ออกเดทกับสาวหน้าใส จูนจูน – พัชชา ผู้ชายแบบไหนถึงจะเรียกว่าใช่สำหรับเธอ

ว่ากันว่าโลกใบนี้ขาดผู้หญิงไปไม่ได้ อาจเป็นเพราะความสดใสของพวกเธอเป็นสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนโลกใบนี้ให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น อย่างน้อยๆ ก็ช่วยกระตุ้นให้ชายหนุ่มรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครสักคน แค่หันไปพบใบหน้าที่ยิ้มแย้ม บวกกับความสดใสของพวกเธอ ก็ช่วยเพิ่มความรู้สึกขาดในใจได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องเว่อร์แต่มันคือเรื่องจริง

สาวน้อยคนหนึ่งที่เรามองว่าเธอเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนโลกใบนี้ให้น่าอยู่ รอยยิ้มและความสดใสของเธอ ช่วยทำให้ใครหลายๆ คนรู้สึกเคลิบเคลิ้มอยู่เสมอเมื่อได้เห็น ไม่ใช่แค่ใบหน้าที่น่ารักสดใส ความสามารถที่เธอมีก็ไม่ต่างกัน สาวน้อยหน้าใสที่เราพูดถึงจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ “จูนจูน – พัชชา พูนพิริยะ” และหากคุณยังนึกไม่ออกว่าเธอเป็นใคร บอกให้คร่าวๆ ว่าเธอเป็นคนที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 23 จากภาพยนตร์นอกกระแสเรื่อง   Mary Is Happy, Mary Is Happy (2013) โดย เต๋อ – นวพล ในปีนั้นเธอถูกพูดถึงอย่างมากมายด้วยความสงสัยว่าสาวน้อยคนนี้เป็นใครมาจากไหนถึงได้รับรางวัลใหญ่ระดับประเทศไปได้

UNLOCKMEN มีโอกาสได้ไปออกเดทพูดคุยกับจูนจูน ด้วยประเด็นเกี่ยวกับความรักเพื่อต้อนรับวาเลนไทน์ ผู้ชายแบบไหนที่เธอรู้สึกถูกใจ อายุเพียงแค่ 21 ปี  แต่มุมมองความรักของเธอน่าสนใจ และดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัยมากทีเดียว รับรองว่าคุณจะหลงรักเธอไม่ต่างจากเรา

อัพเดทให้ชาว UNLOCKMEN ทราบหน่อยว่าชีวิตจูนจูนช่วงนี้ทำอะไรอยู่บ้าง

จริงๆ ช่วงนี้เรียนเป็นหลักค่ะ เพราะว่าตอนนี้อยู่ปี 3 แล้ว งานเยอะขึ้น เรื่องรับงานแสดงก็มีอยู่ ตอนแรกเนี่ย คุณพ่อจะเป็นคนรับงานให้ แต่พอเปลี่ยนให้มีผู้จัดการมาดูแลแทน ก็มีงานเยอะขึ้นคนติดต่อเข้ามาง่ายขึ้นสะดวกขึ้น ก็ยังรับงานอื่นๆ อยู่ตลอดค่ะ ไม่ว่าจะเป็นงานแสดงหรืองาน Event

แบบนี้งานก็เยอะขึ้น จูนจูนสามารถแบ่งเวลาได้เหรอ

คือจริงๆ มันปรับตัวได้ตั้งแต่ตอนเข้ามหาวิทลัยแล้วค่ะ ช่วงแรกที่เข้ามาตอนปี 1 ก็เป็นช่วงที่ถ่ายหนังพอดี งานก็เยอะ รับน้องด้วย ก็เลยชินกับการที่ต้องทำงานตลอดอยู่แล้ว ถ้าว่างจริงๆ มันก็ยังมีโปรเจ็คยิบย่อยที่เราก็จะอยากทำอยู่ดี ถึงงานเยอะมันก็ไม่ใช่แบบที่ไม่มีเวลาจนเครียดค่ะ

ทำงานเยอะขนาดนี้ มีเวลาได้พูดคุยกับหนุ่มๆ บ้างไหม มีหนุ่มกล้าเข้ามาจีบบ้างหรือเปล่า

ไม่มีนะ คือไม่มีแบบใครก็ไม่รู้เข้ามา ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบเพื่อนของเพื่อน ซึ่งเพื่อนของเพื่อนก็เท่ากับเพื่อน (หัวเราะ) ก็กลายเป็นเพื่อนหมด

แสดงว่าถ้าผู้ชายเข้ามาแบบเพื่อน ไม่ได้เดินเข้ามาจีบกันตรงๆ จูนจูนจะรู้สึกโอเคกว่า 

คือเราก็คงคุยกับคนที่เรารู้สึกว่าเค้าเป็น mutual friend อยู่แล้ว ต้องรู้สึกปลอดภัยนิดนึงว่า อ่อ มันมีที่มาที่ไปนะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาจากไหนไม่รู้แล้วก็แบบเออ จะจีบนะ ชัดเจนไปก็น่ากลัว ถ้ามาแบบขอเบอร์ได้ไหมครับ ก็คงกลัว แล้วก็เดินหนีอะ (หัวเราะ)

หนุ่มๆ ก็ต้องค่อยๆ หาวิธีเข้ามาสานสัมพันธ์แบบเพื่อน

ใช่ๆ ก็ต้องมาแบบเรารู้จักคนนี้นะ เคยทำงานอะไรกับใครมาก่อน ก็น่าจะทำให้เราสบายใจที่จะคุยด้วยมากกว่าค่ะ

ถ้าพูดกันตรงๆ ตอนนี้จูนจูนก็กลายเป็นเซเลบคนหนึ่ง เป็นเน็ตไอดอลหรืออะไรก็ตาม คิดว่าเราค่อนข้างปิดตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อนไหม เวลาที่ใครสักคนจะเข้ามาคุยด้วย

ไม่นะ คือไม่ได้คิดว่าตัวเองเปลี่ยนจากเดิมเลย หมายถึงไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นเซเลบด้วย และไม่ได้คิดว่าตัวเองเปลี่ยนจากที่เป็นตอนแรก คือก็ปฏิบัติต่อทุกคนที่เข้ามาเหมือนเดิมเลยค่ะ

Sofia Coppola

มาพูดถึงความชอบของจูนจูนกันบ้างดีกว่า ทราบมาว่า Sofia Coppola เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่จูนจูนชอบมาก หนังที่เขาสร้างก็ค่อนข้างมีความเป็นผู้หญิงอยู่สูง จูนจูนคิดว่าอะไรที่เรารู้สึกว่าคิดเหมือนเขา หรือตรงไหนที่ทำให้เรารู้สึกว่าคนนี้แหละไอดอล

เอาจริงๆ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าอะไรคือแก่นที่ทำให้เรามาชอบเขาขนาดนี้ ตอนที่เราอยู่ประมาณมอสามมอสี่ กำลังโต เริ่มวาดรูปทำงานของตัวเอง เริ่มมีความชอบของตัวเอง ก็นั่งคุยกับเฮียบาส (ผู้กำกับ Countdown) ซึ่งเป็นพี่ชาย เฮียบาสก็ฟังเราบ่นไปเรื่อยๆ แล้วก็ถามว่าจูนรู้จัก Sofia Coppola ไหม เธอเหมือน Sofia Coppola เลยนะ ตอนนั้นเราก็แบบตื่นเต้นมากเลยว่าแบบคนนี้คือใคร หลังจากนั้นก็เลยชอบมาเรื่อยๆ เราดูหนังเขากี่เรื่องก็ชอบ อีกอย่างหนึ่งคือเขาเป็นคนที่แบบแต่งตัวดีอะ เขาใช้ของดี แล้วเขาดูแบบออกมาดูดี โดยที่แบบไม่ต้องพยายามขนาดนั้น แต่งเหมือนคนทั่วไปเรียบๆ แต่ก็ใช้ของดีมาก เป็นผู้หญิงทำงานด้วยก็เลยชอบ

พูดถึงเรื่องสไตล์จูนจูนเองก็เรียนแฟชั่นดีไซน์ จูนจูนมองการแต่งตัวของผู้ชายเป็นอันดับแรกไหม รู้สึกว่ามันสำคัญขนาดนั้นหรือเปล่าว่าเขาต้องแต่งตัวเป็น

มองๆๆ มองหนักมาก (หัวเราะ) ไม่รู้ว่ามันเป็นข้อดีหรือข้อเสีย คือการเรียนแฟชั่นมันเป็นการเรียนศิลปะก็จริง มันเป็นการเรียนการออกแบบก็จริง แต่ด้วยความที่มันเป็นแฟชั่นอะค่ะ มันคือเปลือกนอกมากๆ ซึ่งบางทีเราก็มองว่ามันปกตินะ เพราะเราอยู่ในวงการแฟชั่นมันก็ไม่แปลกที่เราจะมองการแต่งตัวของคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญ แต่ว่าถ้ามาคิดดูดีๆ แล้ว มันก็แอบใจร้ายเหมือนกันนะ ที่เราชอบไปตัดสินคนจากแค่ภายนอกบ่อยๆ ก็พยายามปรับนะ เพราะไม่ได้รู้สึกว่าการที่ตัวเองเป็นแบบนี้มันดี แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเปลี่ยนได้ด้วยอะ น่าจะยากอยู่

แล้วสไตล์การแต่งตัวของผู้ชายแบบไหนที่จูนจูนมองว่าดี เห็นแล้วแบบนี้แหละใช่เลย

เราชอบผู้ชายที่แต่งตัวถูกกาลเทศะ แบบดูเรียบร้อย ดูสะอาด แต่ก็ไม่ได้เนี้ยบอะไรขนาดนั้น คืออาจจะเป็นเชิ๊ตแล้วถกแขนขึ้นมา กับกางเกงเข้ารูป แล้วก็รองเท้าผ้าใบที่แบบไม่ได้เว่อร์เกิน ไม่จำเป็นจะต้องเซตผม ใช้เจลแต่งผมหนักๆ ถึงเราจะเรียนแฟชั่น แต่เราก็ไม่ใช่คนแต่งตัวเยอะเลย เราว่าสุดท้ายก็คือ casual มากๆ minimal มากๆ

ก็คือถ้าผู้ชายแต่งแบบ minimal มาเลย ก็อาจมีชำเลืองนิดนึง

ใช่ๆ เราจะกลัวคนแต่งตัวเยอะ ไม่อย่างนั้นเขาจะดูแต่งตัวเยอะกว่าเรานะ แล้วในความรู้สึกเรา เราชอบที่เค้าไม่พยายาม เราชอบอะไรง่ายๆ แต่ดูดี

มองชิ้นไหนเป็นพิเศษไหม อย่างผู้หญิงบางคนเขาก็จะชอบมองรองเท้าก่อนเป็นอันดับแรก

ไม่มีนะ ไม่เคยคิดเลยอะ ทรงผมมั้ง มันแบบรวมๆ ทรงผมต้องไม่เกาหลี (หัวเราะ) ไม่ชอบแบบต้องตั้งใจเซตมากเลย จริงๆ ถ้าเขาดูดีแบบภาพรวม มันก็ดูดีแล้วนะ เราก็ไม่สามารถไปตัดสินได้จากจุดเดียว

Joseph Gordon-Levitt

แบบนี้จูนจูนมีดาราผู้ชายที่แอบปลื้มอยู่บ้างไหม

ชอบ Joseph Gordon-Levitt แต่เราก็ไม่ได้อินเรื่องลุคเขาขนาดนั้น คือลุคก็ส่วนหนึ่ง แต่รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่เท่มาก เขาไม่ได้เป็นแค่นักแสดงอะค่ะ ตอนแรกที่เริ่มรู้สึกว่าชอบคือจากเรื่อง 500 days of summer ดูแบบเท่ดี น่ารัก มีมุมแบบน่ารัก แต่ก็ดูเท่ได้ในเวลาเดียวกัน พอไปดูประวัติส่วนตัวจริงๆ ของเขา เขาก็ทำบริษัทโปรดักชั่นของตัวเอง ดูแบบเป็นคนทำงานไม่ใช่นักแสดงทั่วไป ก็เลยรู้สึกว่าเขาเท่ เป็นผู้ชายเก่ง

ซึ่งเขาก็ดูเป็นผู้ชายที่ไม่พยายามจนเกินงาม

ใช่เลย คือเขาไม่พยายาม แล้วก็ไม่กลัวตัวเองจะหลุดลุคหล่อ ไม่ว่าจะเล่นหรือพูดจา เขาก็ดูไม่ได้เก๊กมาก ในขณะเดียวกัน หน้าเขาลุคของเขาก็ยังแบบได้อยู่อะ!

แสดงว่าจูนจูนชอบผู้ชายมีทักษะ มีความสามารถ แล้วก็เป็นผู้ชายที่ทำงานเก่ง

ใช่ๆ มันสำคัญมากๆ เราเองก็อยากเป็นผู้หญิงทำงาน คือไม่รู้ว่าเรียกตัวเองเป็นผู้หญิงทำงานได้หรือยัง แต่เราก็เป็นคนที่แบบชอบหาอะไรทำ ชอบหากิจกรรมทำตลอด เราก็เลยคาดหวังว่าผู้ชายที่เราคบก็ต้องเป็นคนที่ชอบทำงานเหมือนกัน อย่างน้อยคือต้องไม่ว่างกว่าเรา เรากลับมองว่าเราโอเคกับการที่เขาต้องยุ่งกับงานทำงานบ่อยมากจนไม่คุยกับเรา มากกว่ามีเวลาให้เราตลอดเวลาแล้วแบบวันนี้ทำอะไรมาเจอกันได้ตลอด เราก็คงแบบ เห้ย หาอะไรทำหน่อยดีกว่าไหม (หัวเราะ) คือก็สามารถเช็คได้บ้างว่าเราทำอะไรที่ไหน แต่ก็ไม่ต้องถึงกับมาอยู่ด้วยกันกับเรา 24 ชั่วโมง

จูนจูนคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงแบบไหน เวลาเป็นแฟนกับผู้ชายสักคน คอยโทรตามไหม

เราว่าเราตามนะ แต่เราก็ไม่ค่อยมี reference ในเรื่องการคบกับคนเท่าไร คือเคยมีแฟนมาแค่คนเดียว ก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆ ตัวเองเป็นอย่างไร เคยฟังคนอื่นพูดเรื่องความรัก เราก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะคนอื่นเขาผ่านอะไรมาเยอะมาก แล้วเราเข้าใจว่า reference เดียวของเราจะกำหนดทุกอย่างที่จะเป็นไปต่อ ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ เรายังต้องเจออะไรเยอะมาก เราก็ไม่กล้าตั้งบรรทัดฐานว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นคนอย่างไร แล้วเราจะต้องเป็นคนแบบไหน เพราะเราอาจะเป็นคนแบบนี้ตอนคบกับคนนี้ แต่ถ้าเราคบอีกคนก็อาจจะเป็นแบบอื่นก็ได้ สำหรับคนนี้เราอาจจะดูละเลยไม่สนใจ กับอีกคนเท่านี้เขาก็อาจรู้สึกว่าเราเยอะแล้วก็ได้

วันแห่งความรักอย่างวันวาเลนไทน์สำหรับจูนจูน จำเป็นต้องมีดอกไม้ไหม แล้วถ้าเขาให้ก่อนวันหนึ่ง หรือหลังวันหนึ่งมันดูเป็นเรื่องที่เราซีเรียสขนาดนั้นหรือเปล่า 

เราว่าถ้าเรามีคนที่คบอยู่นะ เราก็คงอยากได้อะไรสักอย่าง ไม่จำเป็นต้องเป็นดอกไม้ อย่างน้อยก็ต้องทำให้รู้ว่าแบบเธอใส่ใจกับวันนี้ ไม่ถึงกับแบบว่าชิวจนไม่มีอะไรก็แค่วันๆ หนึ่งปะเธอ ขนาดนั้นก็อินดี้ไปหน่อย ส่วนให้ก่อนหรือหลังวันหนึ่งนี่เหตุผลคืออะไรอะ (หัวเราะ) คือถ้าเขามีเหตุผลเราก็โอเคนะ แบบวันนี้มันติดงานจริงๆ เพราะอย่างเราก็มีงานทำวันวาเลนไทน์ มันก็เมคเซนถ้าแบบเขาจะไม่ว่าง แต่ถ้าเลือกได้ก็อยากให้วาเลนไทน์มันมีสักอย่างไลน์มาบอกก็ได้ว่าวันนี้ทำอะไรอยู่

ก็ไม่ได้ปล่อยเซอร์ หรืออินดี้อะไรขนาดนั้น

เออ เราว่าเราไม่ใช่คนแมนขนาดนั้น เรามีความเป็นผู้หญิงอยู่อะ

จูนจูนบอกมีแฟนมาแล้ว 1 คน ถ้าอย่างนี้จูนจูนศรัทธาในเรื่องของความรักหรือยัง เชื่อไหมว่ามันช่วยผลักดันบางสิ่งบางอย่างในชีวิตของเราได้

ประเด็นเรื่องความเชื่อเรื่องความรักนี่มันแบบยากมากเลย คือเราจะโดนเถียงจากหลายคนมาเยอะมากเลยว่า จริงๆ แล้วเราสามารถเจอคนที่ใช่ทุกอย่างได้ เราสามารถเจอคนที่ทั้งสองฝ่ายเป็นตัวเองได้โดยที่ยังอยู่ด้วยกันได้ด้วย เราอยากเชื่ออย่างนั้นมากเลยนะ แต่เรารู้สึกว่าแบบที่ผ่านมาเราไม่เชื่อว่ามันจะมีเจ้าชาย แต่ขอย้ำว่าอยากเชื่อมากๆ เราไม่เชื่อว่าจะมีเจ้าชายเหมือนในนิยาย แล้วทั้งสองฝ่ายสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ เข้ากันดีได้ทุกอย่าง

“เรารู้สึกว่าสุดท้ายการอยู่ด้วยกัน คือการที่แต่ละคนไม่สามารถเป็นตัวเองได้ทั้งหมด มันคือการต้องยอมกันในบางเรื่อง มันคือการเสียสละบางอย่างเพื่อให้อยู่ด้วยกัน”  จะหารักแท้ในยุคปัจจุบันเนี่ยมันยาก การที่คุณ end up ด้วยการแต่งงานไม่ได้แปลว่าคุณจะเจอคนที่เข้ากับคุณได้มากที่สุด มันแค่เหตุผลอะไรบางอย่างที่เราเลือกว่าต้องเป็นคนนี้แล้ว สุดท้ายแล้วคือถ้าไม่มีการหย่าร้าง ก็อาจจะมีการนอกใจ ไม่มีการนอกใจก็อาจจะไม่ได้แฮปปี้ขนาดนั้น เรารู้สึกว่าคนที่จะอยู่ด้วยกันได้ก็ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง เราดูดาร์กในเรื่องนี้นะ ปัจจุบันคือคิดแบบนี้ อาจจะมีเปอร์เซ็นต์ที่แบบโอย แฮปปี้คู่แท้ แต่เราว่ามัน 0.00001% อะ ไม่ได้คิดว่าสามารถเจอกันได้ง่ายขนาดนั้น

การที่คนเราจะรักกันมันจำเป็นจะต้องมีเหตุผลบางอย่าง ไม่ใช่แค่รักอย่างเดียว

ใช่ ที่สำคัญคือมันต้องมี confict มีการขัดแย้ง แต่มันเป็นปมขัดแย้งที่ทั้งคู่รับได้ โอเค ฉันทนกับเธอ ณ จุดนี้ได้ คือมันก็อยู่เพราะรักแหละ แต่เรารู้สึกว่ารักมันมีวันหมดอายุ แล้วสิ่งที่ทำให้อยู่ต่อมันคือพันธะบางอย่าง ความผูกพันบางอย่างมากกว่า โห เศร้าอะ (หัวเราะ) แต่ว่าตอนนี้เรามองแบบนี้จริงๆ

เรื่องต้องห้ามในเดทแรกที่จูนจูนรู้สึกว่าไม่โอเคเลย ทำแบบนี้ฉันจะ Say No! ทันที

เราไม่ชอบคนที่แบบจ่ายค่าอาหารแล้วหารให้เราเลย คือยังไม่เคยเจอนะ แต่เพื่อนเคยเล่าให้ฟัง เพราะเราเป็นคนที่หารเองอยู่แล้ว เป็นคนที่ถึงจะคบกันแล้วเราก็ไม่ให้ใครเลี้ยง เราก็คงตกใจมากว่าทำไมแกเป็นฝ่ายหารให้เลย แค่เขาออกปากว่าจะเลี้ยงเราแค่ครั้งเดียว เราก็จะไม่ๆ แล้วอะ เดี๋ยวเราจ่ายเอง เราจัดการตัวเองได้อยู่แล้ว หนึ่งเราหาเงินได้ สองเขาไม่จำเป็นต้องจ่ายอะไรเพื่อเราเลยอะ เราไม่ได้ให้อะไรเขาเลยนึกออกปะ เราจะไม่ชอบมากถ้าผู้ชายจุกจิกเรื่องเงิน เพราะเรารู้สึกว่าอะไรนิดๆ หน่อยๆ เรายังจ่ายเพื่อเขามากกว่านี้ได้เลย เราไม่ถึงกับต้องหารพอดีด้วยซ้ำ สะดวกเท่าไรก็จ่าย เหมือนความเป็นเพื่อนกันอะ มันไม่ใช่แบบเธอต้องมาเลี้ยง ไม่ใช่คนจุกจิกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

แล้วถ้าเขาสปอร์ตมาก ใจปล้ำเหลือเกิน

ไม่ๆๆ ไม่ชอบให้ใครเลี้ยงอะ (น้ำเสียงหนักแน่น) เราไม่เคยให้ใครเลี้ยง พยายามจะปฏิเสธทุกครั้งจริงๆ ก็มียกเว้นวันเกิดได้ถือเป็นของขวัญให้เราก็โอเคเข้าใจได้

ชอบผู้ชายพูดมากหรือพูดน้อยในเดทแรก

เราไม่ชอบคนขี้ขายอะ อารมณ์แบบเราอย่างโน้นมา อย่างนี้มา เล่าได้บางประเด็น หรือกำลังคุยกันในเรื่องที่มันสามารถจะเล่าได้ถ้ามันถูกที่ถูกเวลา แต่ถ้าเป็นผู้ชายพูดน้อยเราก็คงคุยกับเขาได้ง่ายกว่า เพราะเราเป็นคนพูดมาก ก็น่าจะทำให้เขา open ได้ ชอบคนที่ฟังเรา เพราะเราก็เป็นคนที่แบบคิดไรก็อยากพูด จริงๆ ผู้หญิงไม่ได้พูดเพื่อต้องการคำแนะนำ ไม่ได้พูดเพื่อหาทางแก้ปัญหา แต่ตรรกะของผู้ชายจะรู้สึกว่าเขาต้องช่วยเราแก้ปัญหา ยิ่งถ้าเราเอาแต่พูดๆ เขาก็จะยิ่งรู้สึกว่าทำไมเราไม่ฟังวะ เราก็อยากจะบอกว่าสบายใจที่ได้พูดไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ

ฟังดูแล้วจูนจูนเป็นคนที่ค่อนข้างแฟร์ แบบนี้เวลาคบกับใครสักคน เรารู้สึกไหมว่าทำอะไรก็ต้องแฟร์ เธอทำได้ ฉันก็ทำได้

ถ้าเป็นเรื่องนอกใจ based on ความสัมพันธ์ครั้งที่แล้ว ก็มีเรื่องที่แบบทำไมเขาถึงทำในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าเราไม่โอเค ทำไมถึงคิดว่าตัวเองทำได้ เราก็นิสัยไม่ดีไง มีความเป็นเด็ก และมีความเป็นผู้หญิงอยู่สูง ก็เลยรู้สึกว่างั้นเราก็สามารถทำได้สิ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะทำให้เธอสบายใจหรือไม่ก็ตาม นั่นคือสิ่งที่เราเลือกทำไปแล้วนะ เราก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ครั้งต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะเราไม่รู้ว่าตัวเองจะเจอคนแบบไหน แต่ถ้าถามความคิดตัวเองตอนนี้ก็คงต้องบอกว่าไม่ได้รู้สึกดีนะที่เธอทำ ฉันเอาบ้าง มันก็แบบโง่ๆ หน่อยอะ บางทีเราอยู่ในความสัมพันธ์เราไม่สามารถใช้เหตุผลได้ขนาดนั้น

ถ้ามีผู้ชายอยากจีบจูนจูน แล้วใช้วิธีการส่งเพลงสื่อรัก เพลงแบบไหนที่เราจะถูกใจ

(หัวเราะ) ต้องเป็นเพลงสากลนะ แล้วก็ไม่ได้แมสมาก เก่าหน่อยก็จะดี เป็นเพลงที่เราไม่เคยฟังก็เวิร์ค เนื้อเพลงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องดูจีบกันขนาดนั้น แค่เป็นเพลงที่บอกว่าเขาชอบอะไรแนวไหน แต่ถ้าให้ดีคือควรถามเราก่อนว่าชอบฟังเพลงแบบไหน เป็นการแลกเปลี่ยนกัน คือมันไม่ใช่ยุคที่ส่งเพลงมาจีบอย่างเดียวแล้วอะ คุณต้องเนียนด้วยการแบบเธอชอบฟังเพลงแนวไหน แล้วก็แชร์ๆ กันมากกว่า

ช่วงนี้ความรู้สึกของจูนจูน ตรงกับเพลงอะไรอยู่

ตอนนี้อยู่ดีๆ ก็กลับมาชอบเพลง The Moon Song ที่ประกอบเรื่อง Her จริงๆ ชอบตั้งแต่ดูหนังจบแล้ว ช่วงนี้ชอบมาก ชอบถึงขั้นที่ไปขอให้ครูสอนเปียโนแกะโน็ตให้อยากจะเล่น (หัวเราะ) คือก็ไม่ได้อิน ไม่ได้จะมี OS อะไร แต่ว่ารู้สึกชอบเพลงแนวประมาณนี้ ชอบ Karen O อยู่แล้วด้วยค่ะ

ขอบคุณสถานที่ Ease Cafe, Flower in Hand และ Sis Me