Entertainment

THE PROFILE: JOHNNY DEPP จากลูกเด็กเสิร์ฟ สู่ชีวิตที่เติบโตท่ามกลางแวดวงฮอลลีวู้ดที่ทุกคนเทใจให้

By: Chaipohn June 2, 2022

ในโลกแห่งภาพยนตร์คงไม่มีใครไม่รู้จักบทบาทที่ผู้ชายคนนี้ได้รับการแสดงอย่าง Captain Jack Sparrow ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ทุนสร้างสูงอย่าง Pirate of the Caribbean หรือจะเป็นบทบาทอื่น ๆ ที่โลกจดจำได้ไม่แพ้กัน อย่างเช่น Alice in the Wonderland, Charlie and The Chocolate

นอกจากทุนสร้างจะสูงแล้ว รายได้จากภาพยนตร์เหล่าทั้งหลายที่ Depp แสดงก็สูงไม่แพ้กัน ใน Pirate of the Caribbean ทำรายได้พุ่งสูงถึง 7,600 ล้านดอลลาห์สหรัฐทั่วโลก แต่ใครจะเชื่อว่าเขาคนนี้ไต่เต้าเข้ามาเติบโตใน Hollywood ด้วยความสามารถของเขาเอง ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวงการนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

และล่าสุด Johnny Depp ก็เป็นฝ่ายชนะ Amber Heard ในคดีฟ้องร้องที่กินเวลายาวนานถึง 6 สัปดาห์ เคลียร์ชื่อเสียงให้ตัวเองจากการเผยแพร่เนื้อหาหมิ่นประมาทโดยอดีตภรรยา หลังจากเจ้าตัวโดนแบนจากเกือบทั้งวงการ รวมถึงบทบาท Captain Jack Sparrow ของเขาด้วย ได้รับค่าเสียหายจาก Amber Heard เป็นเงินค่าเสียหายราว 15 ล้านเหรียญ

แต่สิ่งที่ทำให้เราได้เห็นตลอดระยะเวลา 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา คือการเป็นคนที่ชัดเจนในตัวตนของ Johnny Depp เอง การต่อสู้เพื่อภาพลักษณ์ของพ่อที่ดีในสายตาลูก ๆ รวมถึงการเป็นที่รักของบรรดากองเชียร์ที่ราวกับคนทั้งโลกเทใจเชียร์อย่างล้นหลาม

 

Jonny Depp เกิดที่เมือง Owensboro ในรัฐ Kentucky ปี 1963 โดยที่เขามีแม่เป็นบริกรร้านอาหาร และมีพ่อเป็นวิศวกรโยธา ด้วยหน้าที่การงานของพ่อ ทำให้เด็ปป์ในวัยเด็กต้องย้ายที่อยู่บ่อย ๆ ใช้ชีวิตไม่เป็นหลักแหล่ง เป็นเด็กที่ต้องเปลี่ยนที่อยู่มากกว่า 20 ครั้งเลยทีเดียว

จนกระทั่งในปี 1978 เมื่อเด็ปป์อายุเข้า 15 ปีบริบูรณ์ พ่อกับแม่ของเขาหย่าร้างกัน ซึ่งเด็ปป์พูดถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า “มันคือแรงบันดาลใจที่คอยผลักดันผม”

หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ แต่ความฝันแรกของนักแสดงผู้ประสบความสำเร็จในอนาคตคนนี้ไม่ใข่การเป็นนักแสดง แต่คือการได้เป็นร็อคแอนด์โรลสตาร์ต่างหาก

ความฝันนี้เริ่มขึ้นเมื่อเขาอายุได้ 12 ปี แม่ของเดปป์ซื้อกีต้าร์ให้เขาเป็นของขวัญวันเกิด และเจ้ากีต้าร์ตัวนี้ก็กลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่จับต้องได้ ทำให้เขาทุ่มเทฝึกเล่นฝึกซ้อมเพื่อจะไปเป็นร็อคสตาร์ให้ได้

จนกระทั่งเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี เดปป์ลาออกจากโรงเรียนมัธยม โดยให้เหตุผลว่าจะไปไล่ตามความฝันบนเส้นทางนักดนตรีร็อค ซึ่งอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนอาจจะมองเห็นศักยภาพ จึงสนับสนุนเด็ปป์ให้ไปไล่ตามความฝันนักดนตรีของตัวเองให้ได้ และนี่เองก็ถือเป็นอีกจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตเขาคนนี้

 

เด็ปป์เริ่มเล่นดนตรีกับวงที่ชื่อ Kids วงดนตรีในเมืองของเขาเอง ซึ่งในตอนนั้นถือได้ว่าเป็นวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จวงนึงในระดับท้องถิ่น จนกระทั่งได้มีแมวมองจากค่ายเพลงมาเห็นแววเข้า และชักชวนให้ไปร่วมอัดเพลงที่ Los Angeles เมืองแห่งโอกาสที่เหล่าศิลปินไขว่คว้าจะไปเยือนสักครั้ง

พวกเขาได้เปลี่ยนชื่อวงใหม่เป็น Six gun Method แต่เรื่องสุดช็อคก็เกิดขึ้น ก่อนจะได้อัดเพลงกลับมีปัญหาทำให้วงแตก แต่ละคนแยกกันไปคนละทิศละทาง ซึ่งเด็ปป์ถูกชักชวนจากวงดนตรีอีกวงหนึ่งชื่อ Rock City Angles ซึ่งเด็ปป์ตกลงและทำหน้าที่ร่วมเขียนเพลง “Mary” ให้กับวงล่าสุด ซึ่งเพลงนี้ได้ปรากฏอยู่ในผลงานเพลงของวงในอัลบั้ม Young’s Man Blues

ในปี 1983 เด็ปป์ก็ได้แต่งงานกับมือเบสของวงดนตรีที่เขามีส่วนร่วมด้วยอย่าง Lori Anne Allison ซึ่งเธอทำงานเป็นเมคอัพอาร์ติส ในที่สุดเธอก็ได้แนะนำสามีให้รู้จักกับ Nicolas Cage นักแสดงรุ่นใหญ่สุดเก๋า ซึ่งเคจก็เห็นแววทันที และเป็นคนแนะนำเด็ปป์ให้เริ่มต้นไล่ตามความฝันทางด้านการแสดง คำแนะนำของภรรยาและดารารุ่นเก๋า ช่วยเปิดประตูด่านแรกสู่วงการนักแสดง ถึงแม้เธอกับเขาจะเลิกรากันในเวลาต่อมาก็ตาม

 

ในที่สุดชีวิตด้านการแสดง ของเด็ปป์ก็เริ่มต้นขึ้นในปี 1984 กับภาพยนตร์เรื่อง A Nightmare on Elm Street  ตามมาด้วยภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

ในปี 1987 เขาได้มีโอกาสแสดงในซีรีส์ของค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Fox ในเรื่อง 21 Jump Street ซึ่งซีรีส์นี้ได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้เด็ปป์กลายเป็น Teen Idol แห่งยุค ’80s ไปโดยปริยาย เกิดเป็นกระแสฟีเวอร์เด็ปป์ขึ้นในทันที เด็ปป์ได้รับโอกาสขึ้นเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้ามากมาย ทำให้หน้าตาของเขาพบได้เต็มไปหมดตามท้องถนนต่างๆ

จุดเปลี่ยนของเขาอีกจุดหนึ่งก็คือ เขาได้มีโอกาสมารับบทเป็นตัวเอกในภาพยนตร์เรื่อง  Edward Scissorhands ของผู้กำกับชื่อดัง Tim Burton ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้หลังจากนั้น เด็ปป์และทิมก็สนิทสนมกันเป็นการส่วนตัวตลอดมา ถึงขั้นยกตำแหน่งหน้าที่ดีลงานให้กับทิมเป็นผู้จัดการอีกด้วย

หลังจากนั้นเด็ปป์ได้เล่นภาพยนตร์ใหญ่ ๆ ร่วมงานกับทิมอีกหลายเรื่อง ภาพยนตร์เรื่อง Ed Wood เป็นภาพยนตร์ที่ฉายแสงใส่เด็ปป์อีกครั้ง ทำให้เขาถูกเสนอชื่อชิงรางวัล Golden Globe Awards ในสาขานักแสดงยอดเยี่ยม และสาขา Motion Picture Musical or Comedy จากผลงานการร้องเพลงในเรื่องอีกด้วย

จากภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาถูกหนังสือพิมพ์ The New York Times ชื่นชมว่า “เด็ปป์ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่าเขาคู่ควรกับอาชีพการแสดง”

ในช่วงปี 1994-2002 เด็ปป์โลดแล่นอยู่ในวงการฮอลลีวูดอย่างเต็มตัว เขามีผลงานภาพยนตรและซีรีส์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น  Dead Man (1995), Don Juan DeMarco (1995), Donnie Brasco (1997), Fear and Loathing in Las Vegas (1998), The Ninth Gate (1999), Sleepy Hollow (1999), The Astronaut’s Wife (1999), Before Night Falls (2000), Chocolat (2000), Blow (2001), From Hell (2001)

ในปี 2003 โดยเขาได้มีโอกาสถูกรับเลือกให้เล่นในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง Pirate of The Caribbean โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ทำเงินอย่างมหาศาลอย่างที่กล่าวไว้แล้วในตอนแรก ซึ่งเด็ปป์ได้ค่าตัวจากการแสดงเป็น “กัปตันแจ็ค” เป็นเงินมากถึง 300 ล้านดอลลาห์สหรัฐ และกลายเป็นไอคอนของเรื่อง ที่ทำให้เด็ก ๆ ทั่วโลกหลงรักคาแรคเตอร์นี้ของเด็ปป์เข้าอย่างจัง

ปัจจุบัน จอห์นนี่ เด็ปป์ มีค่าตัวการแสดงภาพยนตร์ต่อเรื่องสูงถึง 20 ล้านดอลลาห์สหรัฐ โดยราคานี้ยังไม่รวมเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่ง หากยอดหนังมีผลกำไรหลังหักค่าใช้จ่าย ในขณะเดียวกันเด็ปป์ก็มักจะนำเงินรายได้มาบริจาคการกุศลอยู่บ่อยๆ รวมถึงยังหาเวลาแต่งตัวเป็น Captain Jack ไปเซอร์ไพรส์ให้กำลังใจเด็ก ๆ ในโรงพยาบาล ว่ากันว่าในกองภาพยนตร์เรื่อง Pirate of The Caribbean เขาก็เป็นคนควักกระเป๋าออกเงินซื้อเสื้อกั๊กกันหนาวให้กับทีมงานด้วยตัวเอง เพราะมีฉากที่ทรหดขนาดต้องยกกองกันไปถ่ายถึงถิ่นขั้วโลก

 

ชีวิตของ Johnny Depp เรียกได้ว่าเป็นคนที่ทำอะไรเต็มที่ มีความเชื่อมั่นใจตัวเองสูง และเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นอยู่เสมออ เป็นอีกหนึ่งชีวิตที่ไต่เต้าไล่ล่าหาความฝันของตัวเองจนพบ และเขายังพิสูจน์ให้เราเห็นด้วยว่า ความฝันไม่จำเป็นที่จะต้องมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การรับฟังคำแนะนำจากคนอื่นที่มองเห็นศักยภาพของเรา ก็อาจจะช่วยเปิดเส้นทางสู่ความสำเร็จแบบ Johnny Depp ก็ได้

 

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line