Entertainment

เข้าใกล้ถ้วยบอลโลกและ CHRISTIAN KAREMBEU ระยะประชิดใน FIFA WORLD CUP TROPHY TOUR BY COCA-COLA

By: Chaipohn January 30, 2018

4 ปีมีหน และก็ถึงเวลาแล้ว กลางปีนี้พวกเราชาว UNLOCKMEN ที่คลั่งไคล้ในเกมลูกหนังเตรียมนอนดึกกันได้เลย เพราะการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ได้เวียนมาฟาดแข้งชิงความยิ่งใหญ่ในฐานะเจ้าโลก (แห่งฟุตบอล) กันอีกครั้ง ซึ่งศึกฟุตบอลโลก 2018 ท่าทางจะมันส์หยดย้อย เพราะปีนี้ไประเบิดแข้งกันที่ดินแดนหมีขาว ประเทศรัสเซียของท่านวลาดิเมียร์ ปูติน ระหว่างวันที่ 14 มิ.ย. ถึง 15 ก.ค. นี้ โดยจะมีเพียงแค่ทีมเดียวเท่านั้น จาก 32 ทีมทั่วโลก ที่อาบเหงื่อต่างน้ำ ทำทุกอย่างในเกมกีฬาเพื่อจะได้เป็นไม่กี่คนในโลกนี้ ขึ้นแท่นยืนชูถ้วยแห่งเกียรติยศ “FIFA World Cup Trophy” หรือ “ถ้วยฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ” อย่างยิ่งใหญ่สมชายชาตรี

Jules Rimet trophy Originally called “Victory”

“FIFA World Cup Trophy” มนต์ขลังอันเป็นสัญลักษณ์แห่งแชมป์ลูกหนังโลกใบนี้ ถูกนำมาใช้แทนที่ถ้วย “Jules Rimet” (จูลส์ ริเมต์) ชื่อที่ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธาน FIFA ในสมัยนั้น ตั้งแต่ปี 1930 – 1970 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นถ้วย “FIFA World Cup Trophy” ในฟุตบอลโลก 1974 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งถ้วย Jules Rimet ถือว่ามีประวัติพอสมควร เพราะมันเสี่ยงหายมาหลายที โดยครั้งแรกมันถูกขโมยไปภายในงาน exhibition ปี 1966 ที่ Westminster Central Hall ประเทศอังกฤษ เดชะบุญ ครั้งนั้นได้สุนัขฮีโร่นาม ‘Pickles’ ดมหาจนเจอ

น่าเสียดายที่โชคไม่ดีทุกครั้ง ถ้วย Jules Rimet ถูกขโมยหายไปอย่างถาวรในประเทศบราซิล ปี 1983 จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครหาเจอ คาดว่าน่าจะโดนหัวขโมยเอาไปหลอมเป็นทอง ขายทอดตลาดเรียบร้อยโรงเรียนบราซิล

Silvio Gazzaniga

กว่าจะได้แบบถ้วย FIFA World Cup Trophy สุดสวยใบนี้มา ขอบอกว่า FIFA คัดอย่างเข้มข้น มีศิลปินปฏิมากรถึง 53 คนที่ส่งงานเข้าประกวด สุดท้ายคนที่ทำผลงานได้ปังที่สุดก็คือ Silvio Gazzaniga ศิลปินชาวอิตาเลียน ที่ได้เป็นเจ้าของงานออกแบบถ้วยฟุตบอลโลกใบนี้ โดย Gazzaniga ได้ออกแบบออกแบบถ้วยนี้ ด้วยการนำรูปฟอร์มของนักกีฬา 2 คน กำลังยืนหันหลังโอบอุ้มโลกมาคลี่คลาย และบิดเป็นเส้นสายที่งอกเงยต่อเนื่องจากฐานเพื่อยืดรับโลกใบนี้ไว้ สื่อถึงการเฉลิมฉลองในช่วงเวลาแห่งชัยชนะ

FIFA World Cup Trophy มีความสูง 36.5 ซม. มีน้ำหนักราว 5 กก. ทำจากทองคำ 18 กะรัต (75%) ส่วนฐานสูง 13 ซม. มีชั้นที่ทำจากมรกต 2 ชั้น ทำให้มีนำ้หนักรวมฐานทั้งหมด 6.175 กก. ตรงฐานจะสลักชื่อทีมที่เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี 1974 โดยฟีฟ่าตั้งกฏไว้ว่าจะไม่มีทีมไหนได้ครอบครองถ้วยใบจริง ทีมที่คว้าแชมป์จะได้ชูถ้วยใบจริงตอนจบแมตช์นัดชิงชนะเลิศ และได้รับการสลักชื่อประเทศไว้ที่ฐาน ส่วนการเฉลิมฉลองหลังได้แชมป์ ทางฟีฟ่าจะมอบถ้วยจำลองให้ไปเฮกันทั้งประเทศแทน

อ่อ มีเกร็ดเล็กน้อยอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกใบนี้จะใช้ได้ถึงปี 2038 เท่านั้น เนื่องจากมีที่เหลือให้สลักชื่อทีมแชมป์อีกแค่ 17 ช่อง

ส่วนนักเตะและทีมงานสต๊าฟโค้ชที่ได้สัมผัสถ้วยฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ ใบจริงมีแค่ 6 ประเทศเท่านั้น เริ่มจากเยอรมนี (ตะวันตก) ที่คว้าแชมป์ในบ้านเมื่อปี 1974 และบันทึกไว้ว่า Franz Beckenbauer (ฟร้านซ์ เบคเค่นบาวร์) กัปตันทีมอินทรีเหล็กชุดดังกล่าว คือนักฟุตบอลคนแรกที่ได้สัมผัสถ้วยใบนี้

สำหรับ 6 ชาติที่ฝ่าด่านสุดหินจนได้ชูถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี 1974 มีตามนี้เลย เชื่อว่าหลายคนน่าจะตามเชียร์ชาติเหล่านี้อยู่

เยอรมนี (1974, 1990, 2014)
อาร์เจนตินา (1978, 1986)
อิตาลี (1982, 2006)
บราซิล (1994, 2002)
ฝรั่งเศส (1998)
สเปน (2010)

จะเห็นว่ามีมนุษย์ในโลกเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ได้สัมผัสถ้วยบอลโลกใบนี้ แม้โอกาสจะเข้าใกล้ถ้วยบอลโลกใบนี้จะยากสักแค่ไหน แต่ UNLOCKMEN โชคดีสุด ๆ ได้มีโอกาสไปสัมผัสมือกับหนึ่งในนักเตะที่ได้สัมผัสถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกของจริงมาแล้วถึงในเครื่องบินส่วนตัว เขาคือ Christian Karembeu (คริสติยอง การอมเบอ) อดีตกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส และอดีตหนึ่งในสมาชิกทีมราชันย์ชุดขาว Real Madrid เขารับใช้ชาติในฐานะนักเตะระหว่างปี 1992-2002 ลงสนามไป 53 นัด ทำไป 1 ประตู

เคยลงสนามเคียงบ่าเคียงไหล่กับยอดนักเตะหลายคนในทีมตราไก่ชุดแชมป์โลกเมื่อปี 1998 เช่น Zinedine Zidane (ซีเนอดีน ซีดาน) , กัปตันทีม Didier Deschamps (ดิดิเยร์ เดส์ชองส์) และ Lilian Thuram (ลิลิยง ตูราม) ถือเป็นเรื่องที่เยี่ยมมากที่เราได้เจอกับเขา แม้ตอนนี้การอมเบอจะอายุ 47 แล้ว แต่ก็ยังดูเป็นชายดูดีที่ฝีเท้าเยี่ยมอยู่ และเหนือสิ่งอื่นใด การอมเบอ เป็นคนที่ Nice มาก ๆ ไม่แปลกใจเลยที่จะมีสาวสวยหยาดเยิ้มสะท้านใจชายทั้งโลกอยู่ข้างกายเป็นประจำ ตั้งแต่นางแบบ Slovak “Adriana Karembeu” ไปจนถึงภรรยาปัจจุบันล่าสุด “Jackie Chamoun” ที่สวยงามไม่แพ้กัน

สาเหตุที่มานั้น ไม่ใช่มาเที่ยวแน่นอน แต่เค้ามาเป็นตัวแทนร่วมกับ Coca-Cola Thailand ในการนำถ้วย FIFA World Cup Trophy บินมาให้คนไทยได้สัมผัสแบบใกล้ชิด ใกล้มากจริง ๆ มีเพียงตู้กระจกขวางกั้นเอาไว้เท่านั้น ในงานกิจกรรม “ฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ™ โทรฟี่ ทัวร์ 2018 โดย โคคา-โคลา” โดยปีนี้เป็นปีที่ 12 ที่ Coca-Cola Thailand ได้สร้างความตื่นเต้นให้ชาวไทยมาโดยตลอด และที่แปลกใหม่กว่า คือปีนี้เป็นครั้งแรกที่เราไปเปิดตัวถ้วยรางวัลอันยิ่งใหญ่ ไกลถึงจังหวัดภูเก็ต และทาง Coca-Cola Thailand และ FIFA ก็ไม่มีหวงถ้วยรางวัล เปิดให้ประชาชนได้ถ่ายรูปกับถ้วยใบนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจากภาพที่เราเห็น ทุกคนตื่นตาตื่นใจกันสนั่นเมืองเลยทีเดียว

กระแสบอลโลกแรงขนาดนี้ ทาง Coca-Cola ยังได้มอบโอกาสให้กับเด็กและเยาวชนไทย เพื่อสานฝันสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพให้กับน้องๆ ใน 14 จังหวัดภาคใต้ จัดกิจกรรม “โคคา-โคลา ฟุตบอล คลินิก” เชิญนักฟุตบอลทีมชาติไทยอย่าง ชิติพัทธ์ แทนกลาง, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม และ ศศลักษณ์ ไหประโคน รวมถึงคริสติยอง การอมเบอ มาให้คำแนะนำฝึกทักษะ และฝึกซ้อมเทคนิคการเล่นฟุตบอลให้กับน้อง ๆ ที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล และมีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

ในด้านเงินอัดฉีด Coke ยังผลิตขวดเครื่องดื่มโค้กที่ออกแบบพิเศษรุ่น Limited Edition ซึ่งมีเพียง 1,000 ขวดเท่านั้น โดยส่วนหนึ่งจะนำไปประมูลผ่านชมรม Coke Thai และอีกส่วนหนึ่งจะนำมาจำหน่ายในงานฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ™โทรฟี่ ทัวร์ 2018 โดย โคคา-โคลา ในวันเสาร์ที่ 27 มกราคมนี้ ณ เซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 1–31 มกราคมนี้ ทุกๆ ฝาจีบจากการ-จำหน่ายโค้กขวดแก้ว แฟนต้า หรือ สไปรท์ ใน 14 จังหวัดภาคใต้ บมจ. หาดทิพย์ จะสนับสนุน 50 สตางค์ โดยไม่หักค่าใช้จ่าย เพื่อนำมาสนับสนุนการเสริมสร้างทักษะทางด้านกีฬาฟุตบอล รวมถึงจัดหาอุปกรณ์กีฬาให้กับน้องๆ ของ 14 โรงเรียนที่ยากไร้ในเขตภาคใต้

สำหรับใครที่พลาดโอกาสสุดพิเศษครั้งนี้ไป ยังมีโอกาสได้เข้าใกล้ถ้วยบอลโลกอีกครั้ง เพราะ Coca-Cola Thailand ได้เซ็นสัญญาให้การสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลโลก ฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ™ อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) และต่อเนื่องไปจนถึงปีพ.ศ 2573 (ค.ศ. 2030)

ดื่มโค้กและร่วมสุขซ่ากับฟุตบอลโลกฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ™ ติดตามรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/cocacolaTH และ www.coca-cola.co.th

“โค้ก…ดื่มด่ำทุกความรู้สึก”

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line