Life

THE PROFILES: ดิเอโก มาราโดนา นักเตะในตำนานผู้มีประสบการณ์เฉียดตายนับไม่ถ้วน เพราะสารเสพติด

By: unlockmen November 26, 2020

ถือเป็นข่าวการสูญเสียคนสำคัญในวงการฟุตบอลโลก เมื่อ ดิเอโก มาราโดนา อดีตนักเตะในตำนานจากทีมอาร์เจนตินา ได้จากไปด้วยโรคหัวใจล้มเหลวในวัย 60 ปี ส่งผลให้แฟนบอลทั่วโลกตกอยู่ในสภาวะโศกเศร้าต่อการจากไปของเขาในครั้งนี้ รวมถึง นักฟุตบอลชื่อดังหลายคนต่างแสดงความโศกเศร้าเสียใจต่อการสูญเสียเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ลิโอเนล เมสซี่, เปเล่ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

หากใครไม่รู้จัก ดิเอโก มาราโดนา เราอยากบอกว่า เขาถือเป็นนักฟุตบอลคนหนึ่งที่หลายคนเรียกว่าเป็นผู้เล่นอัจฉริยะ ซึ่งได้สร้างผลงานที่โดดเด่นมากมายให้กับวงการฟุตบอล นอกจากนี้ประวัติของเขายังมีความเทา ๆ ด้วย ซึ่งในบทความนี้ เราอยากพาทุกคนไปรู้จักกับ ดิเอโก มาราโดนา มากขึ้นกว่าเดิม

 

ชีวิตของ ดิเอโก มาราโดนา ในวงการฟุตบอล

พูดถึงประวัติของ ดิเอโก มาราโดนา เขาเกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 1960 ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในเมืองลานุส ประเทศอาร์เจนติน่า เขาเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะยากจน มีพี่น้องที่เป็นนักบอลมืออาชีพ และได้เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 3 ขวบ

เมื่ออายุได้ 8 ขวบ ผลงานของเขาก็ได้เข้าตาแมวมองจากทีม ‘Los Cebollitas’ (“The Little Onions”) ซึ่งเป็นทีมเด็กที่มีผลงานดีเอาชนะการแข่งขันมาได้หลายรายการ หลังจากนั้นก็ได้ย้ายไปเล่นให้ทีมฟุตบอลเยาวชน Argentinos Juniors ต่อมาในปี 1976 เมื่อเขาอายุได้ 15 ปีปลาย ๆ ก็ได้ลงเล่นในฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชันครั้งแรก ในฐานะนักเล่นที่อายุน้อยที่สุดในการแข่งขันปริเมราดิบิซิออน และได้สร้างตำนาน ‘ลูกเตะระหว่างขา’ (nutmeg) ที่น่าจดจำในวงการฟุตบอลด้วย

L’Equipe

หลังจากเล่นให้กับทีม Argentinos Juniors เป็นเวลาประมาณ 5 ปี มาราโดนาก็ย้ายไปเล่นให้กับทีม Boca Juniors ในปี 1981 และทำผลงานเด่นมาตลอดไม่ว่าจะเป็น การทำหลายประตูในการแข่งขันระหว่างทีมฟุตบอล Boca Juniors และ ทีม Talleres de Córdoba พาทีมของเขาคว้าชัยด้วยแต้ม 4 -1 หรือ การทำแต้มสุดท้ายในการแข่งขันรายการซูเปอร์กลาซิโกครั้งแรกของเขา  ทำให้ทีม Argentinos Juniors สามารถเอาชนะทีมคู่แข้ง River Plate ไปได้ด้วยคะแนน 3 – 0

ต่อมาเขาก็ได้เล่นให้กับอีกหลายทีม ไม่ว่าจะเป็น บาร์เซโลนา นาโปลี รวมถึงทีมชาติอาร์เจนตินา และได้เข้าร่วมการแข่งขันเวิลด์คัพอีกหลายรายการ ซึ่งรายการที่สร้างชื่อเสียงให้เขามากที่สุด และทำให้เขากลายเป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้ คือ การแข่งขันเวิลด์คัพเมื่อปี 1986 ซึ่งจัดขึ้นในประเทศเม็กซิโก โดยในรอบ 8 ทีมสุดท้าย มาราโดนา ในตำแหน่งหมายเลข 10 ของทีมอาร์เจนตินา ได้พาทีมชาติคว้าชัยเหนือทีมชาติอังกฤษด้วยการทำแต้มคนเดียว 2 – 1  โดย ซึ่งประตูแรกมาจากการใช้มือกระแทกบอลกลางอากาศดันลูกฟุตบอลเข้าประตูของทีมอังกฤษไป ตอนนั้นยังไม่มีใครตัดสินได้ว่ามันฟาวน์หรือไม่ เพราะเทคโนโลยียังไม่ทันสมัยพอ การทำประตูในครั้งนั้นต่อมาถูกเรียกว่าเป็น ‘หัตถ์พระเจ้า’

ส่วนประตูที่สอง มาราโดนา ทำแต้มโดยการเลี้ยงบอลเป็นระยะทาง 60 เมตร ผ่านนักเตะอังกฤษหลายคน และสามารถยิงลูกฟุตบอลเข้าประตูของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสวยงาม ซึ่งต่อมาในปี 2002 การทำประตูในครั้งนี้ได้รับการโหวตจากเว็บไซต์ FIFA.com ว่าเป็น ‘ประตูแห่งศตวรรษ’ ผลงานของ มาราโดนา ในครั้งนี้ จึงทำให้ทีมอาร์เจนตินาได้เข้าสู่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศเจอกับทีมชาติเยอรมัน และสามารถคว้าแชมป์โลกมาได้ในที่สุด

หลังจาก มาราโดนา ได้วางมือจากการเป็นนักเตะลูกหนัง เขาได้ไปเป็นโค้ชให้กับทีมฟุตบอลหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ทีมชาติอาร์เจนตินา, Al-wasl, Fujairah, Dorados ฯลฯ ก่อนจะเข้ารับการผ่าตัดด้วยภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง และเสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพักของเขาในเมืองติเกร ประเทศอาร์เจนติน่า ในวัย 60 ปี


ชีวิตที่ไม่เรียบง่ายของดิเอโก

AP

เบื้องหลังผลงานที่สวยงามในวงการฟุตบอลของ ดิเอโก มาราโดนา อาจไม่ได้น่าพิสมัยเท่าไหร่นัก เขาเริ่มเสพติดโคเคนตั้งแต่ช่วงที่เล่นให้ทีมบาร์เซโลน่าในปี 1983 และหลังจากย้ายไปอยู่ทีม นาโปลี การเสพติดก็ยิ่งหนักข้อมากขึ้น จนเขาได้รับการลงโทษจากการเสพผงขาวครั้งแรกในปี 1991 โดย ทีมนาโปลี ได้สั่งห้ามให้เขาลงแข่งเป็นเวลา 15 เดือน หลังจากผลการตรวจโคเคนออกมาเป็นบวก และต่อมาในปีเดียวกัน เขาก็ถูกจับในเมืองบัวโนสไอเรส ข้อหาครอบครองโคเคนกว่าครึ่งกิโล พร้อมถูกตัดสินจำคุกโดยรอการลงอาญา เป็นเวลา 14 เดือน

3 ปีต่อมา เขาได้กลับมาร่วมทีมชาติอาร์เจนตินาอีกครั้ง และได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1994 ด้วย ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้พอสมควร จากการคว้า 1 ประตูจากทีมฟุตบอลกรีซ แต่เล่นได้เพียง 2 เกมส์ เขาก็ต้องถูกส่งตัวกลับประเทศ เพราะมีผลตรวจสารต้องห้ามอีเฟดรีนเป็นบวก พร้อมกับถูกสั่งห้ามลงแข่งเป็นเวลา 15 เดือน

หลังจากนั้นในปี 1995 เขาได้กลับไปเล่นให้กับทีม Boca Juniors แต่ไม่กี่ปีต่อมา เขาก็ต้องจบบทบาทในฐานะนักเตะ เมื่อผลตรวจยาเสพติดออกมาล้มเหลวอีกครั้ง ซึ่งในปี 1996 เขาได้ออกมายอมรับด้วยว่า ตัวเองเป็นไอ้ขี้ยาเสมอมา

telegraph.com

สารเสพติด และภาวะน้ำหนักเกินหลังจากยุติบทบาทในฐานะนักฟุตบอล รวมถึงอาการเสพติดแอลกอฮอล์ ได้ทำให้ มาราโดนา ต้องเจอกับประสบการณ์เฉียดตายหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งเขาโอเวอร์โดสโคเคน ต่อมา ในปี 2004 เขาต้องประสบกับภาวะหัวใจล้มเหลว หลังจากนั้นไม่กี่ปีต้องเข้ารับการผ่าตัดด้วยวิธี gastric bypass surgery และในปี 2007 เขาก็กลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งด้วยโรคไวรัสตับอักเสบ และได้เข้ารับการบำบัดอาการเสพติดในปีเดียวกัน

ถ้าจะถาม เหตุผลใดที่ทำให้นักเตะอัจฉริยะเข้าสู่วงการสารเสพติดได้ เหตุผลนั้นอาจจะเป็น ความสัมพันธ์ระหว่าง มาราโดนา และ แก๊งค์มาเฟียอิตาลีคามอร์ร่า โดยในปี 1991 มาราโดนา ได้ถูกจับในข้อหาพยายามจ้างหญิงบริการ 2 คนมาที่ห้องของเขาผ่านแกงค์มาเฟียในเวลาตี 3 หลังเจ้าหน้าที่ดักฟังสายโทรศัพท์ของเขา  ซึ่งต่อมา เขาได้เปิดเผยด้วยว่า เขาจัดปาร์ตี้โคเคนเป็นประจำตั้งแต่วันอาทิตย์ถึงวันพุธ โดยแกงค์คามอร์ร่าเป็นผู้ให้การคุ้มครองและจัดหาในสิ่งที่เขาต้องการสำหรับปาร์ตี้

อย่างไรก็ตาม แม้เบื้องหลังชีวิตของ มาราโดนา จะไม่ราบรื่นสวยงามเหมือนที่ใครหลายคนคิด ด้วยเหตุผลเรื่องสารเสพติด และความสัมพันธ์ของเขากับแกงค์มาเฟีย แต่ในฐานะนักฟุตบอลคนหนึ่ง เขาก็เป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม และเป็นตำนานที่ใครหลายคนต่างจดจำ และเมื่อทุกสิ่งมีดีมีร้ายปะปนกันไป ชีวิตของมาราโดนา ก็สะท้อนให้เราเห็นถึงความเป็นมนุษย์ในอีกด้านหนึ่ง


APPENDIXS: 1 / 2 / 3 

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line