ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่ในที่สุดจะมีการประกาศภาคต่อ Squid Game 2 อย่างเป็นทางการ เพราะนี่คือหนึ่งในซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ Netflix แต่ที่น่าสนใจคือข้อมูลสำคัญของภาค 2 ที่แง้มมาพร้อมประกาศจาก Hwang Dong-hyuk ผู้กำกับและผู้สร้าง Squid Game ข้อมูลจาก memo ขอบคุณแฟน Squid Game ทั่วโลก แอบเปิดเผยว่าซีรีส์ภาคต่อจะมี Gi-hun พระเอกจากภาคแรก มี The Front Man ชายหน้ากากดำลึกลับ รวมถึง Gong Yoo ชายในชุดสูทกับเกม ddakji (ตั๊กจี) และตัวละครลับ Cheol-su แฟนหนุ่มของตุ๊กตา Young-hee ตุ๊กตา A E I O U ก็จะกลับมาเช่นกัน ต้องติดตามกันต่อไปว่าเกมใน season 2 จะเดือดและโหดแค่ไหน แม้ season แรกจะใช้เวลานานถึง 12
มาดูชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ลาออกจากมัธยมด้วยเหตุผลที่ว่า “ผมจะไปไล่ล่าความฝัน”
หากเอ่ยชื่อสตูดิโอหนังอินดี้อย่าง A24 คนดูหนังรุ่นใหม่ ไม่มีใครไม่รู้จักค่ายหนังที่อุดมไปด้วยผลงานสร้างสรรค์อันแสนท้าทาย เป็นหมุดหมายสำคัญของวงการอุตสาหกรรมหนังนอกกระแสที่น่าจับตาแห่งทศวรรษนี้ UNLOCKMEN จึงขอชวนคุณมาทำความรู้จักค่ายหนังคุณภาพค่ายนี้ ว่าเพราะอะไร เมื่อหนังถูกปะยี่ห้อด้วยโลโก้ A24 ถึงกลายเป็นหนังที่ทุกคนเชื่อมั่นว่าต้องเจ๋งอย่างแน่นอน บนทางมอเตอร์เวย์สาย A24 สู่เส้นทางสายหนังอินดี้ที่น่าจับตา A24 เกิดขึ้นในปี 2012 เมื่อเพื่อนซี้ทั้ง 3 Daniel Katz, David Fenkel และ John Hodges ที่รักในการดูหนังระดับฝังเข้าเส้น ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อตั้งสตูดิโออิสระโดยมีเป้าหมายที่จะกำหนดงานสร้างและทำการตลาดในรูปแบบที่แปลกและแตกต่าง Daniel Katz บอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นของชื่อ A24 อย่างเรียบง่ายนี้ว่า “พวกผมใฝ่ฝันมาตลอดที่จะทำสตูดิโอสร้างหนังอินดี้เล็กๆ พูดตามตรงตอนที่พวกเราตัดสินใจออกจากงานประจำที่ทำอยู่ก็กลัวไม่ใช่น้อยเช่นกัน จนกระทั่งพวกเราได้ขับรถไปยังกรุงโรม ขณะที่พวกเราอยู่บนถนนมอเตอร์เวย์ เราเหลือบไปเห็นป้าย A24 เราก็บอกพรรคพวกว่า “เฮ้…ถึงเวลาที่เราต้องทำแล้วว่ะ” ว่าแล้วตัดสินใจลาออก และใช้ชื่อนี้ตั้งบริษัทกันเลย” หาความแตกต่างและสร้างสรรค์ให้สุดขั้ว ผู้บริหารสตูดิโอทั้ง 3 มีความรักและชอบในหนังอินดี้ยุค 90s เข้าเส้นเลือด เขาค้นพบว่าเมื่อโลกหมุนเข้าสู่ศักราชที่ 2000s ดูเหมือนพลังสร้างสรรค์และความกล้าหาญของหนังอเมริกันอินดี้ถูกลดทอนลงอย่างน่าใจหาย “มันเริ่มไม่มีหนังที่เราอยากจะดูมันแล้ว
ตอนนี้ ไปที่ไหนก็มีแต่คนพูดถึง Multiverse หรือในภาษาไทยเรียกกันว่า “พหุจักรวาล” หรือ จักรวาลคู่ขนาน กันเยอะขึ้น โดยเฉพาะโลกของซูเปอร์ฮีโร่ในฮอลลีวู้ดที่ในช่วงปีที่ผ่านมา คำๆนี้ดูจะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่คนดูหนังสนใจไปเลย หากแต่ในฮอลลีวู้ดแล้ว โลกคู่ขนานไม่ได้เพิ่งมาเกิดในยุคนี้ แต่ถือกำเนิดมานานแสนนานแล้ว เรามาดูกันว่าที่มาของเทรนด์นี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และทำไมถึงกลายเป็นเทรนด์สุดฮิตของภาพยนตร์ในยุคนี้ ต้นกำเนิดของคำว่า “MULTIVERSE” “Multiverse” คำ ๆ นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงประเดี๋ยวประด๋าว แต่เกิดขึ้นมาแล้วนับร้อยปี เมื่อนักปรัชญาและนักจิตวิทยานามว่า William James ได้บัญญัติคำ ๆ นี้ไว้ในบทความที่ชื่อว่า “Is Life Worth Living” เมื่อปี 1895 เพื่อสนับสนุนแนวคิดที่ว่า “เราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อย่างโดดเดี่ยว และตัวตนของเราอาจจะกำลังโลดแล่นอยู่ในจักรวาลคู่ขนานที่แตกต่างก็เป็นได้” แต่คำๆนี้กลับมาฮิตอีกครั้งในยุค 70s เมื่อ Michael Moorcock นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดัง หยิบคำ ๆ นี้มาใช้ในนิยายแฟนตาซีเรื่อง The Eternal Champion จึงทำให้คำๆนี้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย นับแต่นั้นเป็นต้นมา แต่หากจะกล่าวว่า The Eternal Champion
ช่วงทศวรรษที่ 60s – 80s ประชาชนชาวอังกฤษในยุคนั้นไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ Jimmy Savile ชายหนุ่มใจดีที่เปรียบเสมือน “สมบัติของชาติ” ในทุกรายการที่เขาจัด ในทุกกิจกรรมที่เขาไป ล้วนสร้างแรงบันดาลใจ และแรงกระเพื่อมยิ่งใหญ่ให้กับผู้คนในยุคนั้นอย่างที่ไม่เคยมีใครคนไหนทำได้มาก่อน หากแต่เมื่อเขาตายไป จากสมบัติของชาติที่ทุกคนหลงใหล กลับกลายเป็นซาตานที่น่าขยะแขยง เมื่อมีคนรื้อฟื้นคดีสุดฉาวที่เขาได้ลงมือข่มขืน กระทำชำเรา และพรากผู้เยาว์โดยมีผู้เสียหายรวมกันร่วม 500 ราย และเรื่องราวของเขาถูกนำมาตีแผ่ในสารคดีสุดเข้มข้นที่ฉายใน Netflix ในชื่อ Jimmy Savile: A British Horror Story ผู้ชายที่มีด้านสว่างและด้านมืดแตกต่างอย่างสุดขั้ว Jimmy Savile ไต่เต้าจากดีเจคลื่นวิทยุท้องถิ่นในแถบลักเซมเบิร์กตั้งแต่ปี 1958 ถึง 1968 จนในปี 1968 เขาได้ถูกเชิญมาจัดรายการที่ช่อง Radio 1 สถานีวิทยุชื่อดังของสหราชอาณาจักร ในรายการ Savile’s Travels เขาได้เดินทางไปพบปะผู้คนทั่วทั้งสหราชอาณาจักร ด้วยสไตล์การจัดรายการที่จัดจ้านและแตกต่างกับดีเจท่านอื่นๆ ทำให้ Jimmy โด่งดังในเวลาอันรวดเร็ว และการเดินสายไปพูดคุยในที่ต่างๆ ทำให้เขาสะสมฐานแฟนคลับได้อย่างรวดเร็ว จากรายการวิทยุ Jimmy
ปัญหาที่ Netflix กำลังเจออยู่ตอนนี้ เรียกได้ว่ามาจากความสำเร็จอย่างสูงที่ตัวเองสร้างขึ้นมา การทำให้วัฒนธรรมดูหนัง Streaming กลายเป็นวัฒนธรรมหลักไปทั่วโลก เพียงแต่จากที่ Netflix เคยเป็น Streaming platform เจ้าใหญ่ที่เกือบจะกินรวบตลาด วันนี้กลับมีคู่แข่งที่น่ากลัวเกิดขึ้นมากมาย มีจุดเด่นด้าน Content ไม่แพ้ Netflix ในราคาที่ถูกกว่า หลายคนน่าจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับช่วงเวลาที่แสนท้าทายของ Netflix ในรอบ 10 ปี หุ้นก็ร่วง รายได้ก็ลด ลูกค้าก็ค่อย ๆ หายไป จนต้องเตรียมแผนจะจัดการกับระบบ password sharing ซึ่งตัว Netflix เคยเป็นคนบอกเองว่าดี แต่เรากลับมองว่าวิธีแก้ปัญหารายได้ด้วยการห้ามแชร์ password จะทำให้ผู้คนอยากจ่ายเงิน subscribe ให้ Netflix จริงหรือ? น่ากลัวว่าจะยิ่งยกเลิกแล้วไปสมัครเจ้าอื่นที่มี Original Content ดี ๆ ระดับคุณภาพ 4K อย่าง HBO Go, Disney+ ค่ายเจ้าของลิขสิทธิ์อย่าง Paramount,
ในช่วงเวลานี้ คงไม่มีอะไรที่ Talk of the Town มากไปกว่าการไต่สวนคดีที่ดังกระฉ่อนโลกระหว่าง Johnny Depp ที่ถูกอดีตคู่รัก Amber Heard นักแสดงสาวฟ้องหย่า พร้อมกับแฉพฤติกรรมแย่ๆในความสัมพันธ์ของทั้งสอง ที่ยืดเยื้อยาวนานมาตั้งแต่ปี 2017 ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา นับเป็นช่วงเวลาที่ Depp ต้องผจญความทรมานมิใช่น้อย จากที่เขาสูญเสียโอกาสทางการงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการโดนถอดออกจากบทบาทการแสดงในหนังหลายต่อหลายเรื่อง รวมไปถึงการเป็นจำเลยทางสังคมที่ทำให้เขากลายเป็นคนร้ายไปโดยปริยาย จนถึงตอนนี้ ที่ใกล้จะถึงข้อสรุปกันแล้ว และดูเหมือนยิ่งนานวัน ดูเหมือนสังคมจะเริ่มตีกลับ ทั้งเข้าใจและเห็นใจในตัว Johnny Depp มากยิ่งขึ้น Unlockmen จึงขอเสนออีกด้านหนึ่งของตัวตนของเขาที่คุณอาจจะไม่รู้มาก่อน เพื่อประกอบการตัดสินใจว่า ผู้ชายคนนี้ยังคงจะเป็นที่รักของคนดูหนังอยู่หรือไม่ จากครอบครัวที่แตกแยกและรุนแรง ที่ทดแทนด้วยความรัก ด.ช. Johnny Depp หรือในชื่อเต็มของเขา John Christopher Depp II แม้ว่าตระกูลของเขาจะเกี่ยวดองกับราชวงศ์อังกฤษในฐานะลูกพี่ลูกน้องคนที่ 20 ของ Queen Elizabeth ที่ 2 แต่ครอบครัวของเขาก็หาได้ใช้ชีวิตอย่างราบรื่นไม่ เขาต้องเจ็บปวดทางใจกับการเห็นพ่อและแม่ทะเลาะกันตั้งแต่เด็กจนนำไปสู่การหย่าร้าง และต้องเจ็บปวดทางใจเมื่อผู้เป็นแม่ใช้เขาเป็นที่ระบายอารมณ์อยู่เสมอ
หากกล่าวถึง Jackass วัยรุ่นระดับฮาร์ดคอร์ ไม่มีใครไม่รู้จักแก๊งเกรียนที่ชอบเสนอเรื่องราวเจ็บเนื้อเจ็บตัว พร้อมป่วนประสาทผ่านรายการเรียลลิตี้สุดฮาของช่อง MTV ในยุค 2000 นำทีมโดย Johnny Knoxville จนสร้างแฟนเดนตายและกลายเป็น Pop Culture สำคัญแห่งยุค และเลื่อนขั้นจากจอแก้วสู่จอเงิน ในสเกลที่ใหญ่และห่ามขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเพื่อต้อนรับหนังใหญ่เรื่องที่ 4 “Jackass Forever” เราจึงขอรวบรวมความเกรียนเฮี้ยนแตกของซีนที่ได้รับการโหวตว่า “โคตรคลาสสิค” ให้ชมเป็นการอุ่นเครื่องกันก่อน มาดูกันว่าตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมาพวกเขาได้สร้างความเฮี้ยนบนจอขนาดไหน และเราคงไม่จำเป็นต้องบอกว่า “การแสดงเหล่านี้เป็นความสามารถและความบ้าคลั่งเฉพาะตัว น้อง ๆ หนู ๆ ห้ามลอกเลียนแบบนจ๊ะ” Hi 5 ในตำนาน From: Jackass 3-D Hi 5 ในที่นี้ไม่ใช่โซเชี่ยลมีเดียยุคดึกดำบรรพ์ แต่เป็นการประสานมือทักทายเพื่อนฝูงตามแบบชาวตะวันตก สำหรับการ Hi 5 ของแก๊ง Jackass มีหรือจะธรรมดา ว่าแล้ว Knoxville ก็สร้างมือขนาดยักษ์ที่มีกลไกสามารถ High 5
จากนักแสดงขวัญใจวัยรุ่นที่ถูกนักวิจารณ์ปรามาสว่า “พอผ่านพ้นช่วงวัยรุ่น ต้องตกอับอย่างแน่นอน” แต่ Robert Pattinson กลับเลือกบทบาทที่แสนท้าทาย จนสามารถก้าวข้ามจากดาราขายหน้าตา เป็นนักแสดงขายฝีมือได้อย่างเหลือเชื่อ จากการรับเล่นหนังที่เน้นขายฝีมือและหนังอินดี้มามากมาย เขาได้แสดงฝีมือไปอีกขั้น กับบทบาทมนุษย์ค้างคาวเวอร์ชั่นใหม่ The Batman ที่ตีความมืดหม่นและสุดกรันจ์ เรามาดูพัฒนาการของผู้ชายคนนี้ แล้วคุณจะต้องทึ่งในบทบาทอันหลากแนวของเขา The Twilight Saga (2008-2012) แจ้งเกิดบทบาทเทพบุตรแวมไพร จากบทบาทเล็กๆที่ได้รับในหนังพ่อมด Harry Potter and the Goblet of Fire ในเวลาต่อมา Robert Pattinson ก็ได้รับโอกาสแบบก้าวกระโดดจากหนังที่สร้างจากนิยายขายดีของ Stephenie Meyer โดยได้รับคัดเลือกให้มารับบท Edward Cullen เทพบุตรแวมไพร์ที่มาหลงรักสาวน้อยปุถุชนคนธรรมดา จนเกิดเป็นสงครามระหว่างแวมไพร์กับแวร์วูล์ฟอีกหลายภาค แม้ว่าหนังจะทำรายได้รวมทั่วโลกทั้ง 5 ภาค สูงถึง 3.3 พันล้านเหรียญ จนกลายเป็นแฟรนไชส์ที่สร้างกำไรและเป็นหมุดหมายสำคัญแห่งยุคสมัยในช่วงกระแสหนังที่สร้างจากนิยาย Young Adult บูมก็ตาม แต่คุณภาพของหนังก็ค่อยๆถดถอยจนเป็นที่ชวนยี้ของเหล่านักวิจารณ์ ขนาด Robert
ในปี 2021 ที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Drive My Car หนังอาร์ตจากแดนอาทิตย์อุทัยที่มีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง คือปรากฏการณ์สำคัญที่สะเทือนวงการภาพยนตร์ ที่ไม่ใช่เพียงปลุกกระแสของหนังญี่ปุ่นให้เจิดจรัสบนเวทีโลกเท่านั้น แต่ยังพาตัวเองไปได้ไกลถึงเวทีใหญ่สุดอย่างออสการ์โดยเข้าชิงถึง 4 รางวัล โดยเฉพาะรางวัลใหญ่สุดอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เพราะอะไร ในยุคที่เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าแต่ความยาวของหนังเกือบ 3 ชั่วโมง ซ้ำยังไม่ใช่หนังที่หมู่คนดูแมสจะสนใจง่าย ๆ กลับกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ใครต่อใครต่างพูดถึง Drive My Car คือ 1 ในเรื่องสั้น Men without Women (แปลไทยในชื่อว่า ชายที่คนรักจากไป) ของนักเขียน Haruki Murakami ที่รวมความช้ำรักอันหลากหลายของชายหนุ่มที่ถูกพลัดพรากจากคนรัก ไม่จากเป็นก็จากตาย ซึ่งชื่อหนังสือ Men without Women นั้นได้มาจากหนังสือรวมเรื่องสั้นของ Ernest Hemingway อีกที ส่วน Drive My Car ตัว Murakami ก็อ้างอิงจากชื่อเพลงของ The