Entertainment

ชวนดู 5 หนังทางแยกของชีวิต เมื่อความรักและความฝัน ไม่ใช่สิ่งที่ไปด้วยกันได้

By: unlockmen January 2, 2019

หลายคนคงเคยมีความรักที่สวยงาม เป็นเหมือนภาพอบอุ่นแสนประทับใจที่ยังคงฝังลึกอยู่ในความรู้สึก แต่ด้วยชีวิตที่การเติบโตบังคับให้เราเลือกทางที่ถูกต้องมากกว่าถูกใจ จึงจำต้องทิ้งใครบางคน สิ่งบางสิ่งไว้ข้างหลัง ไม่เว้นแม้แต่คนรักของเราเอง UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาดูเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้ ที่ถูกบีบบังคับให้เลือกระหว่างความฝันและความรัก เมื่อทั้งสองสิ่งอาจไม่ใช่สิ่งสามารถเดินไปได้บนทางเดียวกัน มาดูกันว่าพวกเขาจะตัดสินใจกับเส้นทางของชีวิตเขายังไง

Match Point (2005)

Director : Woody Allen

เรื่องราวของ Chris Wilton ครูสอนเทนนิสที่พยายามไต่เต้าตัวเองด้วยการเข้าหาสาวในสังคม Upper-Class อย่าง Chloe Hewett เมื่อความทะเยอะทะยานผลักดันให้เขาใช้ความรักเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อถีบตัวเองให้สูงขึ้น เมื่อความรักที่ไม่ได้เริ่มจากรักตั้งแต่แรกจึงทำให้เขาไปพัวพันกับสาวอื่นจนเกิดเรื่องยุ่งขึ้นมา เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปิดเรื่องนี้ไว้ เพื่อไม่ให้โดนถีบหัวส่งออกจาก Upper-Class ที่กระเสือกกระสนขึ้นมาได้

มาดูกันว่าเขาจะเลือกหนทางไหนระหว่างชีวิตที่มั่นคงหรือความฝันอันแสนหวานที่มีสาวเซ็กซี่คอยมอบความสวาทให้ทุกเมื่อเชื่อวัน รับประกันความเจ็บแสบของหนังด้วยชื่อของ Woody Allen ที่จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง แล้วมาดูกันว่าคนเรามันจะเห็นแก่ตัวได้สักแค่ไหนกัน

Revolutionary Road (2008)

Director : Sam Mendes

เมื่อความรักและความฝันมันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เราจะเลือกทางไหน ? โปรยมาแบบนี้เราอาจจะคิดถึงเรื่อง La La Land กันเป็นเรื่องแรก แต่ขอบอกว่าไม่อยากให้มองข้ามเรื่องนี้เลย เพราะนอกจากเนื้อหาที่เข้มข้นแล้ว เราจะได้ดูนักแสดงนำคู่บุญ Kate Winslet และ Leonardo DiCaprio ใบบทบาทของคู่รักที่แต่งงานกันแบบข้าวใหม่ปลามัน กำลังอยู่ในช่วงสร้างครอบครัว ความฝันของ April คือการได้เป็นนักแสดง แต่เมื่อเธอแต่งงาน เธอต้องเก็บความฝันของเธอเข้าลิ้นชักและกลายเป็นแม่บ้านเต็มตัว ส่วน Frank ก็พยายามจะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี จนต้องทิ้งความฝันของตัวเองไปเป็นพนักงานออฟฟิศ ทั้งที่ความจริงเขาเองก็ยังไม่ได้อยากเป็นเลยสักนิด 

เมื่อความสัมพันธ์ที่จริงจังมันเริ่มบังคับให้เราต้องเสียสละตัวตนออกไปทีละนิด จนเรารู้สึกโหยหาชีวิตจริง ๆ ของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้อยากจะพังความรักของตัวเองลง ความรักและความสับสนมันจึงตีกันจนยุ่งวุ่นวายไปหมด ปัญหาเล็กน้อยที่เคยถูกซ่อนไว้ใต้พรมเริ่มออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเราแทบจะไม่เชื่อว่านี่คือคนเคยรักกันแทบคลั่ง และต้องซูฮกให้กับการแสดงของทั้งคู่ ทั้งการแสดงความรักทางสายตา การปะทะคารมกัน ที่ทำให้เราเชื่อได้แบบสนิทใจว่าบทนี้คือเขาทั้งคู่ที่ใช้ชีวิตด้วยกันจริง ๆ

6 Years (2015)

Director : Hannah Fidell

รักที่อยู่มานาน ไม่ได้เป็นเรื่องการันตีว่ามันจะอยู่ตลอดไป เรื่องราวของคู่รักวัยรุ่นที่เป็นแฟนกันตั้งแต่ยังเป็นวัยกระเตาะ Melanie Clark สาวเจ้าอารมณ์ ผู้มอบความสนใจทั้งหมดไปให้กับแฟนหนุ่มอย่าง Dan Mercer แม้จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่ทั้งคู่ก็ประคับประคองความรักสุด Emotional มาได้จนถึงช่วงที่เราจะได้ดูในเรื่องนี้กัน คือปีที่หกตามชื่อเรื่อง ใครที่เคยมีความรักที่ฝังใจในช่วงวัยรุ่น รับรองว่าจะรักเรื่องนี้เป็นพิเศษ มันจะไม่ได้มีไดอะล็อกยืดยาวมากมาย เป็นเหมือนเราเดิมตามไปดูชีวิตคู่รักวัยรุ่นธรรมดาคนนึงเท่านั้นเอง ไปพิสูจน์ความหน่วงกันได้

จุดร้าวฉานมันอยู่ที่เมื่อมีฝ่ายหนึ่งนอกใจ แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้อยากแยกจากกัน ก็ต้องใช้ความรักที่ยังคงเหลืออยู่ ฉุดดึงกันและกันเอาไว้ และการที่จังหวะชีวิตมันมีเรื่องให้ต้องห่างกัน เรื่องราวของอนาคต การสร้างตัว เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้พวกเขาต้องทิ้งความรักแบบเด็ก ๆ ทิ้งไป และมาเป็นบททดสอบว่าทั้งสองจะจับมือกันได้แน่นแค่ไหน

La La Land (2016)

Director : Damien Chazelle

หนุ่มสาวผู้เปี่ยมไปด้วย Passion อัดแน่นอยู่ภายใน Mia สาวร้านกาแฟผู้มีความฝันเป็นนักแสดงและ Sebastian ที่อยากเป็นนักดนตรีแจ๊ซชื่อดัง เปิดบาร์แจ๊ซเป็นของตัวเอง ความสามารถ ความฝัน พลังแห่งวัยหนุ่มสาว ดึงดูดให้พวกเขามาเจอกัน และหลงใหลกันและกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทั้งคู่ใช้ความรักที่มีกันและกันช่วยเหลือกันให้อีกฝ่ายถึงฝั่งฝันไปเรื่อย ๆ จนเมื่อชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า ต้องเติบโต แต่ความรักไม่อาจก้าวไปพร้อมกันได้ เมื่อจำเป็นต้องเลือกสักสิ่ง ความรักและความฝัน มาดูกันว่าพวกเขาจะเลือกอะไร

เรื่องจะเล่าผ่านการร้องเล่นเต้นไปพร้อมเสียงเพลง ใครที่ไม่สันทัดทาง Musical อาจจะเบื่อเรื่องนี้กันเสียหน่อย แต่รับรองว่าความเข้มข้นของการแสดงและเนื้อเรื่อง ทำให้เราหายใจหายคอไม่สะดวกไปตามตัวละครเลยก็ว่าได้

Begin Again (2013)

Director : John Carney 

เพราะความฝันทำให้จำต้องปล่อยมือจากความรักไปอย่างน่าเสียดาย เรื่องราวแสนปวดร้าวของ Gretta (Keira Knightley) กับแฟนหนุ่มที่เป็นศิลปินชื่อดังอย่าง Dave (Adam Levine) ที่ต้องเลิกรากันไปด้วยเรื่องมือที่สาม การพบกันในบาร์ของ Gretta และ Dan (Mark Ruffalo) ผู้บริหารค่ายเพลงที่อยากดึงตัวเธอมาร่วมงานและหวังให้เธอเป็นศิลปินที่จะมาช่วยกู้วิกฤตในอาชีพของเขา เปลี่ยนชีวิตของทั้งคู่ที่ต่างมีเรื่องราวเจ็บปวดที่ต้องการเยียวยา ทั้งคู่ต่างใช้บทเพลงเพื่อให้ตัวเองได้สมหวังกับเรื่องราวในชีวิต แต่ละตัวละครต่างมีปมที่ขมวดแน่น เฝ้ารอการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากปมเหล่านั้นที่รั้งเอาไว้มาตลอด

ถือว่าดูง่ายกว่าเรื่อง Once เยอะอยู่เหมือนกัน เป็น Story และการถ่ายทอดที่เข้าถึงง่าย มีเพลงเพราะ ๆ ไม่แพ้กันได้ฟังตลอดทั้งเรื่อง แม้ฟังดูดราม่าจะเข้มข้น แต่พอได้ดูจริง ๆ มันจะ Flow ของมันไปเรื่อย ๆ แบบที่ไม่ชวนให้อึดอัดเลยแม้แต่น้อย (แถม Feel Good อีกด้วย)

เลือกสักเรื่องที่ถูกใจ แล้วมาดื่มด่ำไฟแห่งความฝันและความรักที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตของเราหอมหวานไปพร้อมกัน

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line