World

ไม่ได้มีแค่ OLE TIME! 4 การ COMEBACK ที่ยิ่งใหญ่และเร้าใจที่สุดในศึก UEFA CHAMPIONS LEAGUE

By: PERLE March 7, 2019

จบกันไปแล้วสำหรับศึก UEFA Champions League ฤดูกาล 2018-2019 รอบ 16 ทีมสุดท้าย คู่ระหว่าง Manchester United กับ Paris Saint-Germain ด้วยสกอร์ 3 ประตูต่อ 1 เป็นการพ่ายคาบ้านของยอดทีมจากฝรั่งเศส ทำให้เป็นอีกครั้งที่พวกเขาไปไม่ถึงฝัน ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยกฎอเวย์โกล์

เหตุการณ์นี้เราเชื่อว่าต่อให้เป็นแฟนของทีมปีศาจแดงก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะในเกมแรก Manchester United พ่ายคารัง Old Trafford แบบหมดรูป 2 ประตูต่อ 0 และหลังจากนั้นพวกเขาก็ประสบปัญหานักเตะบาดเจ็บกันค่อนทีม ดังนั้นในทริปมาเยือนเมืองน้ำหอมทัพปีศาจแดงจึงเต็มไปด้วยนักเตะสำรองและดาวรุ่ง

แต่สุดท้ายด้วยเลือดนักสู้และจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ Manchester United ก็สร้างปาฏิหาริย์ ณ Parc des Princes ได้สำเร็จ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการ Comeback อย่างยิ่งใหญ่แบบนี้ในศึก UEFA Champions League ดังนั้นวันนี้เราจึงจะพาทุกคนย้อนอดีตไปรำลึกถึงช่วงเวลามหัศจรรย์แบบนี้กันอีกครั้ง

UCL ไม่ใช่ที่ของ Paris Saint-Germain

The Telegraph

เกมเมือคืนไม่ใช่ฝันร้ายครั้งแรกของ Paris Saint-Germain ในศึก UEFA Champions League เพราะย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อนต้องบอกว่าพวกเขาเผชิญฝันร้ายยิ่งกว่านี้มาแล้ว

ในตอนนั้นเป็นศึกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเหมือนครั้งนี้ เพียงแค่เปลี่ยนมัจจุราชจาก Manchester United เป็น Barcelona เจ้าบุญทุ่มจากแดนกระทิงดุ ในเกมแรกด้วยฟอร์มอันร้อนแรงของ Angel Di Maria ยอดตัวรุกเลือดอาเจนไตน์ที่จัดการกดไป 2 ประตู และผู้เล่นที่เหลือในทีมก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้จากเจ้าบุญทุ่มกลายสภาพเป็นเจ้าบุญถอย พ่ายยับคา Parc des Princes ไปขาดลอยด้วยสกอร์ 4-0

แต่ในเกมที่ 2 ณ Camp Nou ไม่รู้ว่าด้วยความประมาทหรืออะไรเข้าสิง Barcelona สิ่งที่เกิดขึ้นคือยอดทีมแห่งสเปนดาหน้าถล่มยอดทีมจากฝรั่งเศสแบบยับเยินไม่มีชิ้นดี สิ้นเสียงนกหวีด 90 นาที เกมนี้จบลงด้วยสกอร์ 6 ประตูต่อ 1 กลายเป็นฝันร้ายที่ยากจะลืมเลือนของ Paris Saint-Germain

Barcelona โดนเอาคืนอย่างเจ็บแสบในปีต่อมา

Goal.com

แต่ก็ใช่ว่าเทพีแห่งโชคชะตาจะเข้าข้าง Barcelona เสมอไป เพราะในปีต่อมาพวกเขาก็โดนเอาคืนอย่างเจ็บแสบเหมือนกัน

เป็นเกมในรอบ 8 ทีมสุดท้าย Barcelona โคจรมาเจอกับหมาป่าแห่งกรุงโรม Roma ซึ่งไม่ว่าจะมองมุมไหนเจ้าบุญทุ่มจากสเปนก็เหนือกว่าอยู่หลายขุม และทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปตามคาด เพราะในเกมแรก Barcelona อัดหมาป่าจนนอนพังพาบคา Camp Nou ไปแบบสบายเท้า 4 ประตูต่อ 1

ในเกมที่ 2 ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้น ด้วยสกอร์ที่ห่างถึง 3 ประตู และคุณภาพทีมที่ห่างกัน 3 เสาไฟฟ้า แต่ด้วยเลือดนักสู้แห่งกรุงโรม พวกเขาไม่ยอมแพ้จนวินาทีสุดท้าย ในที่สุดพวกเขาก็ช็อกโลกได้สำเร็จ จัดการอัด Barcelona ไป 3 ประตูต่อ 0 ทะยานสู่รอบรองชนะเลิศอย่างสง่างาม

พลังแห่ง Super Depor

Goal.com

การ Comeback ครั้งนี้อาจจะต้องย้อนกลับไกลสักหน่อย เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศึก UEFA Champions League ฤดูกาล 2003-2004 รอบ 8 ทีมสุดท้าย เป็นการโคจรมาพบกันระหว่าง Deportivo de La Coruna กับ AC Milan ซึ่งต้องขออธิบายก่อนว่าถึงแม้ตอนนี้ Deportivo de La Coruna จะตกชั้นสู่ลีกรองของสเปนไปแล้ว แต่ในตอนนั้นพวกเขาก็ยิ่งใหญ่พอสมควร มีขุมกำลังที่ยอดเยี่ยม ถึงแม้อาจจะยังดูเป็นรองปีศาจแดงดำแห่งเมืองมิลานอยู่นิดหน่อยก็ตาม

ในเกมแรก ณ San Siro เป็น AC Milan ที่เต็มไปด้วยยอดนักเตะระดับโลกจัดการสอนบอล Super Depor ไปอย่างขาดลอยด้วยสกอร์ 4 ประตูต่อ 1 เป็นการชนะที่ง่ายดาย จนทุกคนคิดว่า AC Milan คงเข้ารอบรองชนะเลิศไปแบบไร้ปัญหา

แต่ในเกมต่อมาพลพรรค Deportivo de La Coruna แสดงให้โลกเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่หมูในอวยให้ต้อนได้ง่าย ๆ งัดลูกฮึดและจิตวิญญาณนักสู้จัดการเชือด AC Milan ไปอย่างเลือดเย็น 4 ประตูต่อ 0 ทิ้งไว้แค่เพียงความฝันอันแตกสลายของอาคันตุกะจากอิตาลี

ปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูล

The42

ถ้าพูดถึงการ Comeback คงไม่พูดถึงเหตุการณ์นี้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการ Comeback ในนัดเดียวก็ตาม

เหตุการณ์ปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ UEFA Champions League เกิดขึ้นในนัดชิงชนะเลิศฤดูกาล 2004-2005 เป็นการพบกันระหว่าง Liverpool กับ AC Milan ซึ่งต้องบอกว่าตามหน้าสื่อในตอนนั้น AC Milan เป็นต่ออยู่ทุกประตู เนื่องจากในทีมคับคั่งไปด้วยซูเปอร์สตาร์ระดับโลก

เพียงแค่ 45 นาทีแรก AC Milan ก็แสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นดังกล่าว พวกเขาออกนำไปก่อน 3 ประตูต่อ 0 แบบสบาย ๆ ในตอนนั้นเชื่อได้เลยว่าคอบอลทั่วโลก รวมถึงแฟนหงส์แดงเองต่างก็ถอดใจไปแล้ว หลายคนถึงขั้นปิดทีวีนอนกันเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามหลังจากเสียงนกหวีดเริ่มครึ่งหลังดังขึ้นเพียง 10 นาที Steven Gerrard ชายผู้เปรียบเสมือน Iconic แห่งสโมสร Liverpool ได้จุดประกายแห่งความหวังขึ้นมาด้วยประตูตีตื้น 1-3

หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาอีกแค่ 6 นาทีไล่ตามตีเสมอเป็น 3 ประตูต่อ 3 ได้สำเร็จ และก็สามารถยื้อสกอร์ไว้ได้จนจบ 120 นาที ก่อนที่จะมาตัดสินกันที่การดวลจุดโทษ

มันเป็นค่ำคืนที่ Jerzy Dudek นายทวารชาวโปแลนด์ของทีม Liverpool ไม่มีวันลืม เพราะเขาคือฮีโร่ ช่วยเซฟจุดโทษถึง 3 ครั้ง พาทีมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ และจารึกประวัติศาสตร์ค่ำคืนนี้ไปชั่วนิรันดร์

 

เหล่านี้เป็นบทพิสูจน์ได้อย่างดีกับคำพูดที่ว่า ‘ตราบใดที่ไม่ยอมแพ้ ชัยชนะก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน’ เราหวังว่าผู้อ่านทุกคนจะได้รับกำลังใจจากเรื่องราวเหล่านี้ไม่มากก็น้อย

PERLE
WRITER: PERLE
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line