Entertainment

ย้อนไปตั้งแต่ภาคแรก (1962) มานับกันว่าที่ผ่านมา James Bond ฆ่าผู้ร้ายไปกี่คน

By: Chaipohn October 10, 2015

ก่อนจะไปดู James Bond ภาคล่าสุด Spectre ที่มีกำหนดเข้าฉายบ้านเราวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ และเป็นภาคที่ทำลายสถิติในการใช้งบกว่า 1,100 ล้านบาทสำหรับรถ Aston Martin DB10S ที่สร้างขึ้นเพื่อถ่ายทำและเกิดอุบัติเหตุเสียหายจำนวน 7 คัน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในการถ่ายทำเท่าที่เคยมีมา แต่หลายคนอาจจะลืมไปว่าถ้า James Bond มีตันตนอยู่จริง จะเป็นสายลับที่ได้รับอนุญาติจากรัฐบาลให้ฆ่าศัตรูได้โดยไม่ผิดกฎหมาย และ James จะนักฆ่าที่โหดเหี้ยมไม่น้อย ฆ่าคนมานับไม่ถ้วนภายใต้ความเท่และสีหน้านิ่งๆ

151010-jamesbondall-1

เพื่อเป็นการเตรียมตัวก่อน James Bond Spectre เข้าฉาย เราจะย้อนกลับไปสรุปเรื่องราวความเป็นมาและจำนวนศัตรูที่ถูกสายลับ MI6 “James Bond” ฆ่าในแต่ละภาคถึงปัจจุบัน ทั้งหมด 23 ภาค ว่ามีจำนวนกี่ราย เรียกว่าอ่านบทความนี้อันเดียว รู้เรื่อง James Bond ตั้งแต่ภาคแรกถึงปัจจุบันเลย

151010-jamesbondall-2

ย้อนกลับไปภาพแรกตั้งแต่ปี 1962 สมัยนั้นไม่ได้ใช้ชื่อ James Bond แบบทุกวันนี้ แต่ใช้ชื่อว่า Dr. No ที่ได้ Sean Connery รับบทสายลับ Bond คนแรก กำกับโดย Terence Young สร้างขึ้นจากหนังสือแนวแอคชั่นสายลับในชื่อเดียวกันว่า Dr. No เขียนโดย Ian Fleming ภาคนี้ Bond ฆ่าเหล่าร้ายไป 6 คน

151010-jamesbondall-3

ด้วยความฮิต ภาคต่อมาของ James Bond : From Russia With Love จึงถูกสร้างเพื่อฉายในปีถัดไป (1963) ทันที ซึ่งภาคนี้ก็ได้สายลับคนเดิม Sean Connery มารับบท James Bond ภาคนี้โหดหน่อย จัดไป 9 คน

ยังฮิตไม่สร่าง Sean Connery กลับมารับบท James Bond 007 อีกครั้งในปี 1964 แต่ครั้งนี้เปลี่ยนผู้กำกับมาเป็น Guy Hamilton และภาคนี้จัดเต็ม ใช้งบการสร้างสูงกว่างบ 2 ภาคแรกรวมกัน ภาคนี้ Bond ปลิดชีวิตไป 8 คน

ภาคที่ 4 “Thunderball” เมื่อ James Bond ต้องไปตามหา atomic bomb ของ NATO ที่โดน Spectre ขโมยไปเรียกค่าไถ่เป็นเพชรมูลค่า $100 ล้าน เข้าฉายต่อเนื่องในปี 1965 ยังคงเป็นนักสืบหน้าเดิม Sean Connery ผู้มีทั้งความหล่อและความกวนในตัว ภาคนี้กลับมาใช้ Terence Young เป็นผู้กำกับ ภาคนี้อยู่ในน้ำซะเป็นส่วนใหญ่ จัดหนักไป 17 ศพ

หลังจากออกฉายเป็นรายปี ภาคที่ 5 “You Only Live Twice” หยุดพักไป 1 ปี เข้าฉายในปี 1967 ภาคนี้แม้จะยังอยู่บนความเป็นนิยายของ Ian Fleming แต่เริ่มมีการปรับบทมากขึ้นโดย Roald Dahl เป็นครั้งแรกที่หนังเรื่องนี้กำกับโดย Lewis Gilbert ภาคนี้มีการไล่ล่า Spectre มากขึ้น และถ่ายในประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก ภาคนี้ปลิดชีพไป 21 คน

ภาคที่ 6 “On Her Majesty’s Secret Service (1969)” ภาคนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก เพราะแฟนๆ James Bond อาจจะยังปรับตัวไม่ได้จากการที่ Sean Connery ตัดสินใจเลิกแสดง ไปได้ George Lazenby นักแสดงโนเนม ผู้โดนความกดดันจนประกาศว่าจะรับบท Bond แค่ครั้งเดียวพอ ผู้กำกับก็เปลี่ยนเป็น Peter R. Hunt ภาคนี้ฆ่าไปงงๆ 6 คนเท่านั้นเอง

151010-jamesbondall-4

หายไปหลายปี กลับมาอีกทีปี 1971 มาถึงภาคที่ 7 “Diamonds Are Forever” เป็นภาคสุดท้ายที่ได้ Sean Connery กลับมารับบท James Bond ให้เป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน แลกกับค่าตัวระดับสถิติโลกในยุคนั้น $1.25 ล้านเหรียญ มันจึงเป็นภาคที่สุดยอดและเป็นที่จดจำสำหรับบรรดาแฟน 007 ภาคนี้ฆ่าไป 7 ศพ

หลังจากปิดฉากตำนาน James Sean Connery ไปแล้ว ภาคที่ 8 ของ James Bond “Live and Let Die (1973)” ก็ได้ Roger Moore สายลับคนใหม่ที่ทำให้หนังเรื่องนี้กลับมายิ่งใหญ่ด้วยการได้รับรางวัลมากมาย ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล Academy Award for Best Original Song, Grammy Award for Best Song Written และได้รับรางวัล Evening Standard Best Film” ภาคนี้ยังเป็นภาคแรกที่สาวของ Bond เป็นสาวผิวสีอีกด้วย ส่วนเหล่าร้ายเสียชีวิตไป 6 ศพ

ภาคที่ 9 “The Man With The Golden Gun” ฉายในปี 1974 ภาคนี้มีการถ่ายทำหลายจุดในประเทศไทย เช่นกรุงเทพ พังงา ปทุมธานี และภูเก็ต ภาคนี้ยังคงได้ Roger Moore รับบทเป็นสายลับ James Bond เช่นเดิม แต่เริ่มมีเสียงวิจารณ์ในเรื่องของบทหนังและด้านคุณภาพมากขึ้น พิสูจน์ได้จากจำนวนผู้ร้ายที่ตายแค่ 1 คนเท่านั้น

Roger Moore ยังคงรับบท James Bond อย่างต่อเนื่องในภาคที่ 10 “The Spy Who Loved Me” ภาคนี้กลับมาได้รับเสียงตอบรับอย่างดีเยี่ยม และเพลงประกบอภาพยนตร์ “Nobody Does It Better” ขับร้องโดย Carly Simon ก็ฮิตติดทุกชาร์ต ภาคนี้เราจะได้เห็นอุปกรณ์ไฮเทคมากมายแบบสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก และเป็นภาคที่บู๊ล้างผลาย ฆ่าวายร้ายไป 18 ศพ

ภาคต่อมา “Moonranker” เป็นครั้งที่ 4 ในบทบาท James Bond โดย Roger Moore แต่เป็นภาคสุดท้ายที่ Lewis Gilbert กำกับ ภาคนี้เน้นเรื่องภาพสวยเป็นพิเศษ ทุ่มเงินค่าผลิตไปถึง $34 ล้านเหรียญ และผลตอบรับก็สมน้ำสมเนื้อ Derek Medding ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล “Academy Awared for Best Visual Effects” และเป็นภาคที่กวาดรายได้มหาศาลถึง $210 ล้านเหรียญทั่วโลก ภาคนี้ปลิดชีพไป 12 คน

ภาคที่ 12 “For Your Eyes Only (1981)” เปิดตัวผู้กำกับคนใหม่ John Glen ผู้มีความเกี่ยวข้องกับ James Bond series มาหลายภาค ทั้งเป็นคนตัดต่อและผู้ช่วยผู้กำกับ ความเปลียนแปลงที่เกิดขึ้นคือ Glen ต้องการให้ James Bond กลับมามีความสมจริงมากขึ้น ซีเรียสมากขึ้น ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี ทำรายได้ไปถึ $195 ล้านเหรียญ และฆ่าวายร้ายไป 15 ศพ

151010-jamesbondall-5

“Octopussy” ชื่อตอนที่ 13 ของ James Bond ที่มีคู่หูเป็นสาวสวย Maud Adams กำกับโดย John Glen และเป็นครั้งที่ 6 ที่ Roger Moore รับบทเป็นสายลับ MI6 ที่ต้องฆ่าศัตรูทั้งชาว Soviet และแขก Afghan ทำให้มีฉากบู๊มีโดนยิงสิ้นชีพไปมากถึง 64 ศพ

“A View To Kill” ได้ผู้กำกับและสายลับคนเดิมทำงานร่วมกัน ภาคนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม เพลง theme ของภาคนี้ “A View To Kill ร้องโดย Duran Duran” ก็ฮิตกระจาย ได้เข้าชิงรางวัล Golden Globe Award “Best Song” และเป็นเพลงประกอบ James Bond เพลงแรกและเพลงเดียวที่ได้ขึ้นไปสู่อันดับ 1 ใน US Billboard Hot 100 และอันดับที่ 2 ใน UK Singles Chart และยังถูกนำไปสร้างเป็นวีดีโอเกมส์ด้วย ภาคนี้ Bond จัดไปเบาๆ 5 ศพ

ภาคที่ 15 “The Living Daylight (1987)” ภาคนี้ได้ Timothy Dalton มารับบท James Bond แทน แต่ยังได้ John Glen กำกับเหมือนเดิม เป็นเรื่องราวหักหลังซ่อนเงื่อนระหว่าง Bond กับ Georgi Koskov และ General Pushkin ภาคนี้ก็ประสบความสำเร็จด้านรายได้ ทำเงินไป $191.2 ล้านเหรียญ ผู้ร้ายสิ้นชีพไป 10 ศพ

ภาคสุดท้ายที่กำกับโดย John Glen “License to Kill” (1989) และเป็นภาคสุดท้ายในบท James Bond ของ Timothy Dalton เช่นกัน เรื่องราวการไล่ล่าล้างแค้นเจ้าพ่อยาเสพติด Franz Sanchez ที่ฆ่าสายลับและภรรยาผู้เป็นเพื่อนของ James Bond ดังนั้นนี่จึงเป็นภาคที่โหด ดิบ พอสมควร ตายอย่างโหดไป 10 ราย

151010-jamesbondall-6

ภาคนี้น่าจะเริ่มคุ้นตาพวกเรากันมากขึ้น “GoldenEye (1995)” ภาคนี้มีการเปลี่ยนค่อนข้างมาก ตั้งแต่ผู้กำกับ Martin Campbell ที่ไม่ได้สร้างหนังบนนิยายของ Ian Fleming อีกต่อไป และได้ Pierce Brosnan มารับบท James Bond ภาคนี้ Bond ต้องสู้กับองค์กรณ์อาชณากรรมเพื่อไม่ให้ใช้ดาวเทียม “GoldenEye” สร้างความวุ่นวายให้โลก เป็นภาคที่มีความทันสมัยสุดๆ ยิงล้างผลาญตายไป 34 ราย

“Tomorrow Never Dies (1997)” ภาคที่ 18 แน่นอนว่า Pierce Brosnan ยังคงรับบท James Bond ที่ต้องปกป้องไม่ให้เจ้าพ่อวงการสื่อกระตุ้นให้เกิดสงครามโลกครั้ง 3 ทุกอย่างดูดีแต่น่าเสียดายที่เปิดตัวชนกับ Titanic ทำให้ได้อยู่แค่อันดับ 2 ใน Box Office ภาคนี้ James Bond สังหารไป 24 ศพ

“The World is not Enough (1999)” Pierce Brosnan ในฐานะ James Bond ครั้งที่ 3 ต้องไล่ล่าชิงตัวลูกสาวท่าน Sir Robert King ที่โดน Renard ผู้ก่อการร้ายจับไปเรียกค่าไถ่ ระหว่างทาง Bond ก็ไปพบกับแผนการชั่วร้ายมากมาย ภาคนี้ตายไป 21 ศพ

ภาคที่ 20 จากทั้งหมด 23 ภาค “Die Another Day (2002)” ภาคที่ 4 ครบรอบ 40 ปีของหนังสายลับ James Bond เป็นภาคสุดท้ายในบท James Bond ของ Pierce Brosnan ที่โดนจับอยู่ในเกาหลีเหนือ และออกมาได้ด้วยการแลกเปลี่ยนนักโทษ ก่อนจะสืบหาตัวคนทรยศและฆ่าเหล่าเกาหลีเหนือจนสิ้นซาก ทั้งหมดในภาคนี้ตายไป 24 ศพ

151010-jamesbondall-7

Casino Royale (2006) ภาคนี้เราคุ้นหน้า James Bond กันดี รับบทโดย Daniel Craig สายลับ MI6 คนปัจจุบัน เรื่องราวย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นอาชีพสายลับ 007 ก่อนที่ James Bond จะได้รับอนุญาตให้ฆ่าได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เป็นภาคที่ตั้งต้นซีรีย์ James Bond ใหม่ทั้งหมด ภาคนี้ Craig จัดไป 11 ศพ

ภาคที่ 22 “Quantum of Solace (2008)” ไม่ต้องท้าวความกันมากเพราะยังใหม่เอี่ยมอยู่ Daniel Craig ในบท James Bond จากการต้องการล้างแค้นให้ภรรยาสุดเลิฟ ไปจนถึง Quantum organization ที่ต้องการจะยึดอำนาจในประเทศ Bolivia ภาคนี้ Bond ฆ่าไป 16 ศพ

ภาคล่าสุดอันดับที่ 23 “Skyfall (2012)” ภาคนี้ดังตั้งแต่เพลง theme song ที่ได้ Adele มาร้องและได้รางวัล Academy Award ด้วย ภาคนี้ Daniel Craig สังหารไปทั้งหมด 17 ศพ

รวมเบ็ดเสร็จทั้ง 23 ภาค ตั้งแต่ปี 1962 ถึง 2012 James Bond ฆ่าเหล่าร้ายเพื่อช่วยโลกไปแล้วทั้งหมด 362 ศพ ทีนี้เราก็มีความพร้อมที่จะเตรียมตัวดู 2015 James Bond Spectre อย่างเมามันส์ได้แล้ว อย่าลืมนับจำนวนคนที่โดน bonds ฆ่าตายไปด้วย ช่วยเพิ่มอถรรสความมันส์ในการรับชมได้เยอะเลย

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line