CARS

รู้ให้แตกฉาน ระบบขับเคลื่อน FWD, RWD, 4WD และ AWD แต่ละอย่างต่างกันอย่างไร

By: HYENA August 21, 2017

คนคลั่งรถโดยเฉพาะผู้ชายเรา คงต้องเคยได้ยิน และพูดคุยถกเถียงกันว่าระบบขับเคลื่อนแบบไหนดีกว่ากันแน่นอน บางคนก็บอกว่า ซื้อรถทั้งทีต้องมีระบบขับเคลื่อนแบบ RWD (Rear-Wheel Drive) สิถึงจะเจ๋ง บางคนก็ว่า ขับเคลื่อนแบบล้อหน้ามีเร่งดีกว่านะเว้ยเฮ้ย แค่นี้ยังปวดหัวไม่พอ เพราะยังมีระบบขับเคลื่อนแบบ AWD (All-Wheel Drive) และ 4WD (4Wheel-Drive) เข้ามาอีก

ซึ่งบางคนอาจจะยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า รถที่ตัวเองขับอยู่ทุกวี่ทุกวัน เป็นรถขับเคลื่อนแบบไหน จริง ๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องพื้นฐานอย่างหนึ่งที่เราทุกคนควรรู้ โดยเฉพาะถ้าหากคุณต้องการรถที่เหมาะสมต่อการใช้งาน และสไตล์การขับขี่ของตัวเอง การทำความรู้จักกับระบบขับเคลื่อนทั้งหมดที่เราได้กล่าวมา ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนควรจะศึกษาเอาไว้ วันนี้เราจึงได้นำเอาข้อมูลเกี่ยวกับระบบขับเคลื่อนไม่ว่าจะเป็นแบบ FWD, RWD, AWD และ 4WD มาให้กับชาว UNLOCKMEN ทุกคนได้รู้จักกัน

FWD / RWD / AWD And 4WD

รถยนต์ที่เราเห็นกับบนท้องถนนนั้น แม้จะขับได้เหมือนกันหมด แต่จริงๆ แล้วภายในรถแต่ละคันมีระบบขับเคลื่อนที่แตกต่างกัน สำหรับในบ้านเรา รถบนท้องถนนส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า FWD กันเป็นส่วนใหญ่ ลองลงมาก็จะเป็น RWD ตามด้วย 4WD และ AWD ตามลำดับ

แม้ว่าบางคนจะรู้อยู่แล้วว่ารถของคุณมีระบบการขับเคลื่อนแบบไหน แต่สิ่งที่เราจะพูดต่อไปนี้ จะเป็นการอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับจุดเด่น จุดด้อย ของระบบขับเคลื่อนแต่ละชนิดให้ได้เข้าใจกันชัดเจนมากขึ้น

Front-Wheel Drive (FWD)

อย่างที่บอกไปว่า ระบบขับเคลื่อนแบบ FWD หรือ ขับเคลื่อนล้อหน้านั้น เป็นระบบการขับเคลื่อนที่พบได้มากที่สุดในรถยนต์สมัยนี้ เนื่องจากมันเป็นระบบที่ไม่ซับซ้อน และกินพื้นที่ใช้สอยทั้งในห้องเครื่อง และห้องโดยสารน้อยกว่าระบบอื่นๆ รวมไปถึงเรื่องของการกระจายน้ำหนักที่มีผลต่อความยึดเกาะถนน

ระบบขับเคลื่อนแบบ FWD หรือ ขับเคลื่อนล้อหน้า มีจุดเด่นในด้านสมรรถนะการเร่ง เนื่องจากแรงม้าถูกส่งจากเครื่องสู่ล้อคู่หน้าโดยตรง แต่ก็อาจจะมีจุดอ่อนในเรื่องการยึดเกาะอยู่บ้าง เนื่องจากล้อคู่หน้าต้องทำงานหนักมาก ทั้งรับน้ำหนักจากเครื่องยนต์ ทำหน้าที่ขับเคลื่อน และยังต้องใช้บังคับทิศทางอีกด้วย ทำให้รถ FWD มักจะมีอาการ “หน้าดื้อ” หรือที่เรียกว่า “Understeer” เลี้ยวไม่ไปเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ในขณะเดียวกันก็มีอาการ “หน้าไว” เมื่อขยับพวงมาลัยอย่างรวดเร็ว ทำให้รถเสียการทรงตัว เช่นการหักหลบสิ่งกีดขวางแบบกะทันหัน อันเป็นผลจากการขับเคลื่อนล้อหน้าเพียงอย่างเดียวนั่นเอง

ซึ่งการขับขี่เข้าโค้งด้วยความเร็วสูงสำหรับรถ FWD จะใช้ไลน์คนละแบบกับรถ RWD ขับเคลื่อนล้อหลัง ผู้ขับจึงควรต้องเข้าใจความแตกต่างในจุดนี้ และนี่แหละคือเหตุผลที่ผู้ขับขี่ต้องทำความรู้จักกับระบบขับเคลื่อนของรถตัวเองให้ดี

 

Rear-Wheel Drive (RWD)

ระบบขับเคลื่อแบบ Rear-Wheel Drive หรือ ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง เป็นการส่งพลังจากเครื่องยนต์ผ่านเพลาขับไปขับเคลื่อนชุดล้อหลังเพียงอย่างเดียว ระบบขับเคลื่อนล้อหลังเป็นระบบที่ฮิตใช้กันมากที่สุดระบบหนึ่งตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งในช่วงต้นของทศวรรษ 80 ที่ ระบบการขับเคลื่อนแบบ FWD หรือ ขับเคลื่อนล้อหน้าถูกสร้างขึ้น และนำมาแทนที่ ด้วยเงื่อนไขทางการออกแบบ ผลิต ที่ง่ายกว่า RWD จึงได้ประโยชน์ในเรื่องราคาขายที่ถูกกว่า

แต่อย่างไรก็ตามจุดเด่นของระบบขับเคลื่อนล้อหลังทำได้ดีกว่าก็คือ การรับมือกับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ แรงม้าสูง น้ำหนักตัวค่อนข้างมาก มีการกระจายน้ำหนักตัวที่ดีกว่า FWD และตอบสนองการเข้าโค้งได้ดีกว่าจากการลดภาระของล้อหน้า เนื่องจากล้อหน้าจะทำหน้าที่แค่บังคับทิศทาง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไม Sport Cars ทั้งหลาย รวมไปถึงรถ High-Performance Sedan และ Race Cars ยังคงใช้ระบบการขับเคลื่อนนี้อยู่ในปัจจุบัน แต่ก็มาพร้อมอาการ Oversteer ท้ายปัด ถ้ามีแรงบิดมากเกินไป โดยเฉพาะการ Kick Down ตอนเข้าโค้ง ซึ่งแก้ไขค่อนข้างยาก แต่ถ้าคุ้นเคยกับมัน ก็กลายเป็นความสนุกสนานสำหรับคนชอบ Drift ได้เช่นกัน

 

Four-Wheel Drive (4WD or 4×4)

สำหรับรถที่มีระบบชับเคลื่อนแบบ Four-Wheel Drive หรือ 4×4 โดยมากคนมักจะเข้าใจผิดว่า เป็นการขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมกันตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้ว การขับเคลื่อนแบบ 4×4 จะใช้การขับเคลื่อนที่ล้อหลังเป็นหลัก จนกว่าผู้ขับขี่จะเปิดโหมดใช้งานขับเคลื่อน 4 ล้อ อาจจะผ่านคันเกียร์ หรือปุ่มกดก็ได้ตามความทันสมัย และเทคโนโลยีในรถคันนั้นๆ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงมีข้อแม้ว่า การเปิดโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ ของรถประเภทนี้ จะต้องอยู่ในรอบเครื่องยนต์ต่ำเท่านั้น เราจึงมักจะพบกับการขับเคลื่อนแบบนี้ได้ในรถที่ใช้งานขึ้นทางชัน หรือรถที่บรรทุกของหนักๆ เนื่องจากต้องการ traction และการส่งกำลังฉุดลากขึ้นที่สูงจากทั้ง 4 ล้อ

All-Wheel Drive (AWD)

ระบบการขับเคลื่อน All-Wheel Drive ที่หลายคนสับสนกับระบบ 4×4 นั้น ความแตกต่างของมันอยู่ที่ รถที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ All-Wheel Drive นั้น จะขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยการหมุนของล้อทั้ง 4 อยู่ตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ ซึ่งถือเป็นระบบการขับเคลื่อนที่ทรงพลัง และยึดเกาะถนนได้มากกว่าระบบการขับเคลื่อนอื่นๆ

ดังนั้น จุดแข็งของระบบขับเคลื่อนนี้ จึงอยู่ที่การทรงตัวป้องกันการลื่นไถล ยึดเกาะพื้นถนนได้ยอดเยี่ยมทุกสภาพถนนและการเข้าโค้ง ตะกรุยผิวถนนอย่างมีสมดุลจากแรงบิดที่ส่งไปล้อทั้ง 4 พร้อมกันตลอดเวลา เป็นเหมือนการรวมเอาจุดดีของทั้ง FWD และ RWD มาผสมผสานกันอย่างลงตัว แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยชิ้นส่วนที่เยอะขึ้น การกระจายพลังขับขี่ที่มากขึ้น รถ AWD จึงสูญเสียอัตราเร่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับ FWD หรือ RWD แต่ถ้าเป็นถนนโค้งเยอะ ๆ รถ AWD ก็มีโอกาสแซงได้ไม่ยากเย็นเลย

ด้วยข้อดีในการขับขี่ที่ยากจะมองข้าม ผู้ผลิตรถยนต์มากมายจึงหันไปพัฒนารถ AWD ที่มีสมรรถนะสูง ตัวอย่างรถ AWD ที่โด่งดังจากแดนปลาดิบก็มี Nissan GTR แรงทางตรงก็เยี่ยม เข้าโค้งก็วางใจได้ หรือ Subaru WRX STi จากค่ายดาวลูกไก่ ที่พัฒนาสมรรถนะเพื่อชดเชยจุดอ่อนของ AWD จนกลายเป็นจุดเด่น

ส่วนทางฝั่งยุโรป ก็มี xDrive จากแบรนด์ BMW ที่ไม่ใช่แค่ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบธรรมดา ๆ เพื่อให้เข้าใจ และเห็นภาพการทำงานสุดล้ำของระบบขับเคลื่อนที่ว่านี้ เราจึงนำเอาวีดีโอที่จะอธิบายการทำงาน และจุดเด่นของ xDrice มาให้ได้ดูกันก่อน

BMW’s xDrive

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ ของ BMW ที่เรียกว่า xDrive มีจุดเด่นที่ความอัจริยะในการตรวจจับสภาพการขับขี่อย่างต่อเนื่อง และกระจายแรงขับระหว่างล้อหน้า-ล้อหลังแบบอัตโนมัติตลอดเวลา ผ่านการคำนวนที่แม่นยำจากข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว อัตราการหมุนของล้อ องศาของพวงมาลัย และการกดคันเร่งของผู้ขับขี่ให้สอดคล้องกับสภาพถนนอยู่ตลอดเวลา มีความฉับไวในการถ่ายกำลังจากเครื่องยนต์ไปสู่เพลาหน้า และเพลาหลัง ได้ภายในเวลาเพียง 0.1 วินาที ทำให้เกิดการยึดเกาะถนนที่ตอบสนองได้อย่างฉับไว และแม่นยำทันที เมื่อรถเกิดอาการผิดปกติจากการขับเคลื่อน

ด้วยความสามารถ และความอัจฉริยะของระบบ xDrive นี้เอง จะช่วยให้ทุกการขับขี่ปลอดภัย มั่นใจไร้กังวลในทุกสภาวะอากาศ ทุกสภาพผิวถนน แถมไม่มีอาการวอกแวกใดๆ แม้ในขณะที่เข้าโค้งด้วยความเร็วสูงให้เห็น ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นระบบขับเคลื่อนที่สามารถรองรับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้ทุกรูปแบบ และทุกเส้นทางอย่างเต็มประสิทธิภาพจริง

สำหรับใครที่เป็นแฟน BMW หรือ ใช้รถ BMW อยู่แล้ว ก็อาจจะรู้จักระบบขับเคลื่อนนี้เป็นอย่างดี แต่มีอีกอย่างที่ทาง BMW ฝากเรามาบอกถึงเจ้าของรถ BMW ทุกท่าน ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของ BMW เก่า หรือใหม่ แม้กระทั่งซื้อรถมือ 2 มา รุ่นใดก็ได้ และยังคงใช้งานเป็นชาว Bimmers อยู่ ก็สามารถร่วมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ที่ทาง BMW Group Thailand รอต้อนรับทุกท่านด้วย “The Ultimate JOY Experience” ที่คนขับรถยี่ห้ออื่นต้องอิจฉา อย่างเช่นเรื่องระบบขับเคลื่อน xDrive ของ BMW ที่เราพูดถึงกันในวันนี้  ทางโปรแกรม “The Ultimate JOY Experience” เอง ก็เพิ่งได้จัดกิจกรรมพิเศษ อีกทั้งยังเป็นโปรแกรมไฮไลท์แรกที่เป็นการร่วมมือกันระหว่าง BMW ประเทศไทย และการบินไทยอีกด้วย

โดยครั้งนี้เป็นการยกก๊วนเจ้าของรถยนต์ BMW ผู้เข้าร่วมโปรแกรม Joy บินลัดฟ้าไปสัมผัสกับประสบการณ์สุดพิเศษ พร้อมทั้งร่วมทดสอบการขับ BMW ท่ามกลางพื้นหิมะเพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพ และสมรรถนะของระบบขับเคลื่อน xDrive   กับกิจกรรม BMW Alpine xDrive กันถึง Southern Hemisphere Proving Ground บนยอดเขา Cardrona ประเทศ New Zealand รวมถึงแวะท่องเที่ยวจุดต่าง ๆ อย่างเพลิดเพลินเมื่อวันที่ 3-8 สิงหาคม 2560 ในราคา Package สุดพิเศษสำหรับลูกค้า BMW โดยเฉพาะ ที่เพิ่งจะผ่านไป

หากใครเพิ่งทราบข่าว หรือยังไม่รู้ว่า โปรแกรม “The Ultimate JOY Experience” นั้น มีอะไรเจ๋งๆ ขนาดนี้ด้วย เพียงแค่อย่าลืมร่วมเป็นเข้าไป “Joy” แล้วจะรู้ว่ายังมีกิจกรรมอีกมากมาย ที่รอให้ทุกคนไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในเปิดประสบการณ์ดีๆ กันอีกเพียบ ตั้งแต่ BMW Driving Experience ที่จะพาลูกค้า BMW ไปขับขี่รถสมรรถนะสูงอย่างถูกต้อง รวมถึงกาแฟฟรียันตีกอล์ฟ

ถ้าคุณเป็นเจ้าของรถ BMW  สามารถเข้าไปเช็คดูกิจกรรมและสิทธิประโยชน์สุดพิเศษสำหรับชาว Bimmer ได้ที่ www.bmwultimatejoy.com หรือ BMW Thailand Facebook

 

HYENA
WRITER: HYENA
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line