบายและความทันสมัย ทุกรายละเอียดมีประโยชน์ต่อการใช้สอยในพื้นที่ 106 ตารางฟุต ภายใต้คอนเซ็ป “Plug and Play” ที่มีทั้งความสนุกสนานและการพักผ่อน ความเรียบง่ายที่สร้างอารมณ์สุนทรีคือปรัชญาในการรังสรรค์ Mono Cabin ออกมา โดยด้านนอกจะมีเหล็กเป็นส่วนประกอบหลักเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ตัวกระท่อม ส่วนภายในจะตกแต่งด้วยไม้ เพดานถูกออกแบบเป็นทรงโค้งให้ความรู้สึกอิสระ นอกจากนั้นบรรดาอุปกรณ์ภายในตัวกระท่อมสามารถเคลื่อนย้ายได้ทำให้คุณสามารถจัดวางและออกแบบในแบบที่เป็นตัวคุณได้ Mono Cabin มีให้เลือกจับจองถึง 3 แบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นมาตรฐานที่มาพร้อมกับอุปกรณ์กำเนิดไฟฟ้าในตัว รุ่นใช้พลังงานจากแผงโซลาเซลล์ซึ่งติดตั้งอยู่ด้านบน และรุ่นสุดท้ายสำหรับคนที่ต้องการใกล้ชิดความเป็นธรรมชาติที่สุดด้วยออปชั่นเสริมเตาผิงไม้ติดตั้งมาในตัว เรื่องราคาก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่แค่คิดแล้วคุณจะมีกระท่อมในฝันไว้นอนท่ามกลางขุนเขาได้แต่คุณต้องมีเงินด้วย! เพราะราคาเฉลี่ยของเจ้า Mono Cabin อยู่ที่ 25,000 เหรียญหรือประมาณเกือบ 1 ล้านบาทเลยทีเดียว
บางครั้งของใช้ใกล้ตัวเรา มันอาจมีฟังก์ชั่นที่เจ๋งไปมากกว่านั้นได้ด้วยเทคโนโลยี ที่เพิ่มลูกเล่นให้มันจากสิ่งของเดิม ๆ กลายเป็นของ Multi-Function ได้แบบเท่ ๆ ใครที่ชอบอะไรแนวนี้ UNLOCKMEN อยากขอแนะนำปากกาสุดเจ๋งด้ามนี้ ที่พัฒนามาจากเทคโนโลยีทางการทหารในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รับรองว่าเท่ทั้งดีไซน์และฟังก์ชั่น Haoyu Feng & Dan Xiong ผู้ออกแบบได้เปิดเผยว่าแรงบันดาลใจของปากกาสุดเท่ด้ามนี้มาจากในช่วงสงคราม ที่บ้านเมืองยังไม่สงบและอะไร ๆ ยังไม่เข้าที่เข้าทางมากนัก นั่นผลักดันให้ผู้คนในช่วงนั้นต้องคิดค้นสิ่งที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นออกมาใช้กัน และหนึ่งในเทคโนโลยีทางการทหารในสมัยนั้น เป็นอีกแขนงที่ก้าวหน้าไปไกลมากที่สุด เลยนำความรู้สึกในช่วงนั้นมาสร้างเป็นปากกาสารพัดประโยชน์อย่าง “The GP1945 Bolt Action Pen” ที่ทำขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงเทคโนโลยีทางการทหารในช่วงหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง ไม่ใช่ด้วยความแค้น อารมณ์ หรือความรู้สึกใด ๆ แต่มันสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตในช่วงนั้นล้วน ๆ ว่าถ้าต้องกลับไปใช้ชีวิตในช่วงนั้น เราจะเป็นต้องมีอะไรบ้าง ปากกาแท่งนี้สามารถตอบโจทย์นั้นได้ ที่นอกจากจะใช้งานตามฟังก์ชั่นของมันได้ตามปกติแล้ว ยังต้องช่วยชีวิตของเราในยามคับขันได้อีกด้วย เราสามารถใช้มันเป็นปากกาลูกลื่นปกติได้ (ก็แน่ล่ะมันเป็นปากกา) สำหรับการจดบันทึก ขีดเขียน ทำหน้าที่ของปากกาตามที่มันควรจะมีเป็นฟังก์ชั่นพื้นฐาน ตัวด้ามทำมาจากไทเทเนียม ที่จะอยู่ยงคงกระพันมากกว่าหนังหุ้มกระดูกของเราอย่างแน่นอน แถมดีไซน์ยังถูกออกแบบมาให้เหมือน Loading ของปืนไรเฟิลอีกด้วย ฟังก์ชั่นต่อมาคือนกหวีด ที่สามารถเลื่อนตัวด้ามให้กลายเป็นเสียงนก
อยากได้ใครที่รู้ใจ อยากได้คนที่คอยสนับสนุนความคิด ความต้องการพวกนี้มันอาจจะไม่ใช่ฝันเฟื่องสำหรับผู้ชายอย่างพวกเราอีกต่อไป เพราะทุกวันนี้เขามีอุปกรณ์ช่วยอ่านใจแม่น ๆ ชนิดไม่ต้องออกเสียงพูด แค่คิดไว้ในหัว มันก็มอบคำตอบที่ต้องการได้ทันที สิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะชิ้นนี้ทางผู้ผลิตและวิจัยออกโรงมาเคลมความแม่นจากตัวเลขผลการทดลองของตัว prototype ของคน 15 คน พบว่าแม่นเกือบ 100 % (ตัวเลขจริงปาเข้าไป 92 %) โดยใช้หลักการล้วงความคิดในสมองแบบที่เราคาดไม่ถึงด้วยการสวม Headset ที่เขาตั้งชื่อมันว่า “AlterEgo” หลายคนอยากรู้ว่าอุปกรณ์นี้ใช้วิธีไหนอ่านใจคนสวม แล็บวิจัย MIT Media ผู้พัฒนา AlterEgo ให้คำอธิบายไว้ว่าเครื่องนี้แกะรอยความคิดของเราจากการประโยคที่เกิดขึ้นภายในหัวเรา ณ เวลานั้น เพราะเมื่อเราคิด สมองจะส่งสัญญาณต่อไปยังปากและกรามทันที เจ้า Headset อัจฉริยะจะจับสัญญาณการขยับที่เกิดขึ้นกระทบแล้วเชื่อมต่อการใช้งานให้กับเรา ตัวอย่างเช่น หากเราอยากรู้ว่าตอนนี้เราอยู่บนถนนเส้นไหน เราแค่คิดคำถามนี้ไว้ในหัว AlterEgo จะแปลงมันเป็นคำถามแล้วหาข้อมูลเพื่อตอบคำถามที่เราต้องการ นอกจากการถามตอบมันยังสามารถเชื่อมโยงการใช้งานเข้าร่วมกับระบบคำสั่งการ smart device อื่น อย่างทีวี มือถือ ฯลฯ ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นระบบ AI ที่ทำงานได้เฉียบกว่า Google Assistant
แฟชั่นแบบผู้ชาย ๆ ใครว่าจะต้องเป็นโทนขาว ดำ เทา เท่านั้น?! หล่อ เท่ สุขุมน่ะใช่แต่ใครจะไปแอ็คขรึมได้ตลอดเวลา เพราะยังไงผู้ชายเรามันก็ต้องมีอารมณ์สนุก มันส์ กวนกันบ้าง เผลอ ๆ แล้วจะเป็นตัวตนจริง ๆ ของเราด้วยซ้ำไป ลองสลัดแอ็คขรึมทิ้ง แล้วลองมาลุคคูลกับสไตล์ Two-Tone color ดู แบบที่ใช้คู่สีคอนทราสต์โทนร้อนโทนเย็น ให้ทั้งความหล่อ เท่ และแฝงด้วยความสนุกสนาน เปี่ยมเอนเนอร์จี้ หนุ่มสายสตรีทเฉี่ยว ๆ เติมบุคลิกขี้เล่นได้ด้วยคู่สีคอนทราสต์ อาจจะลองโชว์ความจี๊ดที่ช่วงเท้า ด้วยการเลือกถุงเท้ายาวข้อสูงสีสันลวดลายเจ็บ ๆ ใส่คู่กับกางเกงขาสั้น หรือกางเกงยีนส์พับขาลอย และสนีกเกอร์สีสันโดน ๆ สักคู่ หรือจะเลือกไปทางโดดเด่นทั้งตัวไปเลยก็ได้ ด้วยการเลือกชิ้นหลักให้เป็นคู่สีตรงข้ามกัน เช่น เสื้อสีเข้ม กางเกงสีจี๊ด แล้วเพิ่มความมันส์เข้าไปให้สุดด้วยรองเท้าสีเจ็บ แค่นี้ก็สนุกได้ทั้งวัน ส่วนหนุ่มสายบูติกก็ยังคีพคูลได้กับสี Two-tone ด้วยหลักการเดียวกันคือ สีเสื้อและสีกางเกงต้องเลือกให้คอนทราสต์กันเข้าไว้ แต่ข้อควรระวังคือ ไม่ควรมีเกิน 3 สีบนร่างกายไม่อย่างนั้นอาจจะเยอะเกินเลยความคูลไปนิดนึง ไม่ต้องเขินกับการเลือกใช้สีสัน ลองจับคู่สีตรงข้ามมามิกซ์
ในยุคที่การทำดนตรีและมีเพลงของตัวเองไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป ทุกคนสามารถเป็นศิลปินได้ เพียงแค่มีใจรักและคอมพิวเตอร์ดี ๆ สักเครื่อง แต่การที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอสร้าง Beat ทั้งวันก็เป็นอะไรที่น่าเบื่อและเคร่งเครียดพอสมควร คงจะดีไม่น้อยถ้ามี Gadget อะไรเจ๋ง ๆ ที่สามารถสร้าง Beat ไปด้วยสนุกไปด้วย ไม่ต้องรอให้ถึงโลกอนาคต เพราะตอนนี้ Oddball Drum Machine ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว มันคือลูกบอลทรงกลมที่คุณสามารถสร้าง Beat ได้ทุกที่ทุกเวลาเพียงแค่ให้มันตกกระทบกับวัตถุต่าง ๆ เท่านั้นเอง Oddball Drum Machine คือเจ้าลูกบอลเด้งดึ๋งที่จะทำให้คุณได้ปลดปล่อยเสียงเพลงในใจ เพียงแค่คุณโยนมันเล่น คุณก็สามารถออกแบบดนตรีในแบบที่เป็นคุณผ่านการตกกระทบได้เต็มที่ ทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์และพรสวรรค์อยู่ในตัวเอง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสสร้างสรรค์อะไรออกมา เจ้าของไอเดียรู้ดีถึงความจริงข้อนี้ จึงได้ผลิต Oddball Drum Machine เพื่อให้ทุกคนสามารถสร้างดนตรีในแบบที่เป็นตัวเองได้ทุกที่ทุกเวลาแถมยังได้ความสนุกอีกต่างหาก Oddball แบ่งเป็นส่วนหลัก ๆ ได้ 2 ส่วนคือส่วนลูกบอลที่ภายในประกอบด้วยกลไกประเภทเครื่องตกกระทบ ทุกครั้งที่พื้นผิวของมันกระทบกับสิ่งใด ๆ ก็ตาม เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งเอาไว้จะส่งสัญญาณไปอีกส่วนซึ่งก็คือแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อไว้ด้วยระบบบูลทูธ คุณจะได้ยินเสียง Beat ที่คุณสร้างผ่านการตกกระทบของเจ้าลูกบอลผ่านทางหูฟังหรือลำโพงที่คุณเชื่อมต่อไว้กับโทรศัพท์มือถือของคุณ ความดังเบาหรือหนาแน่นของเสียงขึ้นอยู่กับความแรงในการตกกระทบซึ่งแล้วแต่การออกแบบของคุณ นอกจากนั้นคุณยังสามารถเพิ่มความซับซ้อนให้ดนตรีของคุณด้วยการสร้างลูปหรือเพิ่มเอฟเฟกต์ลงไปได้อีกด้วย อีกหนึ่งจุดเด่นคือเหล่าผู้ใช้ Oddball Drum
การนอนในรถมักจะเป็นทางเลือกสุดท้ายยามฉุกเฉินของเราเสมอ เพราะนอกจากความไม่สบายตัว ชวนให้ปวดเมื่อยตั้งแต่ได้ยินว่าต้องนอนในรถแล้ว ยังอันตรายถึงชีวิตอีกต่างหาก จะเปิดกระจกทิ้งไว้ล่อตาโจรซะจริง ๆ แต่ UNLOCKMEN จะมาเสนอของเจ๋ง ๆ ที่หนุ่ม ๆ ควรมีติดรถไว้ สำหรับคนที่เดินทางบ่อย มีความจำเป็นต้องหาที่นอนแบบฉุกเฉินกันอยู่บ่อย ๆ ผลงานการออกแบบของ Sebastian Maluska กับนวัตกรรมที่ใช้ได้จริงอย่างเจ้า “The Nest” ที่เหมาะสำหรับหนุ่มรักการผจญภัย มีเหตุให้ต้องนอนนอกบ้านอยู่บ่อย ๆ ไม่ต้องลำบากหาที่พัก ไม่ต้องหลังขดหลังแข็งนอนในรถ หาโลเกชั่นดี ๆ ที่ไม่ทับรังมดหรือสัตว์รบกวนชนิดอื่นอย่างการกางเต็นท์บนพื้นราบ “The Nest” เป็น Rooftop Tent ที่จะเป็นเต็นท์ให้เรานอนได้บนหลังคารถของเราเองนี่แหละ Maluska ผู้ออกแบบ ตั้งใจให้ The Nest ออกมาในรูปแบบพกพาอยู่แล้ว โดยเน้นไปที่กลุ่มของคนรักการผจญภัย ตั้งเต็นท์ เข้าป่า หรือหาโลกเกชั่นดี ๆ นอนแบบไม่ต้องคิดเยอะ อาจจะใช้ได้ถึงการทัวร์รอบโลกได้เลยล่ะ (ถ้าคุณใจถึง) เพราะผู้ออกแบบเองก็รักในกิจกรรมกลางแจ้งซะจนเกิดแรงบันดาลใจให้สร้างของเจ๋ง ๆ ชิ้นนี้ขึ้นมาตอบโจทย์ของคนที่รักการผจญภัยด้วยกันนั่นเอง ว่ากันด้วยเรื่องการออกแบบ ส่วนโครงของมัน
เคยสงสัยไหมว่าเวลาโจรกระโดดขึ้นรถขับหลบหนีทีไร ทำไมตำรวจต้องไล่ตามด้วยรูปแบบเดิมซ้ำ ๆ แถมไม่ได้ผล ไม่ว่าจะเป็นการขับแล้วชะโงกหัวออกมานอกหน้าต่างหยิบปืนพกไล่ยิงล้อผู้ร้ายเพื่อสกัดการหลบหนีทุกที ทั้งที่เปอร์เซ็นต์ที่จะยิงโดนมันก็น้อย แถมสุดท้ายพอขับผ่านแยกโจรก็ขับปาดหลบหนีไปได้ตลอดทุกที (ผู้ชายอย่างเราเห็นฉากแบบนี้ทีไรก็หัวร้อนทุกที) เหตุผลที่เจ้าหน้าที่ต้องใช้วิธีนี้คงเพราะยังไม่มีวิธีใหม่ที่ดีกว่า แต่ความเสี่ยงที่ไม่ตอบโจทย์ก็ทำให้หลายคนพยายามช่วยแก้ปัญหานี้ เช่นเดียวกับบริษัท Grappler Police Bumper บริษัทหัวใสที่คิดค้นนวัตกรรมจากแนวคิดที่ง่ายเหลือเชื่อแต่ได้ผลเกิดคาดอย่างการยิงตาข่ายดักล้อรถผู้ร้ายมันเสียเลย เอาสิ! อยากขับหนีไปไหน เชิญลากตำรวจตามไปด้วยเลย อุปกรณ์ตัวนี้เป็นตาข่ายติดตั้งใต้รถ จังหวะขับไล่ล่าตามท้องถนนแค่ตำรวจกดใช้งาน เจ้าตาข่ายพิเศษที่มีคุณสมบัติเดียวกับหนังสติ๊กก็จะยืดออกมา จากนั้นแค่เล็งให้ได้ระยะใกล้พอจะครอบล้อรถโจรไว้แล้วเหยียบคันเร่งให้ได้ระยะ แป๊ปเดียวยางตาข่ายจะครอบล้อปั่นดึงไว้อย่างอยู่หมัด พอดึงจังหวะแตะเบรกไว้ รถของตำรวจจะดึงรถของผู้ร้ายให้หยุดได้ นอกจากนี้มันยังสามารถคุมระยะได้ด้วย ถ้าคิดว่ามันใกล้ไปแล้วเป็นอันตราย อุปกรณ์นี้ยังสามารถยืดหรือหดได้ตามต้องการ ทำให้ตำรวจสามารถควบคุมได้ตามใจอยาก หรือถ้าอยากตัดเขาก็ซัพพอร์ตระบบไว้พร้อม แม้ว่าผู้ช่วยตัวนี้ยังไม่เหมาะจะใช้ในบ้านเรา เพราะเป็นเมืองที่การจราจรติดขัดอยู่ตลอด และไม่ได้วางระบบให้เอื้อกับการติดตามคนร้ายแบบคนใช้รถใช้ถนน แค่รถพยาบาลกับรถดับเพลิงวิ่งไปปฏิบัติหน้าที่เอกก็ยังหืดขึ้นคอ คงไม่ต้องรวมเรื่องนี้เข้าไปอีกเรื่อง แต่เราก็เห็นว่าเป็นหนึ่งการออกแบบที่มีแนวคิดการแก้ปัญหาดี และไม่มีใครต้องเสียเลือดเนื้อหรือโดนลูกหลงที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง อุปกรณ์ชิ้นนี้เปิดวางจำหน่ายไปแล้วตั้งแต่ต้นปีในสหรัฐฯ น่าลุ้นว่าพอเอามาใช้งานจริง มันจะไปปรากฏในภาพยนตร์ด้วยหรือเปล่า และจะเปลี่ยนมิติการตามล่าในหนังบู๊ทั้งหลายที่ผู้ชายเราติดตามเป็นประจำไหม ส่วนใครที่อยากพิสูจน์สมรรถภาพของมันว่าเฉียบแค่ไหนในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว ลองมาดูวิดีโอด้านล่างได้เลย SOURCE