Films

WE WERE BORN TO DIE! ชวนดู 5 หนังเกี่ยวกับความตาย ให้ผู้ชายได้กลับไปทบทวนชีวิตตัวเอง

By: unlockmen June 28, 2018

หลายคนอาจมองว่า “ความตาย” คือปลายทางของชีวิต จนไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้หากมันจะมาถึงเร็วกว่า “ปลายทาง” เนื้อเพลงจาก Blink 182  “Life is too short too last long.” ดูเป็นประโยคที่ไม่เกินจริงสักเท่าไหร่ เมื่อเราไม่อาจรู้ได้เลยว่า สิ่งที่แน่นอนอย่าง “ความตาย” จะมาเยี่ยมเยียนเราเมื่อไหร่ ถ้าหากมันมาแล้วมันมาถึงแล้ว เราไม่มีโอกาสที่สอง อาจไม่มีแม้โอกาสได้บอกลาใครเลยด้วยซ้ำ เอาเป็นว่า UNLOCKMEN ไม่ได้ชวนมาปลงสังขาร หรือนั่งเฝ้ารอความตายกันอย่างใจจดจ่อ แต่จะชวนมาดู 5 หนังเกี่ยวกับชีวิตและความตาย ดูจบก็อยากให้ผู้ชายอย่างเรากลับไปทนทวนเรื่องราวชีวิตตัวเอง เราคัดมาให้หลากหลายแนว หลายรสชาติ เพื่อตอบสนองรสนิยมการดูหนังของหนุ่ม ๆ ที่แตกต่างกันไป เลือกสักเรื่องที่ตรงใจแล้วไปทบทวนชีวิตพร้อม ๆ กัน

21 Grams (2003)

Director : Alejandro G. Iñárritu

หนังเล่าเรื่องราวของความตายหลากหลายรูปแบบผ่านตัวละคร 3 คน ตัวละครที่เป็นกุญแจสำคัญอย่าง Paul Rivers (Sean Penn) ประสบอุบัติเหตุและต้องการหัวใจใหม่ มองดูเป็นความหวังที่ริบหรี่เอามาก ๆ เพราะหัวใจมันไม่ใช่ของซื้อของขายที่หากันได้ง่าย ๆ แต่แล้วความหวังของเขาก็สว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมีคนบริจาคหัวใจให้เขา นั่นคือ Cristina (Naomi Watts) ที่เลือกบริจาคหัวใจของสามีตัวเองที่จากไปให้กับใครสักคน ที่หวังว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเขา หลังจากเธอเสียสามีไป ชีวิตของเธอก็เละเทะตามประสาของคนที่สูญเสียสิ่งที่ตัวเองรักไป และตัวละครสุดท้ายคือ Jack (Benicio Del Toro) ที่เข้ามาผูกเรื่องราวให้เราเห็นถึงเรื่องราวของความสูญเสียต่อการจากไป การใช้ชีวิตของคนที่ต้องอยู่ต่อบนความเจ็บปวด

หนังจะเล่าเรื่องสลับไปมา ถือว่าต้องตั้งใจดูระดับนึง ต้องชื่นชมการแสดงของทุกตัวละครด้วย ที่สามารถถ่ายทอดความเจ็บปวดออกมาให้เราได้รับรู้ได้แบบเรียลเอามาก ๆ หากดูจบรับรองว่าต้องได้อะไรบางอย่างกลับไปให้ขบคิดกันอย่างแน่นอน

Babel (2006)

Director : Alejandro G. Iñárritu

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกเอาไปเปรียบเทียบกับ 21 Grams บ่อยมาก ๆ ก็เพราะว่ามีผู้กำกับคนเดียวกันไงล่ะ เรื่องราวความสูญเสีย ความเจ็บปวดที่สะท้อนจากหลายมุมมองของตัวละคร ที่มีจุดเชื่อมโยงของปมความเจ็บปวดที่ยุ่งเหยิงที่ทุกคนต้องเผชิญนี้ คู่รักที่สูญเสียลูกไป จึงตัดสินใจออกไปเที่ยวโมร็อกโกเพื่อเยียวยาตัวเอง การเดินทางไปท่องเที่ยวนั้นเกือบจะไปได้ด้วยดี แต่แล้วกระสุนปริศนาดันวิ่งเข้าหาภรรยาของเขา และครอบครัวอีกซีกโลก สาวใบ้ที่อาศัยอยู่กับพ่อ หลังการจากไปของแม่ แต่เธอกับพ่อก็ไม่เคยอยู่ร่วมกันได้สนิทใจแบบครอบครัวอื่นเลย

อ่านเรื่องย่อดูก็อาจจะงง ๆ ว่าแต่ละตัวละครมันจะมาเกี่ยวกันได้ยังไง เอาเป็นว่าต้องลองดูเอง ไม่งั้นมันจะเข้าข่ายสปอยล์เอาได้ ความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละครที่วนเข้าหากันเป็นวงกลม จะทำให้เราเข้าใจถึงที่มาของความสูญเสียที่ถูกส่งต่อกันเป็นทอด ๆ ว่ามันแทรกซึมเข้าไปในจิตใจมนุษย์แล้ว มันไม่สามารถออกไปได้ง่ายเหมือนตอนมันเข้ามาเลย

The Curious Case of Benjamin Button (2008)

Director : David Fincher

ดื่มด่ำสีเอิร์ธโทนอันเป็นเอกลักษณ์จากผู้กำกับมือฉมังอย่าง David Fincher ที่จะมาเล่าเรื่องราวสุดพิศวงบนความโรแมนติก และทิ้งข้อคิดเกี่ยวกับชีวิตให้เราได้เอาไปนอนคิดกันต่อแม้หนังจะจบไป เรื่องราวของ Benjamin Button (Brad Pitt) เด็กหนุ่มที่ถูกทิ้งไว้ เขาเกิดมาผิดปกติอย่างที่ใครคาดไม่ถึง เกิดมาเป็นทารกแต่เขากลับมีสภาพร่างกายที่เหี่ยวย่น อวัยวะทำงานไม่ค่อยจะไหว เหมือนกับคนแก่วัยเกษียณ แต่พอเขาเติบโต เขากลับมีร่างกายที่หนุ่มขึ้นทุกวัน พูดง่าย ๆ คือร่างกายของเขาเหมือนอายุกลับหลังนั่นเอง จากแก่ไปเด็ก แต่ความผิดปกติของเขาทำให้เขาตัดสินใจออกเดินทางไปใช้ชีวิตเรื่อย ๆ จนเขาได้พบเจอกับเรื่องราว เพื่อน ประสบการณ์ใหม่ ๆ เกินกว่าที่ใครจะนึกออก จนกระทั่งเขาพบกับ Daisy (Cate Blanchett) เพื่อนวัยเด็กของเขาอีกครั้ง ทั้งคู่ตัดสินใจใช้ชีวิตด้วยกัน ความหอมหวานของความรักพาให้พวกเขาไปไกลจนลืมว่า ความผิดปกติของ Benjamin จะส่งผลยังไงกับชีวิตของเขา ที่เหลือต้องมาดูกันเอาเองแล้วว่าพวกเขาจะเอายังไงกับชีวิตต่อ

หนังไม่ได้เน้นหนักไปที่ความรักมากสักเท่าไหร่ การใช้ชีวิตคู่เป็นอีกส่วนหนึ่งของชีวิต Benjamin เท่านั้นเอง หนังจะเน้นไปที่การผจญภัย การใช้ชีวิตของ Benjamin แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการผจญภัยที่หวือหวา แต่ถือว่าเป็นประสบการณ์ดี ๆ ที่หลายคนไม่มีโอกาสได้ออกไปทำ Brad Pitt ในเรื่องนี้คือโคตรของความเท่ ทั้งไลฟ์สไตล์ ทั้งแฟชั่น ทุกอย่างส่งให้ตัวละครมีเสน่ห์แบบเหลือร้าย แถมโทนสีของเรื่องนี้เป็นอะไรที่ดีมาก ๆ ก็ตามสไตล์ผู้กำกับเขานั่นแหละ ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่กระตุกต่อมความคิดเราได้ดีเหมือนกัน

 The Age of Adaline (2015)

Director : Lee Toland Krieger

หากดูแค่โปสเตอร์อาจจะคิดว่าเป็นหนังรักเลี่ยน ๆ สักเรื่อง บอกเลยว่าไม่ใช่ทั้งหมด ถูกต้อง! นี่คือหนังรัก แต่เป็นหนังรักที่ไม่ได้เลี่ยนเหมือนเรื่องอื่น ๆ แถมมีพล็อตที่เจ๋งพอที่จะชวนให้เราติดตามไปเรื่อย ๆ จนถึงสิบนาทีสุดท้ายเลยด้วย เรื่องราวของ Adaline Bowman (Blake Lively) หลังจากเธอประสบอุบัติเหตุ ทำให้ร่างกายของเธอหยุดอยู่ที่เดิม นั่นคือไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเธอกลับไม่แก่ขึ้นเลย (แต่ก็ยังเป็นคนปกติที่เจ็บได้ตายได้ ไม่ได้หมายถึงไม่มีวันตาย) ซึ่งเหตุผลที่หนังมารองรับนั้นอิงไปทางวิทยาศาสตร์จ๋าแบบตัดเรื่องเหนือธรรมชาติทิ้งไปเลย เธอใช้ชีวิตผ่านปีแล้วปีเล่า เปลี่ยน ID เปลี่ยนที่อยู่ของตัวเองทุก ๆ สิบปี จนกระทั่งเธอได้เจอกับ Ellis Jones (Michiel Huisman) ที่เข้ามาทำให้กำแพงในใจของเธอต้องพังทลายลง เมื่อเธอไม่มีวันแก่แต่เขาไม่อาจอยู่กับเธอไปได้ตลอดชีวิต เนื่องด้วยอายุขัยของคนปกติที่ต้องดับสลายไปตามเวลา ทำให้เธอต้องเลือกว่ารักครั้งนี้จะไปต่อยังไง

เรื่องนี้อยากให้ลองดูจริง ๆ เพราะมันไม่ได้เลี่ยน ไม่ได้มีฉากสวีทแบบหนังวัยรุ่นอะไรทำนองนั้นเลย เนื้อเรื่องดำเนินไปไว เล่าเรื่องราวได้ไม่น่าเบื่อ แถมตอนสุดท้ายยังมีจุดขยี้ให้นางเอกของเราต้องกล้ำกลืนกับความรักครั้งนี้เข้าไปใหญ่ จะเป็นยังไงไปดูกัน ดูเพลิน ๆ ไม่เครียดอะไรมาก เหมาะแก่การนอนดูในวันหยุดกับสาวนักเชียว

 Me Before You (2016)

Director : Thea Sharrock

เรื่องนั้นไม่เลี่ยน แต่เรื่องนี้สิเลี่ยนจริง แต่ก็ต้องเข้าใจว่าหนุ่มที่รักความโรแมนติกก็ยังมีอยู่ เลยอยากเอาเรื่องนี้มาแนะนำ เพราะแม้ว่ามันจะเลี่ยนแค่ไหน หนังเรื่องนี้ก็ยังมีประเด็นให้ขบคิดกันต่อในประเด็นปรัชญาเกี่ยวกับความตาย สิทธิ์ของการมีชีวิตหรือเลือกที่จะไม่มีชีวิตนั้น อยู่ที่เจ้าของร่างกายจริง ๆ หรือไม่ เรื่องของ Will Traynor (Sam Claflin) หนุ่มรูปหล่อพ่อรวย หน้าที่การงานดี ชีวิตสุดจะเพอร์เฟ็กต์ วันนึงดันประสบอุบัติเหตุทำให้เขาต้องใช้ชีวิตบนรถเข็นไปตลอดชีวิต แม้จะกายภาพบำบัดแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น เขาตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตต่ออีกเพียงหกเดือน จนเขาได้ผู้ช่วยคนใหม่เข้ามาเติมเต็มชีวิตให้เขาอีกครั้งอย่าง Lou Clark (Emilia Clarke) หรือแม่มังกรจาก GOT นั่นเอง หนังก็จะเล่า ๆ ความรักของทั้งคู่ไปเรื่อย ๆ มาดูกันว่าสุดท้ายแล้วความรักของนางเอกจะช่วยให้พระเอกยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่

สุดท้ายแล้วความตายยังคงเป็นสิ่งที่เราไม่อาจหนีพ้น ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด การใช้ชีวิตให้คุ้มค่าตามที่ตัวเองอยากมี แบบไม่ต้องเสียดายหากตายไปแล้วยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง คงเป็นอีกเป้าหมายของชีวิตที่เราควรทำและพึงระลึกไว้เสมอ

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line