แม้หลายคนจะยอมรับได้แล้วว่า “ชีวิตไม่ยั่งยืน” ยังไงสักวันหนึ่งเราก็ต้องตายจากคนที่เรารักไป แต่ในใจของเรากลับพยายามหนีจากความตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะมนุษย์จะกลัวความตายเป็นธรรมชาติ เราเลยพยายามใช้ชีวิตกันอย่างระมัดระวังที่สุด เพื่อให้ชีวิตของตัวเองยืนยาว ซึ่งเป็นเรื่องที่เฮลตี้ แต่บางคนอาจได้รับผลกระทบจากความกลัวมากเกินไป จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ซึ่งเดี๋ยวเราจะอธิบายในช่วงท้ายของบทความว่าจะมีวิธีอะไรบ้างในการรับมือกับ ‘อาการกลัวความตาย’ มากเกินไปเพื่อให้เรากลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ดั่งเดิม ที่มาที่ไปของอาการกลัวตาย อาการกลัวตาย (หรือ thanatophobia) เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงตั้งแต่สมัย ซิกมันด์ ฟรอยด์ แล้ว และมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อ เอิร์นเนส เบกเกอร์ มนุษยวิทยา ได้เสนอว่า มนุษย์ทุกคนกลัวตาย เพราะไม่สามารถยอมรับความคิดเกี่ยวกับการตายหรือความตายได้ จนเป็นที่มาของทฤษฎี Terror Management Theory (TMT) ซึ่งอธิบายว่า มนุษย์ต้องต่อสู้กับความขัดแย้งภายในตัวเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความขัดแย้งว่านี้ คือ ความขัดแย้งระหว่างความปราถนาที่จะมีชีวิตอยู่ และการรับรู้ว่าความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การรับรู้ว่าสักวันหนึ่งเราต้องตาย กระตุ้นให้มนุษย์พยายามรักษาความเชื่อหรืออุดมการณ์ของตัวเองไว้อย่างหนาแน่น เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเรารู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมีความหมาย เลยจำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมัน นอกจาก TMT แล้วยังมีทฤษฎีอื่น ๆ ที่พยายามอธิบายอาการกลัวตายเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น Separation Theory ที่พยายามชี้ว่า ประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลต่ออาการกลัวความตายในวัยผู้ใหญ่
หลายคนอาจมองว่า “ความตาย” คือปลายทางของชีวิต จนไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้หากมันจะมาถึงเร็วกว่า “ปลายทาง” เนื้อเพลงจาก Blink 182 “Life is too short too last long.” ดูเป็นประโยคที่ไม่เกินจริงสักเท่าไหร่ เมื่อเราไม่อาจรู้ได้เลยว่า สิ่งที่แน่นอนอย่าง “ความตาย” จะมาเยี่ยมเยียนเราเมื่อไหร่ ถ้าหากมันมาแล้วมันมาถึงแล้ว เราไม่มีโอกาสที่สอง อาจไม่มีแม้โอกาสได้บอกลาใครเลยด้วยซ้ำ เอาเป็นว่า UNLOCKMEN ไม่ได้ชวนมาปลงสังขาร หรือนั่งเฝ้ารอความตายกันอย่างใจจดจ่อ แต่จะชวนมาดู 5 หนังเกี่ยวกับชีวิตและความตาย ดูจบก็อยากให้ผู้ชายอย่างเรากลับไปทนทวนเรื่องราวชีวิตตัวเอง เราคัดมาให้หลากหลายแนว หลายรสชาติ เพื่อตอบสนองรสนิยมการดูหนังของหนุ่ม ๆ ที่แตกต่างกันไป เลือกสักเรื่องที่ตรงใจแล้วไปทบทวนชีวิตพร้อม ๆ กัน 21 Grams (2003) Director : Alejandro G. Iñárritu หนังเล่าเรื่องราวของความตายหลากหลายรูปแบบผ่านตัวละคร 3 คน ตัวละครที่เป็นกุญแจสำคัญอย่าง Paul Rivers (Sean Penn) ประสบอุบัติเหตุและต้องการหัวใจใหม่ มองดูเป็นความหวังที่ริบหรี่เอามาก
บางครั้งเราอาจมองว่าความตายคือเรื่องไกลตัว เพราะยังคงมั่นใจในการใช้ชีวิตของตัวเองว่าคงไม่เป็นอะไรไปง่าย ๆ ไม่ใช้ชีวิตประมาท แค่นี้ก็อยู่ยาวเหยียบร้อยปีแล้ว แต่ความเป็นจริงมันมีปัจจัยภายนอกอีกร้อยแปดพันเก้าที่จะเข้ามาตัดทอนอายุเราไปได้แบบไม่ทันตั้งตัว เราไม่รู้เลยว่าเช้านี้ที่ตื่นขึ้นมาจะเป็นเช้าสุดท้ายของเราหรือเปล่า เราจะได้เดินผ่านร้านกาแฟเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่า หรือแม้แต่อาหารที่กำลังกินไปอ่านไปเนี่ย มันจะเป็นมื้อสุดท้ายของเราหรือเปล่า ท่ามกลางสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่อาจควบคุมได้เองทั้งหมด UNLOCKMEN จะพามาดูอาหารมื้อสุดท้ายของ 10 คนดังระดับโลกที่ล่วงลับไปแล้ว ที่บางคนก็รู้ตัวว่านี่คือมื้อสุดท้ายของเขา บางคนก็ไม่อาจรู้ได้เลย เศร้านะ ว่ามั้ย ? Socrates หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เอ่อ เรียกว่าคุ้นชื่อดีกว่า สำหรับ “Socrates” นักปรัชญาที่โผล่ไปในเลคเชอร์ของทุกวิชา อาหารมื้อสุดท้ายของเขาจะเรียกว่าอาหารก็คงเรียกไม่ได้เต็มปาก เพราะมันคือ “ยาพิษ” ที่เขาถูกตัดสินให้จบชีวิตตัวเองด้วยยาพิษซึ่งเป็นพิษจากต้น Hemlock ด้วยข้อหาที่ทำให้ผู้คนในเอเธนส์เสื่อมศรัทธาในศาสนา ดูเศร้าไม่น้อยที่การตั้งคำถามกับสังคมไม่เป็นที่ยอมรับเสียจนต้องจบชีวิตใครสักคน จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 มันสมองที่ฉลาดเป็นกรดทำให้นายพลในกองทัพสามารถพาตัวเองมาเป็นกงสุลเอกและขยับขึ้นมาเป็นจักรพรรดิของฝรั่งเศสในที่สุด และความรุ่งเรืองของพระองค์ไม่อาจเล่าได้ภายในหนึ่งพารากราฟ เอาเป็นว่าตัดภาพไปที่ช่วงสุดท้ายของชีวิต เพราะนี่คือคอนเทนต์เกี่ยวกับความตาย ช่วงสุดท้ายของชีวิตนโปเลียนถูกเนรเทศไปใช้ชีวิตที่เกาะ St. Helena และเช้าของวันที่ 5 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1821 เขาได้กินอาหารเช้าเหมือนในทุกวัน แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือพระองค์ไม่อาจรู้เลยว่านี่คืออาหารมื้อสุดท้ายของพระองค์ เช้านั้นพระกระยาหารเช้าคือ “ตับ เบคอน ขนมปังกระเทียม