CARS

‘FERRARI F40’ ย้อนรู้จักซูเปอร์คาร์คันสุดท้ายที่ผ่านวิสัยทัศน์ของเอ็นโซ่ เฟอร์รารี่

By: SPLESS December 15, 2020

“ผมยังจดจำได้ว่า เอนโซ่ เฟอร์รารี่ เข้ามาพูดคุยกับผม เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินความปรารถนาในการสร้างรถยนต์ที่แสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงของเฟอร์รารี่ ขณะเดียวกัน ผมก็รู้ได้ในเวลาเดียวกันว่า นี่จะเป็นรถคันสุดท้ายในชีวิตของชายที่ชื่อ เอ็นโซ่ เฟอร์รารี่”

  • Leonardo Fioravanti กล่าวถึงการสนทนาที่กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของ Ferrari F40

Enzo Ferrari และ Piero Ferrari ในงานวันเปิดตัว F40 ภาพจาก motorauthority

ถ้าหากพูดถึงเรื่องราวของซูเปอร์คาร์จากค่ายรถสุดแรงสัญชาติอิตาเลียนนามว่า เฟอร์รารี่ เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนคงมีโมเดลรถยนต์จากค่ายม้าลำพองที่ชื่นชอบเป็นการส่วนตัวอยู่หลายรุ่น อย่างไรก็ตาม หนึ่งในรถยนต์รุ่นไอคอนอย่าง Ferrari F40 ถือเป็นซูเปอร์คาร์ที่ถูกจดจำได้มากที่สุด ทั้งจากงานดีไซน์ที่มีสวยงามมีเอกลักษณ์ อย่างไรก็ตาม รถยนต์คันสุดท้ายในชีวิต ชายผู้ก่อตั้งค่ายเฟอร์รารี่คันนี้ ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากมาย และวันนี้เราจะพาทุกคนไปย้อนทำความรู้จักกับจุดเริ่มต้นของซูเปอร์คาร์คันนี้ รวมถึงความพิเศษที่ทำให้มันกลายเป็นตำนานบนท้องถนนมาจนถึงปัจจุบัน

sportsclassicslondon

 288 GTO Evoluzione

เรื่องราวของ Ferrari F40 เริ่มต้นขึ้นในปี 1984  เมื่อ Nicola Materazi หัวหน้าทีมวิศวกรผู้รับหน้าที่พัฒนาแผนกรถสปอร์ตและรถแข่งของเฟอร์รารี่ ได้เสนอไอเดียให้เอ็นโซ่ เฟอร์รารี่ เลือกใช้เครื่องยนต์ที่ใช้ในการแข่งขัน Group B ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขนาด 2.857 ลิตร Turbocharged เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของรถยนต์รุ่นที่ใช้บนท้องถนนของค่าย เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเฟอร์รารี่มียอดขายที่รถน้อยลง โดยหนึ่งในเหตุผลคือรถยนต์ของพพวกเขา นุ่มนวลเกินไปและไม่มีความดิบหลงเหลืออยู่

Nicola Materazi วิศวกรคู่บุณของเอ็นโซ่ ภาพจาก Scuderia Ferrari Club Riga

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้น เอ็นโซ่ เฟอร์รารี่ ไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจใส่ในส่วนควบคุมการผลิต Nicola Materazi จึงต้องได้รับการอนุณาตจาก Eugenio Alzati ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไป ก่อนพวกเขาจะได้รับคำตอบตกลงโดยมีข้อแม้ว่า โปรเจกต์ของพวกเขาต้องเป็นงานที่ทำนอกเหนือเวลาทำงานปกติของโรงงาน (จันทร์-ศุกร์) Nicola Materazi จึงเริ่มต้นโปรเจกต์พัฒนารถคันใหม่โดยใช้ช่วงวันเสาร์และวันอาทิตย์และทีมงานเพียงหยิบมือ

ในเวลาต่อมา FIA ได้ประกาศยกเลิกการแข่งขัน Group B ทำให้เอ็นโซ่ เฟอร์รารี่และทีมงานมีรถแข่งอย่าง Ferrari 288 GTO Evoluzione หลงเหลืออยู่จำนวน 5 คัน โปรเจกต์ในการพัฒนารถคันใหม่จึงมีต้นแบบให้เริ่มลงมือทดลอง อย่างไรก็ตามเอ็นโซ่ เฟอร์รารี่ ให้โจทย์และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า โปรเจกต์พัฒนารถคันใหม่จะสามารถพัฒนาให้เป็นรถยนต์ที่เหมาะสมกับการเดินทางมากขึ้น และยังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะกลายเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายที่ตัวเขาได้ฝากเอาไว้

Ferrari 288 GTO Evoluzione ภาพจาก Supercar Nostalgia

ทีมงานคุณภาพผู้ให้กำเนิด F40

หลังจากที่โปรเจกต์ได้รับการอนุมัติ Nicola Materazi ก็ไม่รอช้าและเริ่มรวบรวมทีมงานชั้นหัวกะทิของค่ายมาระดมสมองเพื่อพัฒนารถคันใหม่ เริ่มจากเรียกตัวนักออกแบบอย่าง Leonardo Fioranardo และ Piertro Camadella มาจาก Pininfarina มาช่วยดูในเรื่องงานดีไซน์​ ส่วนตัวเขาที่เชี่ยวชาญในเรื่องเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังจะเป็นคนพัฒนา เครื่องยนต์ กระปุกเกียร์รวมถึงชิ้นส่วนต่าง ๆ โดยวันที่ 10 มิถุนายนคือวันที่โปรเจกต์ F40 เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการซึ่ง เอ็นโซ่ เฟอร์รารี่ ให้เวลาพวกเขาเพียง 11 เดือนเพื่อให้ทันการเปิดตัวในช่วงฉลองครบรอบ 40 ปีของค่ายรถยนต์ที่ตัวเขาเป็นผู้ก่อตั้งขึ้น

Leonardo Fioranardo และ Piertro Camadella 2 นักออกแบบผู้อยู่เบื้องหลัง F40

โปรเจกต์พัฒนารถคันใหม่ของเฟอร์รารี่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ด้วยความพยายามด้านวิศวกรขั้นสูงในเรื่องวัสดุ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างตัวรถจากเหล็กแบบ Steele Space Frame ประตูคาร์บอนไฟเบอร์พร้อมแผงเคฟลาร์และฝากระโปรงแบบชิ้นเดียว ทั้งหมดช่วยรีดน้ำหนักของ F40 ให้เหลือเพียง 1,100 กิโลกรัมอย่างไรก็ตามโครงสร้างแบบรังผึ้งที่ใช้งานอยู่ด้านในก็ทำให้รถยนต์มีความมีความแข็งแรงมากเช่นกัน

เอกลักษณ์สำคัญของ F40

วัสดุทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านดีไซน์ของตัวรถที่มีพร้อมฝากระโปรงทรงเตี้ยที่มีช่องอากาศ 2 ช่องสำหรับระบายระบบระบายอากาศจาก NACA และไฟหน้าแบบพับเก็บได้ ขณะเดียวกัน ด้านข้างของตัวรถมีช่องอากาศสำหรับสร้างแรงกดให้กับตัวซึ่งผ่านการทดสอบนับไม่ถ้วนในอุโมงค์ลมจนมีประสิทธิภาพมากที่สุด รวมถึงสปอยเลอร์หลัง โดย Ferrari F40 ทุกคันจะถูกทาด้วยสีแดง Rosso Corsa ซึ่งเป็นสีที่เป็นสัญลักษณ์ของค่ายม้าลำพอง

motorauthority

ด้านขุมพลัง Ferrari F40 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 8 สูบขนาด 2.9 ลิตร Turbocharged ซึ่งเป็นผลผลิตที่พัฒนาต่อจากเครื่องของ Ferrari 288 GTO Evoluzione ที่บริษัทเครื่องยนต์อย่าง Bonfiglili พัฒนาขึ้นมา โดยเครื่องยนต์ดังกล่าวให้พลังสูงถึง 478 แรงม้า ซึ่งทำงานคู่กับชุดเกียร์แมนมวล 5-Speed ซึ่งช่วยส่งให้ Ferrari F40 เป็นรถคันแรกของค่ายม้าลำพองที่สามารถทำความเร็วได้ถึง 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรในเวลาเพียง 3.8 วินาที

ขณะเดียวกันน้ำหนักของเครื่องยนต์ที่ถูกลดทอนลงไปด้วยการใช้วัสดุผสมแมกนีเซียม รวมไปถึงส่วนฝาลูกสูบและตัวครอบเกียร์ โดยวัสดุผสมดังกล่าวมีใน F40 เท่านั้นและไม่มีการใช้ในรถที่ผลิตในรุ่นต่อมาเลย

ภายในและเครื่องยนต์ของ F40

ซูเปอร์คาร์ที่ทำให้นักขับทดสอบมือหัก

อีกหนึ่งบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนา Ferrari F40 คือ Dario Bernuzzi นักขับรุฝีมือดีผู้รับหน้าที่เป็นนักทดสอบขับ F40 ตลอดกาลพัฒนา 11 เดือน โดยตัวเขาเคยรับหน้าที่เป็นนักทดสอบขับรถของเฟอร์รารี่มาหลายคัน ไม่ว่าจะเป็น Ferrari Berlinetta Boxer, Ferrari 288GTO รวมถึงรถอย่าง 550, Enzo, 333SP, FF และ F12 อย่างไรก็ตามตัวเขาบอกว่า Ferrari F40 คือหนึ่งในรถที่เขาภูมิใจที่มีส่วนร่วมในการพัฒนามากที่สุด

อย่างไรก็ตามซูเปอร์คาร์คันนี้ทำให้เขาต้องเสียโอกาสในการทดสอบขับ Ferrari 348 ไปเพราะความดิบของ F40 เคยทำให้มือของ Dario Bernuzzi กระดูกหักจนพลาดการทดสอบรถอีกคันไป

motorauthority

ในปี 1987 หลังทีมงานหัวกะทิของเฟอร์รารี่พัฒนา F40 จนเสร็จสมบูรณ์ ก็ถึงเวลาในการเปิดตัวสู่สายตาชาวโลก โดยแรกเริ่มด้วยเขามีแผนที่จะผลิตออกมาเพียง 400 คันเท่านั้น โดยราคาดั้งเดิมของ F40 เริ่มต้นที่ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 840,000 ดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามด้วยความสวยงามและสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมก็ทำให้รถคันนี้ปิดยอดขายไปที่จำนวน 1,311 คัน

The Official Ferrari Magazine

Ferrari F40 ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากคนรักรถทั่วโลกทั้งเรื่องความสวยงามและงานดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ ขณะเดียวกันอารมณ์การขับขี่ที่ดิบเถื่อนจากเกียร์แมนนวล รวมถึงการไม่มีพวงมาลัยพาวเวอร์และเบรกพาวเวอร์ก็ทำให้ผู้ขับขี่ต้องใช้ความสามารถของตัวเองให้การรีดพลังของรถออกมาทั้งหมดทำให้ Ferrari F40 กลายมาเป็นไอคอนสำคัญที่โดดเด่นจากค่ายม้าลำพอง ที่แม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี รถยนต์คันนี้ก็ยังสวยงามและทรงพลังบนท้องถนนอยู่เหมือนเดิม

ต้องขอบคุณมรดกด้านยนตรกรรมคันสุดท้ายที่เอ็นโซ่ เฟอร์รารี่ได้ฝากเอาไว้ให้กับโลกใบนี้ รวมถึงรถยนต์อีกหลายคันที่มีต้นกำเนิดมาจากความหลงใหลในการแข่งรถและความเร็วของเขา

OVERDRIVE

Source: 1/2/3/4/5

SPLESS
WRITER: SPLESS
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line