Business

UNLOCK BLOCKCHAIN : เจาะลึกระบบ SECURITY ตัวพ่อ สลายความกลัวเงินดิจิทัล

By: anonymK April 4, 2018

หลังจบ ‘GARAGE’ พื้นที่ใหม่ที่ UNLOCKMEN ตั้งใจสร้างขึ้น เพื่อให้สหายชาว UNLOCKMEN ทุกคนได้มีโอกาสเยี่ยมเยียน MAN CAVE ของเรา พร้อมมอบประสบการณ์ UNLOCK ในรูปแบบที่ใกล้ชิดมากกว่าการอ่านผ่านตัวหนังสือ เข้ามารวมตัวกันนั่งพูดคุยหรือสัมผัสเรื่องที่คุณไม่เคยรู้ด้วยกันกับเราแบบถึงพริกถึงขิง ซึ่งหนนี้เราว่าด้วยเรื่องของการเอาชนะขีดจำกัดขั้นแรกอย่าง “ความกลัว” ด้วย “ความรู้” ด้านการเงิน กับเรื่องที่ใกล้ตัวที่เราได้ยินมันมาตลอด แต่อาจจะไม่เข้าใจมันอย่างทะลุมากพอ นั่นก็คือ

“BLOCKCHAIN”

ดำเนินรายการด้วยพิธีกรสวยหล่อ Content Creator มากความสามารถจาก UNLOCKMEN บริษัท Whiteline Thaitayan

Alan Lee (ด้านซ้าย) & Jenchote Sripornprasert (ด้านขวา)

คำจ่อปลายหูที่หลายคนได้ยิน แต่ยังไม่มีโอกาสเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง ส่งผลให้เกิดความกลัวที่จะสัมผัสมัน อาจจะทำให้เราพลาดโอกาสดี ๆ จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไป บวกกับหลายเสียงที่ e-mail มาถามเราว่า ‘พอจะเข้าใจ Bitcoin แต่ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกับ Blockchain ยังไง มันเกิดจากอะไร มันเป็นของใคร’ พอไม่รู้ก็เลยไม่กล้าลงทุน ในขณะที่ราคา Bitcoin พุ่งไปไกลจนหลายคนตามไม่ทัน คิดได้ดังนั้น เราก็เลยเชิญกูรูด้านนี้โดยเฉพาะ ให้มาอธิบาย พูดคุยกันให้กระจ่าง ด้วยการเชิญคุณ Alan Lee – Blockchain Developer บินตรงดิ่งมาจากสิงคโปร์ เพื่อเจาะเรื่องราวกันให้เข้าใจ พร้อมคู่หูในวงการเดียวกันนี้อย่าง คุณเจนโชติ ศรีพรประเสริฐ เป็นผู้ทำหน้าที่ล่ามแปลภาษากันอีกชั้น ไม่ใช่แปลภาษาอังกฤษเป็นไทย แต่เอาไว้แปล Technical term ยาก ๆ ให้เข้าใจง่าย

แต่จะนั่งเรียนแบบธรรมดาทั่วไปก็ไม่ใช่เรา ระหว่างฟังก็มีการหล่อลื่นผ่านลำคอด้วย “Glenmorangie” Single Malt จาก Scotland พร้อม Mixologist คู่ใจของเรา ยืนรอต้อนรับขับสู้ มอบเครื่องดื่มให้เพลิดเพลินกันเต็มที่ระหว่างเรียนวิชา ‘UNLOCK Blockchain’ จิบสักแก้ว แล้วไปลุยกันต่อเลย

 

กำเนิดขุมอำนาจจากการหักหลัง

บางคนยังงง ๆ อยู่ว่าเจ้าตัว Blockchain มันงอกหรือเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร กว่าจะเป็นระบบที่ได้รับการเชื่อมั่นหนุนหลังสกุลเงินดิจิทัลนานายี่ห้อ ที่เรียกว่า Cryptocurrency เป็นดาวเด่นดวงใหม่สู่ความมั่งคั่งที่ได้รับความนิยมขุดเหมืองกันไปทั่วโลก ที่มาที่ไปของมันเกิดจากศาสดาที่เรารู้จักแต่นามแฝงของเขาว่า Satoshi Nakamoto ผู้ลุกขึ้นมานำเสนอ whitepaper เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลของเขาสู่ชาวโลกครั้งแรกในปี 2009 ผ่านเว็บไซต์ bitcoin.org และ metzdowd โดยมีแก่นไอเดียเพียงหนึ่งเดียว คือต้องการกู้อิสรภาพทางการเงินคืนจากสถาบันการเงินทั้งหลาย เพราะ Satoshi มองว่า ธนาคาร เป็นฟันเฟืองที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาล และการเป็นศูนย์กลางมากเกินไป มีการโกง มีการเอาเปรียบ และอาจทำให้ทั้งระบบล้มเหลวได้หากเกิด Human error ขึ้น

หลังเกิดเหตุการณ์วิกฤตทางการเงินปี 2008 เมื่อบรรดาสถาบันการเงินเกิดอยากแปลงร่างเป็นเจ้าของเงิน ควบคุมกลไกเศรษฐกิจเองด้วยการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนสุดท้ายเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น ทำให้ผู้บริโภคต้องมาแบกรับความเสียหายเหล่านั้น ส่วนตัวธนาคารกลับลอยลำ รวยกันบนความทุกข์ของชาวบ้านตาดำ ๆ

ก่อนไปต่อ คุณคิดว่า PayPal ปลอดภัยแค่ไหน​? มันปลอดภัยมาก คนทั่วโลกจึงเลือกฝากเงินไว้กับบัญชี PayPal แต่สมมติวันนึง PayPal เกิดหายไปจากโลกใบนี้ ใครจะรับผิดชอบเงินในบัญชีของคุณ? ไม่มี เงินจะสูญสลายไปกับสายลม แต่ Blockchain คือระบบที่ทุกคนเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเป็น Network จึงไม่มีปัญหาหากใครจะหายตัวไปสักคน

ความปลอดภัยทางการเงินที่ควรมีเมื่อโดนหักหลังในครั้งนั้น จึงเกิดเป็นนิยาม “เงินโปร่งใส” ขึ้น หรือเรียกว่าการ Decentralized พลังของธนาคารมาสู่ประชาชน และได้รับการพัฒนาเรื่อยมาภายใต้คำถามว่า “มันควรมีใครเป็นเจ้าของเงินหรือ? ทำไมพวกเราไม่เป็นเจ้าของเงินกันเองล่ะ ?” ในเมื่อไม่ควรมีใครตั้งตัวเป็นศาลเตี้ย ก็ไม่ควรมีใครหน้าไหนจะพิมพ์ธนบัตรมาใช้อะไรทั้งนั้น ใช้สิ่งที่มันมีอยู่ในระบบเอาแล้วกัน จากการปกป้องดูแลของพวกเรากันเอง ไม่ต้องขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่ง และถ้าอยากจะตรวจสอบ ทุกคนก็ต้องสามารถทำได้เสมอ ดูได้เต็มที่ทุกเวลา

 

ปราการทางการเงิน ศัตรูธนาคาร ?

การมาถึงของ Blockchain ในฐานะผู้ขับเคลื่อนระบบและเป็น รปภ. ได้รับการท้าทายอำนาจมาหลายปี แต่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ยังคงไม่มีใครปฏิเสธความเก๋าของมันได้  ถูกทำลายผ่านกฎหมายควบคุมก็ยังไม่ลง จากปีแรก ๆ ที่สถาบันการเงินอาจมองว่าเป็นมดตัวจ้อย วันนี้เมื่อมี transaction และเสียงตอบรับจากผู้บริโภคให้อยู่ในฐานะตัวเลขดิจิทัลที่มีมูลค่า และสามารถใช้แทนเงินได้ ทำธุรกรรมนอกประเทศก็ได้ ทำให้มีการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลอย่างแพร่หลาย และบูมเป็นพลุแตกตั้งแต่ช่วงปี 2014 เป็นต้นมา

คนทั่วไปเริ่มเมินการฝากเงินกับธนาคาร และไม่เชื่อมั่นในธนาคารอีกต่อไป ฝ่ายธนาคารเองหลายแห่งก็ตั้งแง่ พยายามนำเสนอด้านลบของ Cryptocurrency ครั้งแล้วครั้งเล่า ล่าสุดในไทยก็มีข่าวแบงก์ชาติหันมาเล่นด้วยเพราะสุดแรงจะต้านทาน ห้ามไปก็ไร้ประโยชน์ นอกจากคิดจะเก็บภาษี ก็ขอครอบมันอีกทีกับการทดลองสกุลคริปโตบาทชื่อ ‘อินทนนท์’ เอากับมันเซ่!

แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราจะเอามาใช้ถกกัน สิ่งที่เราสนใจมากกว่าสกุลเงินที่งอกขึ้นมาอย่าง bitcoin ก็คือ Platform ที่เป็นรากฐานของมันที่เรียกว่า Blockchain ต่างหากที่เราคิดว่าสำคัญกว่า เพราะตราบเท่าที่ Blockchain ยังไม่ล้ม การมีอยู่ของสกุลเงินดิจิทัลก็ยังมั่นคงอยู่ดี และมันยังเป็น Platform ที่ต่อยอดไปสู่อนาคตในหลากหลายธุรกิจได้อย่างไม่รู้จบ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ Cryptocurrency เป็นแค่กิ่งเล็ก ๆ ที่ขี่อยู่บนความปลอดภัยขั้นสูงของ Blockchain นั่นเอง

 

ชัยชนะจากเส้นโซ่

สิ่งที่ Alan เน้นอธิบายตลอด 1 ชั่วโมงก็คือหลักการการทำงานของ Blockchain ตั้งแต่กำเนิดระบบอย่างที่เราเพิ่งพูดถึงไปข้างบน จนถึงการทำงานว่าสิ่งที่เราพร่ำพูดว่า Blockchain นั้นมันมี concept การทำงานยังไง ประกอบด้วยอะไรบ้าง?

กระบวนการ Transaction หรือการถ่ายโอนรายการแต่ละครั้งนั่นแหละ คือที่ซ่อนของ Blockchain พูดง่าย ๆ ก็คือทุกครั้งที่มีการถ่ายโอนสกุลเงินระหว่างต้นทางถึงปลายทาง Blockchain จะเริ่มทำงาน และเมื่อโอนถ่ายสำเร็จสู่ปลายทาง transaction นั้นจะแปลงเป็นข้อโซ่อีกหนึ่งชิ้นที่จะอัพเดทข้อมูลทุกอย่างในระบบใหม่ทั้งหมดจากข้อโซ่เดิม เพื่ออัพเดทรายการทุกอย่างในระบบใหม่เป็นทอด ๆ อย่างสมบูรณ์แบบ รหัสทุกอย่างจะถูกเปลี่ยนแปลง เรียกว่าขยับเพียงตัวอักษรเดียว ก็เหมือนทิ้งข้อมูลของเก่าทุกอย่างไปจนหมดสิ้น เหมือนของใช้ครั้งเดียวทิ้งนั่นเอง และจะสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ พร้อมรหัสการเปิดอ่านใหม่ กลายเป็นเส้นโซ่ยาวที่ไม่มีวันหลุดออกจากกัน

และถ้าใครพยายามคิดจะโกงแล้วล่ะ?

บอกได้เลยว่าไม่มีทางเพราะคุณต้องไขรหัสไม่รู้จบ โจทย์การเข้าถอดรหัสจะยากขึ้นเรื่อย ๆ และต้องถอดให้ครบทุก Block ซึ่งการถอดรหัสทีละ Block ที่มีความยาวหลาย digit ก็ถือว่ายากมากแล้ว ลองนึกภาพการถอดรหัส Block ที่เชื่อมต่อกันเป็นแสนเป็นล้านอัน และต้องถอดรหัสทั้งหมดให้ได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที เพราะ Blockchain นั้น sensitive มาก และโยงติดกันด้วยข้อมูลก่อนหน้าและถัดไป เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใหม่เกิดขึ้นจากทางใดทางหนึ่งแม้เพียงเคาะวรรคเดียว ตัวเลขค่า Hash ทั้งหมดจะถูกเปลี่ยน และเมื่อ Hash เปลี่ยนก็ต้องใช้หาค่า Nonce ใหม่ใน Block ถัดไปเป็นทอด ๆ

แปลว่า Hacker คนนั้นจะต้องถอดรหัสทุก Block พร้อมกันทั้งโลกให้ทัน ไม่งั้นก็เริ่มต้นใหม่หมด ซึ่งความซับซ้อนของการถอดรหัสนี่เอง คือเหตุผลที่ต้องมีเหล่านักขุด Miner เป็นคนช่วย Verify ความถูกต้องของแต่ละฐานข้อมูลที่เปลี่ยนไป ซึ่งอาจจะต้องคำนวณเป็นพันล้านครั้ง คนในวงการนี้จึงต้องใช้เหมือง GPU ขนาดใหญ่ พร้อมแหล่งพลังงานระดับนิวเคลียร์ เพื่อความรวดเร็วในการคำนวณหารหัส

 

เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นลองมาดูตัวอย่างภาพอธิบายการทำงานของ Blockchain กัน

 

ถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนเริ่มเกิดคำถามในแผนผังแล้ว เรารวบมาอธิบายเป็น 4 ข้อหลักด้านล่างนี้

 

1. ตราบเท่าที่อยู่ในออนไลน์แค่แฮ็กพาสเวิร์ดเสียก็สิ้นเรื่อง

ก็แฮ็กได้นะแต่ยังไม่มีใครทำสำเร็จเลย ก่อนอื่นบอกก่อนว่าพาสเวิร์ดที่ใช้เข้ารหัสแบบ Cryptography มันเป็นระบบที่เรียกได้ว่าโคตร Secure อย่างปกติเรามีอีเมลหนึ่งอัน จะเปิดก็ใช้พาสเวิร์ดชิ้นเดียวที่เราตั้งในการเปิดใช่ไหม แต่กรณีนี้มันเป็นการ transaction ที่ตกลงระหว่างคนสองฝั่งขึ้นไป โดยที่ตัวเราจะมี Secret Key เป็น Signature ประจำตัวที่สำคัญมาก เป็นกุญแจสำหรับสร้างรหัส Public Key ซึ่งจะมีแค่อีกฝ่ายที่เราอยากส่งข้อมูลชุดนี้ให้เท่านั้นที่สามารถเปิดดูข้อมูลข้างในได้ (นึกภาพสมุดบัญชีธนาคาร ใครจะเก็บก็เก็บไป แต่ถ้าขาดลายเซ็น (Secret Key) ก็ไม่สามารถเบิกถอดได้อยู่ดี)

ว่าง่าย ในลักษณะเปรียบเทียบก็คือสมมติการถ่ายโอนหนึ่งครั้งมันเหมือนกับการบอกเพื่อนว่าเฮ้ย มึงไปหยิบเงิน 10 บาทในบ้านกูหน่อยแล้วเราก็บอกตำแหน่งที่อยู่บ้านของเรา (Block ID) ใช้รหัสส่วนตัวของเรา (Secret Key) พร้อมข้อความที่ต้องการสื่อสาร และระบุรหัสที่คนรับปลายทางมี ซึ่งจะเป็นรหัสเดียวที่จะเปิดดูข้อมูลใน Block นั้นได้ ระบบจะเปลี่ยน Input ทั้งหมดนั้นให้กลายเป็น Output ในภาษามนุษย์ต่างดาว (Hash) ข้อมูลที่แท้จริงทั้งหมดจะเป็นความลับระหว่างเรากับเพื่อน ต่อให้เพื่อนอีก 10 คนรู้ว่าเราจะให้มันมาเอาของที่บ้าน แต่ก็ไม่สามารถแงะออกมาดูไส้ในได้ เพราะไม่มีรหัสที่เราระบุไว้ใน code ลับนั้นนั่นเอง

เรียกได้ว่าเป็นการเทรดที่โคตรปลอดภัยจริง และปลอดภัยทั้งของเพื่อนและของเรา เราไม่จำเป็นต้องรู้รหัสเพื่อน เพื่อนไม่จำเป็นต้องรู้รหัสเรา แต่สามารถเข้าถึงกันได้โดยสมบูรณ์

ส่วนความน่าจะเป็นที่จะแฮ็กได้นับหมดทั้งมือทั้งเท้าก็ยังไม่พอให้นับเพราะโอกาสที่เราจะเดาได้ถูกมีเพียงหนึ่งในจำนวน 1 เติม 0 ต่อท้ายไปอีกสัก 70 ตัวเท่านั้นเอง

 

2. ตีตั๋วขุดทอง ขอรู้เรื่องนักขุดหน่อย

คนที่อยากรู้ว่าทำไมเขาแห่เป็นนักขุดกัน ก็ต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้การขุดมันต้องรวมตัวกันเป็นขบวนเพื่อทำงานร่วมกัน เพราะต้องอาศัยความเร็วของเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็น Laptop หรือ PC มาร่วมกันหาคำตอบโจทย์เลข ซึ่งเกิดจากบล๊อกเวลามีคนโอนเงินกันแต่ละที พอโจทย์ลอยปุ๊ป พวกเหล่า Miner หรือนักขุดทั่วโลกจะพุ่งเข้าไปหาโจทย์นั้นเพื่อแก้ไข หรือที่เรียกว่า Mining ซึ่งแม้จะเรียกว่านักขุด แต่แท้จริงแล้วพวกเค้าเหล่านี้ถือเป็นฮีโร่ที่คอยยืนยันความถูกต้อง ผ่านกระบวนการแก้โจทย์อันซับซ้อน โดยมี Bitcoin ฟรีเป็นค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง

การยืนยัน Transaction คือการพยายามถอดสมการหาเงื่อนไขที่ถูกต้องในแต่ละ Block เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยปกติจะประกอบด้วย Special Number (Nonce) ที่ถูกต้องสำหรับข้อมูลและ Hash ใน Block นั้น ๆ เมื่อมีข้อมูลถูกอัพเดทใน Block ใดก็ตาม เช่นโอนเงินเข้าออก Hash ใน Block นั้นจะเปลี่ยน และกระเทือน Hash ที่ต่อกันทั้งหมด ​Miner ต้องพยายามหาค่า Nonce ตามแต่ละโจทย์ โดยอาศัยการลองผิดลองถูกล้วน ๆ หมายความว่าเครื่องของเหล่านักขุดจะต้องประมวลมันขึ้นจากการสุ่มเท่านั้น! เครื่องใครแรงดี หัวกะทิก็ชนะไป ได้ตัวเลขเพื่อไป verify transaction ชุดนั้น เมื่อ verify เรียบร้อยแล้ว ก็จะได้ของตอบแทบกลับมาเป็น 12.5 bitcoin จากระบบที่เรียกว่า Proof of Work เป็นการช่วย confirm ความเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน Block ให้ทุกคนแบบได้ค่าตอบแทนนั่นเอง

 

3. เงินไม่เฟ้อเหรอ ระบบลอยจับต้องไม่ได้เดี๋ยวก็ปล่อยเงินมั่วมารวนให้เฟ้ออีก

Image Courtesy of photographer: Qilai Shen/Bloomberg

งานนี้ไม่เฟ้อหรอก เพราะเงินที่เราเห็นแต่ละอย่างมันต้องเกิดจากการขุด แล้วก็ขุดเท่านั้น มันจะไม่มีทางงอกออกมาเองจากข้อ 2.  และที่สำคัญมันมีเพดานของมัน อย่างตัว bitcoin ระบบกำหนดแล้วว่าจะมีทั้งหมดเพียง 21 ล้าน bitcoins เท่านั้นในโลกนี้ และจะไม่มีวันผลิตไปมากกว่านี้ คนที่อยากได้ ถ้าไม่ขุดได้เองก็คือเอาเงินธนบัตรในกระเป๋าเข้าไปแลกซื้อก็เท่านั้น จึงกลายเป็นที่มาของค่า demand supply ที่ทำให้มูลค่า bitcoin ในตลาดสูงขึ้นเรื่อย  ยิ่งอยู่ช่วงปลาย Quota ทั้งหมด ยิ่งแย่งกัน Verify จนกลายเป็นที่มาของการลงทุนนั่นเอง

 

4. เราได้ยินข่าวเรื่องสกุลเงินดิจิทัลโดนแฮ็กมา แล้วจะยังมาบอกว่าปลอดภัย?

ที่ได้ยินเรื่องการแฮ็กสกุลเงินดิจิทัลผ่านหน้าสื่อมาบ่อย เราขอออกมายืนยันนั่งยันตรงนี้เลยว่า “Blockchain” เป็นผู้บริสุทธิ์ มันยังคงเป็นสาวเวอร์จิ้นที่ไม่ได้มีใครมาเจาะระบบไข่แดง พวกแฮคเกอร์ที่เข้ามาเจาะหรือโจรกรรมเอาเงินไป มันไปแฮคบริษัทตัวกลาง (Crytocurrency Agent) ที่รับแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลทั้งหลาย ไม่ได้มาแฮ็กเอาจากกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลบน Blockchain ของพวกเราสักนิด

ทางแก้ถ้าเราไม่อยากโดนแฮ็ก ก็อย่าเอาตัวไปผูกกับบริษัทพวกนั้นเสียก็สิ้นเรื่อง แต่เรื่องที่ต้องระวังเมื่อมีกระเป๋าสตางค์ดิจิทัลของตัวเองคือความจำนี่แหละ เพราะถ้าดันลืม Secret Key ของตัวเองก็สบ๊ายยยยย  มันไม่มีบริการ Forget Password? ให้กดแก้ไขนะจำไม่ได้ เงินหายหมดทั้งกระเป๋าเลย

ก้าวต่อไปของ Blockchain ที่โดดข้ามสถาบันการเงิน

ด้วยความสามารถที่เสถียรและสตรองอย่างที่บอก เรื่องของสถาบันการเงินตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องรองไปแล้ว จากการรักษาข้อมูลความลับได้ยอดเยี่ยม ปัจจุบันมันจึงถูกประยุกต์เข้าไปอยู่ใน transaction รูปแบบอื่นนอกเหนือจากเงินดิจิทัล เป็น platform สำหรับบันทึก data สำคัญทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น

  • การเก็บประวัติการศึกษา (ป้องกันการปลอมแปลง)
  • การโหวตคะแนนเลือกตั้ง (ป้องกันการโหวตเสีย)
  • การตรวจสอบการผ่านมือของรถ (ข้อมูล)
  • ลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา (ใส่แอปพลิเคชั่นในการเข้าถึงเว็บไซต์เพื่อเรียกเก็บเงินได้อย่างถูกต้องจาก engagement)
  • การรับบริจาค (ป้องกันการเอาไปใช้ทางทุจริต)
  • ประกันภัย ฯลฯ

หลังจากเวลาผ่านไปจนจบ Session ทุกคนดูจะเข้าใจที่มาที่ไป การเกิดขึ้น กายภาพของ Blockchain มากขึ้นอย่างที่เราตั้งใจไว้ หลังจากนั้นก็ปิดฉาก GARAGE 1 ชั่วโมงลงกับการเริ่มต้นความรู้ BLOCKCHAIN ฉบับ 101 แล้ว ก่อนจะต่อด้วยวงดนตรีมันส์ ๆ พร้อมหันกลับไปรุมร้อม Glenmorangie Single Malt กันอีกครั้ง ซึ่งการจิบไป เรียนไป ก็ว่าเพลินดี ช่วยให้ทุกคน relax สร้างความเป็นกันเองแล้ว การดื่ม Glenmorangie พร้อมฟังดนตรี rock มันส์ ๆ ใน GARAGE ของเรายิ่งสร้างบรรยากาศได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

สำหรับใครที่เห็นรอยยิ้มและบรรยากาศอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับการ UNLOCK ตัวเองแบบสนุก อย่าลืมติดตาม GARAGE ครั้งหน้าว่าเราจะมาปลดล็อคความสามารถอะไร ไม่แน่ว่าอาจเป็นบันไดที่คุณกำลังตามหาเพื่อสร้างตัวตนและศักยภาพที่สมบูรณ์ของตัวเองอีกชั้น รับรองได้ว่าสิ่งที่เราจะนำมาเพื่อเปิด Garage อีกครั้ง ไม่ธรรมดาแน่นอน

อย่าลืมรอติดตามกันทางหน้า website: UNLOCKMEN.COM และ facebook: UNLOCKMEN ได้ ส่วนใครที่ไม่อยากพลาดการติดตามข่าวสารก็ปักหมุดให้เราอยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟน หรือตั้ง favorite ใน Browser ที่คุณใช้ได้ตามสะดวก แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้า หวังว่าเราจะได้มาดื่มและพัฒนาไปด้วยกันนะครับ

anonymK
WRITER: anonymK
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line