Life

“ทั้งงดงามและระยำหมา ความรักถึงสมบูรณ์แบบ” วีรพร นิติประภา บทสนทนาว่าด้วยรัก

By: PSYCAT February 7, 2020

“ความรักทำให้คนตาบอด” คุณอาจเคยได้ยินประโยคนี้ ในขณะที่ “แหม่ม-วีรพร นิติประภา” นักเขียนดับเบิลซีไรต์ผู้เขียนนิยาย 2 เล่ม (ที่ล้วนพัวพันกับความรัก) อาจบอกคุณว่าความรักเป็นมายาคติ และมันทำให้คุณเพ้อฝัน

“มายาคติความรักมันทำให้เราเพ้อ เพ้อฝัน ซึ่งก็ดีนะ ในนัยยะหนึ่งคุณก็ไม่ได้ฝันถึงอะไรมากมายเนอะในชีวิตจริง” เธอบอกกับเราแบบนั้น เราทุกคนล้วนจมอยู่กับมายาคติความรัก ละครหลายต่อหลายเรื่องที่มักบอกเราว่าความรักต้องจบลงอย่างสวยงาม นิยายหลายเล่มที่กระซิบกระซาบกรอกหูเราว่าความรักมีรสหวานลิ้น คนรอบข้างที่พากันทำให้เราเชื่อว่าความรักที่จบอย่างเป็นสุขคือจุดสูงสุดของชีวิต

แต่เมื่อพ้นไปจากมายาคติฝันเพ้อแห่งรัก ความรักกลับปรากฏกายในหลายรูปแบบ มีความรักระยำหมา มีความรักที่เราอยากลืม มีความรักตัวเอง มีความรักแบบครอบครัว ฯลฯ

รักอื่น ๆ นี่เองที่เรามองว่าช่างน่าหลงใหล และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่เราอยากคุยกับ แหม่ม-วีรพร นิติประภา ว่าด้วยความรัก ทั้งรักที่เราฝันเพ้อ รักที่ทำให้เรารีบอยากปลุกตัวเองให้ตื่นไว ๆ ไปจนถึงรักรูปแบบอื่น ๆ

รักคืออะไร?: เพราะครบทุกรสชาติ รักจึงสมบูรณ์แบบ

“ความรักคืออะไร?” เราไม่พูดพล่ามทำเพลง ถามคำถามแรกกับวีรพรด้วยคำถามคลาสสิก คาดหวังคำตอบหวือหวาสวิงสวาย แต่ความรักสำหรับนักเขียนนิยายรักอย่างเธอกลับตรงไปตรงมาเกินคาด ความเป็นเพื่อน ผสมเข้ากับการรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร กลายมาเป็นความรักในนิยามของวีรพร นิติประภา

“ความรักเหรอ? พี่คิดว่า พี่ยังยืนยันนะว่าความรักคือส่วนประกอบของมิตรภาพค่อนข้างเยอะ ความเป็นเพื่อน ความสัมพันธ์ที่มีความเป็นเพื่อน มีความห่วงใยกันระดับหนึ่ง ความเข้าใจกันระดับหนึ่ง มีการดูแลกันระดับหนึ่ง อันนี้ยืนยันมาตั้งแต่สาว ๆ”

“แต่พอพี่อายุเยอะ ๆ ขึ้น เรื่องมากขึ้น มีแต่เรื่องมากขึ้น พี่รู้สึกว่าความประทับใจที่เรามีกับผู้คนมันน้อยลง ถ้าเป็นสาว ๆ เราก็จะคนนี้เขา หล่อนะ เขาดูดีนะ เขาเงินเยอะดีนะ เขาเก่งนะ เราก็จะให้ความสนใจ

พออายุเยอะขึ้น อะไรพวกนี้กลับเป็นอะไรที่ไม่น่าสนใจแล้ว พี่สนใจแค่ว่ามันเป็นคนมีหัวใจไหม? มันดีไหม? เราไม่ได้ถามแล้วว่าเขามั่นคงไหม แต่เขารู้ไหมว่าตัวเขาอยากได้อะไร? พี่พบว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากได้อะไร”

“มันจะได้ไม่เสียเวลาฉันไง ถ้าเข้ามาเขาควรรู้ว่าเขาอยากได้ผู้หญิงแบบนี้ อยากได้คนแบบนี้ ถ้าเขาชอบเราด้วยเหตุผลนี้ เขาก็จะไม่ Turn Away จากเราด้วยเหตุผลว่า เราใส่เสื้อยืดลายบางอย่าง ไม่ Turn Away จากเราเพราะเราไปยิ้มให้คนบางคน ไม่ Turn Away จากการที่เราเมาเป็นหมาไปกองกับพื้นในวันหนึ่งจาก 365 วัน”

“แล้วชีวิตคู่ล่ะ เป็นเรื่องเดียวกับความรักไหม?” เพราะส่วนตัวเราไม่เชื่อแบบนั้น แต่คิดเองเออเองในฐานะที่ไม่เคยใช้ชีวิตคู่มาก่อนก็ดูยังไง ๆ อยู่ ในฐานะที่วีรพรและสามีของเธอใช้ชีวิตคู่กันมา 30 กว่าปี การถามเธอดูจะได้คำยืนยันที่ดีที่สุด

“ชีวิตคู่เป็นเรื่องความเคารพประมาณ 80% ความรักประมาณ 20% แต่อย่างที่พี่ยืนยัน เรื่องมิตรภาพ พี่ยืนยันเรื่องความเป็นเพื่อน พี่กับสามีเป็นเพื่อนกันมา 4 ปี เราเมาหมามาด้วยกัน เราสำมะเลเทเมามาด้วยกัน เราถึงมาเป็นแฟนกัน

เมื่อเราตัดสินใจอยู่ด้วยกัน เราก็อยู่กันไปเหมือนเพื่อน เมามาก็เมา ป๋า อย่าแดกเหล้ามากได้มะ แต่อยากกินก็กินไปสิ ในที่สุดเราก็เป็นแบบนั้น อยู่บนความเคารพ เราบอกว่าเราจะเขียนหนังสือนะ เขาก็ยักไหล่ ก็เขียนไปสิ เราก็บอกว่า แต่เราจะหมางเมินหน่อยนะ ก็เรื่องของเธอ ก็อยู่กันไป

เห็นไหมในความสัมพันธ์ของเพื่อนเราจะเคารพกันมากกว่าความสัมพันธ์แบบแฟนเสียด้วยซ้ำ ถ้าแฟน เราเมามา เราก็อาจจะด่า แดกไปสิ กินเหล้ามาทำไม เหม็นจะตายห่า ซึ่งก็เป็นอีกแบบ เรื่องหึงหวง อะไร เราอยู่แบบเพื่อนค่อนข้างเยอะ แต่แน่นอนเรารักกัน”

ความรักคือเรื่องสวยงาม เราเชื่อว่าใครหลายคนเชื่อหรือถูกทำให้เชื่อแบบนั้นมาโดยตลอด วีรพรพูดอยู่หลายต่อหลายครั้งว่าสิ่งเหล่านี้คือมายาคติของความรักที่เราถูกหล่อหลอมจากสังคม นิยาย ละคร หรือแม้แต่คนรอบตัว เราตัดสินใจถามเธออีกครั้งสรุปว่าความรักมันจำเป็นต้องสวยงามเสมอไปจริงไหม? ถ้าวันที่ความรักไม่สวยงาม ความรักจะยังนับเป็นความรักได้อยู่หรือเปล่า? ความรักที่สมบูรณ์แบบมันมีรูปร่างหน้าตาแบบไหนกันแน่

“เรื่องที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับความรักก็คือ มายาคติของมัน ความรักมันเต็มไปด้วยมายาคติ ฉากหนังรักมันเต็มไปด้วยดอกไม้ล่องลอยอยู่ในอากาศ วันสวย ๆ ความอบอุ่น นุ่มนวล มันเต็มไปด้วยอะไรสวยงามแบบนั้นค่อนข้างเยอะ ด้วยเหตุนี้ความรักมันเลยดึงดูดมั้ง”

“มายาคติความรักมันทำให้เราเพ้อ เพ้อฝัน ซึ่งก็ดีนะ ในนัยยะหนึ่งคุณก็ไม่ได้ฝันถึงอะไรมากมายเนอะในชีวิตจริง เวลาใครบอกอย่าเป็นคนเพ้อฝันแบบนี้สิ ยังกับกูมีอะไรให้ฝันเยอะ การหลงใหลใฝ่ฝันเรื่องความรักมันก็เป็นส่วนหนึ่ง”

“ความรักก็เหมือนชีวิตนั่นแหละ พี่เชื่อว่าชีวิตที่สมบูรณ์แบบมันต้องมี 2 ด้าน มันต้องมีด้านตกต่ำระยำ เศร้าขม แน่นอนมันก็มีด้านสว่าง สวย งดงาม สดชื่น รื่นเริง บันเทิง มีด้านไร้สาระ มีด้านเฉย ๆ พี่เชื่อว่าความรักก็เหมือนชีวิต คือมีทุกอย่าง นั่นแหละคือจุดที่ทำให้ความรักมันสมบูรณ์แบบ”

“พี่เชื่อว่าความรักก็เหมือนชีวิต คือมีทุกอย่าง นั่นแหละคือจุดที่ทำให้ความรักมันสมบูรณ์แบบ”

“พี่ชอบสังเกตคนด้วยมั้ง พี่คิดว่าในความรักมันสะท้อนสิ่งอื่น ๆ ในตัวคนคนหนึ่งออกมา มันสะท้อนตั้งแต่ความปรารถนาสูงสุดของเขาต่อชีวิต ความกระพร่องกระแพร่งที่สุดของเขา ความเปราะบางที่สุดของเขา บางคนเคยเห็นเขาเฉย ๆ มากเลย แล้วเราก็รู้สึกว่า ในห้วงรักเขาเป็นแบบนี้เหรอ?

อย่างพี่เองเป็นคนที่ค่อนข้างรักแบบเก่า แบบ Conservative รักจริง รักจัง รักคนเดียว ไม่เผื่อเหลือเผื่อขาด ไม่รักหลาย ๆ รักพร้อม ๆ กัน เป็นบริบทความรักแบบเก่า

หลายคนจะคิดว่าอย่างวีรพรเนี่ยเหรอ จะนั่งคอยโทรศัพท์คน คอยฮ่ะ ไม่ใช่แค่คอย กำมือถือรอด้วย ไม่ได้แค่กำอย่างเดียว นั่งจ้องด้วยค่ะ เพ่งกระแสจิตว่าจงโทรมา อย่างที่บอก ในห้วงรักคนก็จะต่างออกไป”

รักระยำหมา: ดีแค่ไหนแล้วที่มีคนมายืนยันว่าคุณมีหัวใจ

เพราะความรักมีเป็นร้อยเป็นล้านรูปแบบ บางความรักไม่ได้งดงามดังใจ หรือบางครั้งความรักอาจเคยแบ่งบาน ทว่ากาลเวลาผ่าน รักนั้นกลับร่วงหล่นระยำหมา สร้างความปวดเจ็บให้ชีวิต ติดตรึงอยู่ในความรู้สึกเช่นนั้นนานเท่านาน ในฐานะมนุษย์ที่ผ่านชีวิตมา 57 ปี วีรพร นิติประภา มองความรักที่รวดร้าวแบบไหน? และในฐานะมนุษย์ที่ผ่านโลกมาก่อนเราควรมองการอกหักด้วยสายตาเช่นไร? (ที่แน่ ๆ เราแอบถามเธอว่าเคยอกหักใช่ไหม “บ่อยค่ะ” เธอตอบแล้วหัวเราะอารมณ์ดี)

“โอ้โห มันดีแค่ไหนแล้วที่มึงหาคนที่มึงรักได้ลง จริง ๆ ในคนเป็นหมื่นล้านของโลกใบนี้ ใช่ว่าคุณอยากจะรักใครง่าย ๆ ถ้าคุณต้องเจ็บ มันไม่ไหวแล้ว มันก็ดีแค่ไหนแล้วที่มีคนคนนี้อยู่ ดีแค่ไหนแล้วที่มีคนสักคนมายืนยันว่าคุณมีหัวใจ คุณสามารถรักใครได้ คุณไม่รู้เหรอคนบางคนไม่เคยรักใครเลย มันทำท่าเหมือนรักไปอย่างนั้น

ปกติคนเดินผ่านมาเราก็มองเขาเหมือนหัวผักกาดเดินได้ แต่แล้วอยู่ ๆ ก็มีใครสักคนที่เรารู้สึกกับเขาม๊ากมาก ก็ทุ่มเทไปสิ แล้วถ้ามันจะต้องผ่านไปมันก็แค่ต้องผ่านไป ก็ดีกว่าไม่มีคนคนนี้ผ่านมาเลย”

“ดีแค่ไหนแล้วที่มีคนสักคนมายืนยันว่าคุณมีหัวใจ คุณสามารถรักใครได้ คุณไม่รู้เหรอคนบางคนไม่เคยรักใครเลย”

“พี่ไม่ยั้ง พี่เป็นคนไม่เผื่อเหลือเผื่อขาด เรื่องรัก พี่รักก็รัก ไม่รักก็ไม่รัก พี่ไม่ Use คน Financially ไม่ Use คน Sexually ไม่ Use คนในแง่ไหนเลย เพราะฉะนั้นถ้าใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ถ้าใช่ก็คือสุดตัว และบางครั้งที่สุดตัวมันก็ไม่ใช่ (หัวเราะ)”

“บ่อยครั้งที่มันก็ไม่ใช่ เวลาที่คุณอายุยังน้อย บ่อยครั้งที่พี่พบว่าก็ไม่เป็นไร มันไม่สำคัญว่าคุณรักได้ไหม มันสำคัญว่าคุณได้รัก สำคัญว่าเรายังรู้สึกถึงความรักได้ก็เท่านั้น”

“ไม่สำคัญว่าคุณรักได้ไหม มันสำคัญว่าคุณได้รัก สำคัญว่าเรายังรู้สึกถึงความรักได้ก็เท่านั้น”

“พี่จำได้ว่าตอนความรักมันระยำหมาเรารู้จักตัวเอง เรารู้ว่า เฮ้ย เราไปได้ไกลแค่ไหน กูตกต่ำได้แค่ไหน เรารู้สึกได้มากแค่ไหน พอถึงตอนนั้นแล้วพี่คิดว่า ข้อดีคือพี่ไม่เบลมใครอีกเลย ไม่เบลมผู้คน ในชีวิตพี่ ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง หรืออย่างน้อยที่สุดคือทุกคนมีความรู้สึกของตัวเอง พี่ไม่โทษใคร พี่ไม่ประเมินสิ่งนี้ต่ำ”

รักที่อยากลืม: คนในเจเนอเรชั่นยาแก้ปวด แค่คิดจะลืมก็ผิดแล้ว

เมื่อเจ็บปวดก็อยากลืม อยากรีบผ่านความรู้สึกนี้ไปให้ไว อยากข้ามไปสู่จุดใหม่ที่ไม่ต้องคิดถึงรักครั้งนั้นแล้ว ถ้ามียาแก้ปวดสักเม็ดที่กินแล้วหายปวดใจได้ เราคงไม่ลังเลที่จะคว้าเข้าปาก

“บางครั้งพี่คิดว่าคนรุ่นคุณ คนรุ่นใหม่ พวกคุณ Tense ที่จะไม่ทนความเจ็บ เป็นเจเนอเรชั่นยาแก้ปวด” ทันที่ที่เธอพูดประโยคนี้ เราคิดตาม “จริงว่ะ” คนรุ่นราวคราวเดียวกันรอบตัวเรา ไม่มีใครอยากอยู่กับความเจ็บปวด มีแต่คนอยากลืม มีแต่คนอยากดข้ามมันไป แล้วถ้าไม่ข้ามมันไป ชีวิตมันต้องยังไงต่อล่ะ? เราอดถามความเห็นเธอไม่ได้

“ส่วนถามว่าแล้วจะผ่านสิ่งนี้ไปยังไง? เดี๋ยวมันก็ผ่านเอง ปัญหาก็คือไม่ต้องคิดว่าคุณจะผ่านมันไป เพราะมันจะผ่านคุณเอง หรือบางคนก็บอกว่า แล้วทำยังไงกับเวลาที่เราผ่านไปล่ะ? เรากลายเป็นคนอีกคนหนึ่ง มีแฟนใหม่ แต่ก็ยังพะวง ถึงตรงนั้นอยู่ เราต้องทำอะไร?

พี่พบว่าก็ไม่เห็นต้องทำอะไร ก็อยู่ไปอย่างนั้น นาน ๆ ก็คิดถึงมันที ปวดใจแปล๊บขึ้นมาที ไม่เห็นต้องไปคิดว่าฉันต้องลืมเขาให้ได้ ฉันจะต้องก้าวข้ามตรงนี้ให้ได้ Live with it เหมือนที่เราอยู่กับทุกอย่างในชีวิต

เราก็มีชีวิต และมันก็มีส่วนที่ดีของมัน มีส่วนที่ไม่ดีของมัน ส่วนแตกร้าวของมัน ส่วนสวยงามของมัน เราก็เก็บทุกอย่างของมันแล้วก็อยู่ร่วมกับมันแบบนั้นแหละ”

เดี๋ยวมันก็ผ่านเอง ปัญหาก็คือไม่ต้องคิดว่าคุณจะผ่านมันไป เพราะมันจะผ่านคุณเอง

“ในความรักเรารู้จักตัวเอง เรารู้จักคนอื่น พอสิ้นหวังก็เริ่มต้นใหม่ ความรักมันกัดกินเกาะกุม เราก็นั่งคิดว่า เมื่อไหร่มันจะหาย?

บางครั้งพี่คิดว่าคนรุ่นคุณ คนรุ่นใหม่ พวกคุณ Tense ที่จะไม่ทนความเจ็บ เป็นเจเนอเรชั่นยาแก้ปวด ถึงเวลาหนึ่งพอคุณปวดใจปุ๊บ คุณก็รู้สึกว่าเมื่อไหร่จะหายเนี่ย เมื่อไหร่เรื่องนี้จะผ่านไป เมื่อไหร่ฉันจะเลิกฟูมฟาย เมื่อไหร่ฉันจะหยุดร้องไห้ ทำไมต้องหยุดล่ะ? ทำไมต้อง Recover จากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง?

“บางครั้งพี่คิดว่าคนรุ่นคุณ คนรุ่นใหม่ พวกคุณ Tense ที่จะไม่ทนความเจ็บ เป็นเจเนอเรชั่นยาแก้ปวด”

ทำไมคุณไม่เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ในฐานะคนคนหนึ่ง ฉันก็จะมีรักใหม่ ฉันก็เรียนรู้ที่จะรักคนอื่น ซึ่งก็จะแตกต่างกันออกไป ฉันก็ไม่ต้องลืมอันนี้หรอก เราก็แค่คิดถึงมันน้อยหน่อย เพราะว่าเราก็มีคนใหม่แล้ว เราก็มีงานทำ มีอย่างอื่นทำ ก็คิดถึงมันน้อยลงไป ๆ”

“ต้องลืมไหม? ก็ไม่ต้องลืมหรอก จะไปลืมได้ยังไง? แค่คิดว่าต้องลืมก็ผิดแล้ว เราไม่ลืมหรอก เน่าขนาดนั้นจะไปลืมได้ยังไง? แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่ได้ทำอะไรคุณนี่ มันก็อยู่ในที่ทางของมัน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ แค่ก็อยู่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ๆ” 

“แล้วพอวันหนึ่ง คุณอายุเท่าพี่ บางทีคุณก็อาจจะแบบว่า เอ๊ะ คนคนนั้นเขายังไงนะ? ทำไมกูจำอะไรไม่ได้ (หัวเราะ) มันก็เศร้าอีกแบบหนึ่งที่เคยร้องไห้ ให้ผู้ชายคนนี้เว้ย แต่ตอนนี้ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเขาเคยพูดอะไร ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเคยรู้สึกสึกยังไง ฉันจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นเรื่องมันเป็นยังไงนะ? เออ ลืม”

“ยิ่งแก่กว่านี้ก็จะลืมหนักขึ้นไปอีก ซึ่งพี่ก็พบว่า อ้าว ตอนนั้นมันไม่เศร้าเหรอวะ? คุณจำได้ว่าคุณเคยรัก แต่คุณจำอะไรไม่ได้เลย”

“คุณจำได้ว่าคุณเคยรัก แต่คุณจำอะไรไม่ได้เลย”

“ความรักก็เหมือนอย่างอื่น อื่น ๆ ก็กัดกินเราไม่ใช่เหรอ? แต่เรากลับรู้สึกว่าเราฟูมฟายเรื่องนี้เพราะว่า เรารู้สึกว่าฉันรักเขาตั้งแค่นั้น ขาดทุน กำไรหรือเปล่าวะ? มันเป็นเรื่องทุนนิยม หรือเปล่าวะ?

ความรักเป็นเรื่องเดียวที่เราทุนนิยมกับมันไม่ได้เลย กูจะมากำไร ขาดทุน ฉันทุ่มเทให้เขา ฉันอุตส่าห์ ฉันนั่น ฉันนี่ ฉันรักเขา เขาไม่รักฉัน ฉันให้เขา เขาไม่ให้ฉัน ฉันรักเขามากกว่า เขารักฉันน้อยกว่า อันนี้เป็นเรื่องที่จัดการไม่ได้เลยถ้าใช้ความคิดแบบทุนนิยมเข้ามา รักก็รัก ไม่รักก็ไม่รัก รักไปแล้วก็อาจจะไม่เลิกรัก หรืออาจจะเลิกรักไปแล้ว แต่ยังฟูมฟายก็ได้”

รักยุคทินเดอร์: เจอคนเยอะกว่า แต่กลับเดียวดายยิ่งกว่า

นอกจากรัก เลิกรัก เจ็บปวด อยากลืม สิ่งหนึ่งที่คนเจนฯ นี้เจอบ่อยแสนบ่อยคือ “ความเดียวดาย” จนอดสงสัยไม่ได้ว่าแล้วคนรุ่นวีรพร นิตติประภา เขาเดียวดายกันบ้างไหม? แล้วความรักความสัมพันธ์ต่างยุคต่างเจนฯ มันเหมือนหรือต่างแค่ไหนกัน?

“ต่างมากค่ะ คุณมี Tinder พี่ไม่มี คุณรู้จักผู้ชายมากกว่า คุณรู้จักผู้คนในแง่อื่น ๆ มากกว่า หรืออาจจะ ไม่รู้จักเลยก็ได้ สำหรับยุคพี่ก็คือ มองกันไป ก็มองกันมา เดตกันก็ 2 หน 3 หน 4 หน 5 หน บางทีก็ฟาวล์ บางทีก็ได้เป็นแฟนกัน นอนกัน เสร็จก็เลิกกัน”

“แต่ของคุณมันร่นเวลากระบวนการตรงนี้ขึ้นมา คำถามก็คือว่า ตอนที่มองกันไปมองกันมาเราอาจจะเห็นเขามากกว่าก็ได้เว้ย หรืออาจจะไม่เห็นก็ได้ มันมีทั้ง 2 อย่าง ขณะเดียวกันในยุคของคุณอาจจะเริ่มจาก Tinder เจอกัน ถึงเนื้อถึงตัวได้เลย ซึ่งก็ไม่ได้รับประกันอะไร อาจจะจอดอยู่แค่ตรงนั้น หรือหลาย ๆ คนพี่ก็เห็นแต่งงานกัน พี่ก็พบว่าสิ่งนี้มันน่าตื่นเต้น”

“ในยุคของพี่ ในบางครั้งคุณไม่มีโอกาสกระโจนเข้าสู่ความสัมพันธ์แบบใดเลยด้วยซ้ำ มันจำกัดด้วยพื้นที่ แต่ในขณะเดียวกันพี่ก็พบว่า คนรุ่นคุณก็เดียวดายไม่น่าเชื่อ

“ป้าว่าจะไปเปิด Tinder  ดูว่ามันเกิดอะไรในนั้น พี่พบว่าพวกคุณเดียวดายมากขึ้น คุณเริ่มต้นความสัมพันธ์ยากมาก ในขณะที่รุ่นของพี่นี่เราก็จะจีบกันตามร้านเหล้า ผับ ปาร์ตี้ คอนเสิร์ต ที่ทำงาน เลี้ยงรุ่น อะไรแบบนี้

มันไม่ได้รับรับประกันนะคะว่าเรามีความสัมพันธ์ที่ยืนยาวกว่า กระทั่งแต่งงานแล้วก็เถอะ พี่พบว่าคนรุ่นพี่มันเลิกรากันง่าย ในขณะที่คนรุ่นคุณก็กลับเริ่มต้นยาก แต่เวลาเป็นแฟนกันแล้ว ก็เหมือนจะยืนยาว ตอบลำบาก พี่แทบจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

จริง ๆ แล้วในยุคคุณมันไม่ใช่แค่เรื่องความรักไงคะ มันรวมถึงเรื่องการงาน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ทั้งหมดมันไปด้วยกันหมด”

“แต่คนรุ่นพี่ก็เดียวดายฮ่ะ เราอาจจะเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยมายาคติชุดใหญ่ด้วยว่าคนที่ฉันเจอที่ผับวันนี้ อาจเป็นคนนั้นที่จะแต่งงานกัน แล้วเราก็แต่งงานกันจริง ๆ

คนรุ่นพี่อาจแต่งงานกันเพื่อเซ็กซ์ ก็มีบางคนที่อยู่กันก่อนแล้วค่อยแต่งงาน หรือบางคู่ที่แต่งงานเพื่อจะนอนกัน ซึ่งในที่สุดได้เห็น มันอาศัยความอดทน มันอาจจะรอดก็ได้ อาศัยความอดทนมากมาย ใช่ไม่ใช่ ก็ไม่รู้ ในขณะที่พวกคุณรู้จักความสัมพันธ์ก่อนแล้ว”

รักที่จะมีชีวิต: จงเริ่มต้นที่การลองทำ 100 อย่าง เพื่อเจอสัก 1 อย่างที่ชอบ

ในบรรดาความรักหลากหลายประเภทในโลก เราสนใจความรักตัวเอง ความรักที่จะมีชีวิตของวีรพรมาก อาจเพราะเธอยังดูมีพลังล้นเหลือ ทาลิปสติกสีแดงสด หยิบจับอะไรด้วยความกระฉับกระเฉง แววตามีประกายวาววามเหมือนเด็ก ๆ และเธอเชื่อในการเริ่มต้นใหม่อยู่เสมอแม้จะอายุ 57 แล้วก็ตาม ซึ่งต่างกับเราร (หรือคนวัยใกล้เคียง) ราวฟ้ากับเหวที่ดูหมดหวัง หมดรักต่อชีวิต ต่อสิ่งที่ทำ ความรักที่จะมีชีวิตของวีรพร นิติประภามีอะไรซ่อนอยู่ข้างหลังกันแน่

“มันคงเริ่มมาจากตรงนั้นมั้งที่พี่บอกว่าความรักคือการที่เรารู้จักตัวเอง แล้วเมื่อหลังจากรู้จักตัวเองแล้ว คุณจะรักตัวเอง เพราะว่าคุณพบว่า หนึ่ง เรารักเป็น สอง เราเปราะบาง สาม เรางี่เง่า สี่ เราหลงใหลใฝ่ฝัน ห้า เรามีความเป็นมนุษย์ ตรงนั้นหรือเปล่า ตรงความเป็นมนุษย์ของเราไหม? ตรงนั้นมันไม่ได้บอกเหรอว่าคุณเป็นมนุษย์

ทำยังไงคนรุ่นใหม่ถึงจะรักตัวเอง? คุณต้องยอมรับความเป็นมนุษย์ของคุณให้ได้ก่อน คุณยอมรับความเป็นมนุษย์ของคนอื่น คุณจะเรียนรู้ที่จะรักในความเป็นมนุษย์นั้น ๆ ในความเปราะบาง ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเป็น”

“คุณจะเรียนรู้ที่จะรักในความเป็นมนุษย์นั้น ๆ ในความเปราะบาง ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเป็น”

“เช้าขึ้น อิฉันก็คือกระโดดกระเด้งลงกระไดมานุ่งกางเกงลิงตัวเดียว กดคอมฯ ทำงาน ใส่เสื้อยืดด้วย กดคอมแล้วก็ทำงาน

ปัญหาก็คือว่ามันไม่ได้อยู่ที่อายุ มันอยู่ที่ว่าคุณไม่เคยถูกสอนว่าคุณชอบอะไร การชอบเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งยวด แต่ว่าในประเทศนี้ หนึ่ง มีคนคอยบอกว่าไอ้นี่ดี ไอ้นี่ไม่ดี อยู่ตลอดเวลา คุณถึงไม่รู้ว่าคุณชอบอะไร คุณไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงชอบสิ่งนั้น คุณไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณชอบมันบอกทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ”

“ตอนคุณ 6 ขวบ คุณชอบเล่นตุ๊กตา หนึ่งมันบอกว่า คุณอาจจะชอบเป็นแม่ คุณชอบดูแล คุณอาจชอบงานที่ดูแล งานบริการต่าง ๆ เห็นไหมว่า 6 ขวบมันก็พอบอกอะไรบางอย่างกับคุณแล้ว แต่เสร็จแล้วแม่ก็บอกว่า หยุดเล่นตุ๊กตาได้แล้ว โตแล้ว ไปเรียนพิเศษสิ เรียนไอ้นั่นสิดี เรียนไอ้นี่สิดี เป็นหมอสิดี เป็นวิศวะสิดี เป็นสถาปนิกสิดี ดีที่ว่ามั่นคง จ่ายดี บลา ๆ ๆ “

“ความกระตือรือร้นที่จะโลดแล่นมีชีวิต แหกขี้ตาตื่นแล้วไปทำอะไรสักอย่าง คุณต้องเจอสิ่งที่ชอบก่อน”

“ไม่เกี่ยวกับคุณเลย ไม่มีอะไรเกี่ยวกับคุณเลย เพราะฉะนั้นคุณจะดำรงตรงนี้อยู่ได้ ความกระตือรือร้นที่จะโลดแล่นมีชีวิต แหกขี้ตาตื่นแล้วไปทำอะไรสักอย่าง คุณต้องเจอสิ่งที่ชอบก่อน ชอบมากด้วย ไม่ใช่แค่ชอบ คุณต้องชอบ คุณต้องทุ่มเท คุณต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่คุณชอบ รู้ว่าคุณมีราคาที่ต้องจ่าย รู้ว่าคุณได้อะไรตอบแทนมา แต่เราไม่สอนเด็กแบบนั้น เด็กประเทศนี้เลยไม่รู้จักชีวิตไงคุณ”

“มันอาศัยเวลาค่อนข้างเยอะ มันอาศัยการเรียนรู้ค่อนข้างเยอะด้วย สมมติว่า คุณได้ทำ 5 อย่างในชีวิต แล้วคุณไม่ชอบ 5 อย่าง คุณก็อาจไม่ชอบชีวิตเลย แต่ว่าสิ่งที่คุณชอบมันดันไปอยู่ในสิ่งที่ 8 นั่นหมายความว่าคุณต้องลองทำ 10 อย่าง หรือคุณอาจจะต้องทำ 100 อย่าง เพื่อที่จะค้นพบ 1 สิ่งที่คุณชอบ”

“หรือว่าคุณชอบนอน แค่นี้สังคมก็บอกว่าผิดแล้ว แต่พี่คิดว่าถ้าคุณชอบนอน แล้วคุณสนใจการนอนจริง ๆ คุณอาจเป็นนักออกแบบที่นอนที่น่าทึ่งคนหนึ่ง ที่ใครก็แล้วแต่มานอนที่นอนคุณแล้วจะไม่ตื่นเลย ก็เพราะกูชอบนอนไง แต่เราก็จะไม่มีใครไปทุ่มเทให้กับอะไรแบบนี้ เพราะว่ามีคนบอกคุณอยู่ตลอดเวลาว่าไอ้นี่ดีหรือไม่ดี”

“คุณต้องลองทำ 10 อย่าง หรือคุณอาจจะต้องทำ 100 อย่าง เพื่อที่จะค้นพบ 1 สิ่งที่คุณชอบ”

“เพราะฉะนั้นคำแนะนำของพี่คือว่าลองทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ วันนี้ไปขายกาแฟ พรุ่งนี้ไปเป็น Serial Killer มะรืนนี้เป็นเมียน้อย อีกวันหนึ่งไปสมัครตำรวจ อีกวันหนึ่งเป็นช่างภาพ ทำเยอะที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ในช่วงอายุหนึ่ง ก่อน 30 แล้วหลัง 30 ค่อยเลือกว่าคุณจะเป็นอะไร แล้วเมื่อเป็นจริง ๆ อาจจะไม่ชอบแล้ว ไม่สนุกแล้ว ก็ไปเป็นอย่างอื่นอีก แล้วก็ลองเป็นไปเรื่อย ๆ”

“แน่นอน เราเริ่มต้นใหม่ได้ตราบเท่าที่เรายังหายใจ คำถามก็คืออย่างนี้เว้ย อย่าลืมว่าบ้านเมืองเรามันล้าหลัง มันโคตรล้าหลัง ไอ้แนวคิดแบบว่าอย่าเป็นเป็ด อย่าหยิบโหย่ง อย่าทำโน่นทำนี่ ทำนั่นนิดนี่หน่อย เรื่องพวกนี้มันตกไปแล้ว”

“เราเริ่มต้นใหม่ได้ตราบเท่าที่เรายังหายใจ”

“ถ้าคุณอยู่เมืองนอก คุณไปสมัครงาน เขาจะถามคุณทันทีเลยว่า น้อง น้องเคยประท้วงอะไรมาบ้าง? เคยประท้วงอาจารย์ใหญ่ไหม? น้องเคยประท้วงรัฐบาลไหม? น้องเคยประท้วงเรื่องฝุ่นในอากาศไหม? น้องเคยไปประเทศไหนมาบ้าง? ไปอยู่นะ แบกเป้ไปอยู่เป็นเดือน เป็นอาทิตย์นะ ไม่ใช่แบบว่าเอาตูดไปแช่ออนเซ็น น้องเคยทำงานอะไรมาบ้าง เคยขายของเซเว่นไหม เคยเป็นนักเขียนไหม? เคยเป็นจิตรกรไหม? เคยเป็นอะไรมาบ้าง? น้องพูดได้กี่ภาษา? น้องมีแฟนกี่คน?”

“ยิ่งเคยลองทำมาเยอะ ยิ่งมีอภิสิทธิ์ นั่นยิ่งเป็นสิ่งที่เขาจะเลือก เพราะเขาไม่ได้สนใจหรอกว่าคุณจะลงลึกกับอะไร ปัญหาคือในโลกสมัยใหม่ เขาไม่ต้องการการลงลึก คุณสามารถเปิดยูทูบดูการสอนแต่งหน้า สอนแปลงเพศด้วยตัวเอง สอนผ่าตัดไส้ติ่งด้วยตัวเอง คุณสามารถแสวงหาความรู้ด้านลึกได้ด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ Adtitude วิธีคิดซึ่งมันจะเกิดขึ้นได้เมื่อผ่านประสบการณ์ที่หลากหลาย”

“โลกก็เป็น Multi-cultural เป็นมัลติเชื้อชาติ Multitask โทรศัพท์มือถือเดี๋ยวนี้ คุณไม่สามารถซื้อมันมาเพื่อโทรได้อย่างเดียวหรอก จริง ๆ มันคือกล้องถ่ายรูป คือสมุดบันทึก บางคนเขียนบทกวีในนั้น บางคนมีตารางนัดหมาย เป็นเลขาในนั้น เป็นทุกอย่าง”

“โลกสมัยใหม่ก็เป็นแบบนั้น คุณต้องทำได้หลายอย่าง คุณต้องเป็นสมาร์ตโฟน ถามว่ากล้องในมือถือถ่ายสวยได้เท่า กล้องจริง ๆ ไหม? Who need? ฉันแค่ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างที่มันยัดอยู่ในอันเดียวนี่แหละ นี่คือโลกสมัยใหม่ ซึ่งแน่นอนคนแถวนี้ไม่เข้าใจเพราะมันเป็นคนแก่ มีแต่คนแก่เท่านั้นแหละที่มานั่งบอกคุณ อย่าเป็ดนะ อย่าพหูสูตรนะ อย่าโน่นอย่านี่ อย่าแม่งทุกอย่าง อย่าจนประเทศเรายังติดอยู่ปี 2500 อยู่เลยฮ่ะ ไม่ได้ไปไหนเลย วิธีคิดนะฮะ ถ้าถามพี่มันคือหายนะชนิดหนึ่ง”

รักของแม่: ความกล้าจะปล่อยให้ลูกไปได้ดีกว่าคำแนะนำโง่ ๆ ของเรา

นอกจากเป็นนักเขียนซีไรต์ เป็นมนุษย์ที่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร วีรพรยังเป็นแม่ของลูกชายอีกหนึ่งคนด้วย ไม่เพียงเท่านั้นใคร ๆ มักขนานนามให้เธอว่าเป็น “แม่สายพังก์” แล้วความรักแบบแม่ ๆ สายพังก์ ความรักแบบแม่ของวีรพร นิติประภา จะเหมือนกับความรักของแม่แบบอื่น ๆ ที่เราเคยรู้มาแค่ไหน

“พี่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตเขา” แค่เกริ่นมาแบบนี้เราก็ยิ่งอยากรู้จักความรักแบบแม่ ๆ ของเธอมากขึ้นเป็นเท่าทวี

“พี่จำได้ว่าพี่ไม่เคยรักใครเท่านี้ สอง ถ้าเกิดกูตายห่าไปล่ะ อันนี้ที่น่ากลัว แล้วมันเกิดขึ้นเร็วมาก หลังคลอดก็เริ่มรู้สึกแล้ว พี่ก็เข้าใจนะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของอาการซึมเศร้าหลังคลอดด้วย การรู้สึกว่าฉันไม่จีรังยั่งยืน ฉันอาจจะตาย”

“มีตี 3 คืนหนึ่ง พี่ตื่นขึ้นมาแล้วก็ร้องไห้ พี่กลัวพี่ตาย พี่กลัวว่าพี่ตายแล้วลูกจะอยู่ยังไง? ลูกพี่เพิ่งเกิด พี่กลัวว่า เฮ้ย เขาจะไม่ไหว แล้วก็ในที่สุด สิ่งหนึ่งที่พี่ค้นพบคือความเปราะบางของชีวิต เฮ้ย มึงไม่ได้จีรังยั่งยืนเลยเว้ย เนี่ยความรักมันสอนเรา ความรักมันสอนเราว่าเราเปราะบางแค่ไหน แล้วพี่หวังอยู่อย่างเดียว ว่า เฮ้ย ถ้าเกิดกูเสือกตายขึ้นมา เขาต้องอยู่ให้ได้”

“พี่ไม่ใช่เจ้าของเขา พี่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ พี่จะตายเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นเขาก็ย่อมไม่ใช่ของของพี่เหมือนกัน”

“พี่หวังให้เขาอยู่ได้ เพราะฉะนั้น ณ โมเมนต์นั้นที่พี่เรียนรู้คือ พี่ไม่ใช่เจ้าของเขา พี่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ พี่จะตายเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นเขาก็ย่อมไม่ใช่ของของพี่เหมือนกัน เพราะพี่เปราะบางเกินกว่าจะจัดการให้เขาไปตลอดรอดฝั่ง พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เฮ้ย ตอนเช้าตื่นมาเดินข้ามถนนจะโดนรถชนตายไปเมื่อไหร่”

“เมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถที่จะยึดครองเขาได้ หรือเขาไม่ใช่สมบัติของเรา ความคิดมันจะต่างออกไปหมดเลย”

“ดังนั้นเมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถที่จะยึดครองเขาได้ หรือเขาไม่ใช่สมบัติของเรา ความคิดมันจะต่างออกไปหมดเลยนะ ก็จะเหลืออยู่แค่ว่า เราจะทำยังไงให้เขาเลือกเองได้ ตัดสินใจเองได้ ซึ่งก็เป็นโปรเจกต์ระยะยาวเหมือนกัน หนึ่ง ฉันต้องฝึกให้เขาอ่านเร็วที่สุด ซึ่งข้อนี้ทำได้ ลูกพี่อ่านหนังสือได้ตั้งแต่ 4-5 ขวบ 7-8 ขวบมันก็อ่าน Harry Potter 500 หน้าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว”

“อันนี้ก็เป็นความผ่อนคลายชนิดหนึ่งว่าเฮ้ย ไม่เป็นไร โลกนี้มีหนังสือเป็นหมื่น ๆ ๆ ล้านเล่ม กูตายไป ไม่เป็นไรแล้ว ขอให้เขารู้แล้วว่าเขาจะหาคำแนะนำได้จากที่ไหน หลังจากนั้นพี่ก็ไม่ต้องแนะนำอะไรเขามาก พี่ก็แค่ให้เขาเลือก แน่นอนมันคือการเสนอความเป็นไปได้ของชีวิตเขา เช่น อ่านหนังสือนะ ฟังเพลงนะ เล่นดนตรีไหม ไม่ชอบก็เลิก เรียนนี่ไหม ไม่ชอบเลิก ทำนี่ไหม ไม่ชอบเลิก เล่นทาเมย่าไหม ไปเรื่อย ๆ”

“ให้เขาได้ลอง หลาย ๆ อย่างก็ยังติดตัวอยู่ในชีวิตเขาไป แน่นอนหลาย ๆ อย่างเขาก็ไม่เอาเลย ไม่เอาอ่าวเลย ไม่ได้เป็นนักกีฬาที่ดี ในวัยเด็ก ม้วนตัวไม่ได้ สอบตก เขาอ่อนเรื่องนั้น แต่เมื่อเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาก็จะเริ่มออกไปวิ่ง ทำเท่าที่เขาทำได้ ซึ่งเห็นไหม พอคนคิดได้ มันก็จัดการตัวมันเองได้ไง”

“ขอโทษนะคะ คุณใช้มาชีวิตเดียว คุณรู้ได้ยังไงว่าชีวิตคุณแม่งดีสุดแล้ว? คำถามอยู่ตรงนี้ต่างหาก คุณดีมากเลยสิ อย่าทรนงตนไป ถ้าคุณคิดว่าคุณดีมาก คุณถึงอยากให้เขาเป็นอย่างที่คุณอยากได้ใช่ไหม แต่ถ้าคุณถ่อมตนสักนิด ว่าคุณก็เป็นมนุษย์ปุถุชนหนึ่งคน น่าจะโง่ด้วยซ้ำ Maybe”

“คุณใช้มาชีวิตเดียว คุณรู้ได้ยังไงว่าชีวิตคุณแม่งดีสุดแล้ว?”

“คุณก็จะปล่อยให้เขาไปได้ดีกว่าคำแนะนำโง่ ๆ ของคุณ  คุณก็ใช้ของคุณมาชีวิตเดียว คุณจะรู้ได้ยังไงวะ ว่าอาชีพนั้นมันไม่โสภาสถาพร คุณไม่เคยใช้ชีวิตนั้นด้วยซ้ำ มันก็เป็นชีวิตอีกแบบนึงเนอะ คุณจะบอกว่าโหย อาชีพนั้น ใฝ่ต่ำ ไม่ได้ (เสียงยาว) มันอาจจะดีที่สุดก็ได้”

“คุณทำงานแบงค์ คุณคิดว่ามันดี หรือคุณคิดว่าเป็นหมอดี? คุณก็ไม่เคยรู้อีกว่า หมอมีชีวิตแบบไหน ชีวิตครอบครัวแบบหมอเป็นยังไง? คุณก็ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลย เพราะหมอก็ไม่ได้มาพูดให้ใครฟัง คุณอาจปล่อยลูกคุณไปเป็นศิลปิน คุณอาจได้ยินอะไรที่น่าสนใจจากเขาก็ได้ ถ้าคุณมีลูกเป็นพระ คุณก็จะได้ฟังเรื่องเล่าเชิงโลกุตรธรรมอันล้ำเลิศ”

บทสนทนาจบลง ไม่แน่ใจว่าเราเข้าใจความรักดีขึ้นไหม แต่เราเข้าใจมากขึ้นว่าความรักก็เป็นเช่นนี้ มีด้านสวยงาม มีด้านปวดเจ็บ และมันไม่ได้ทำให้ความรักนั้นสมบูรณ์แบบน้อยลงแต่อย่างใด ไม่ต่างจากชีวิตที่มันสมบูรณ์แบบได้เพราะความหลากหลายของมันต่างหาก ยิ่งได้ลอง ได้เจ็บ ได้สุข ความทรงจำ ประสบการณ์จะยิ่งประกอบร่างให้เราเป็นเราที่เติบโตยิ่งขึ้น เพราะแบบนี้เราถึงเป็นมนุษย์

“ความรักก็เหมือนชีวิตนั่นแหละ พี่เชื่อว่าชีวิตที่สมบูรณ์แบบมันต้องมี 2 ด้าน มันต้องมีด้านตกต่ำระยำ เศร้าขม แน่นอนมันก็มีด้านสว่าง สวย งดงาม สดชื่น รื่นเริง บันเทิง มีด้านไร้สาระ มีด้านเฉย ๆ พี่เชื่อว่าความรักก็เหมือนชีวิต คือมีทุกอย่าง นั่นแหละคือจุดที่ทำให้ความรักมันสมบูรณ์แบบ”

ข้อความนี้ของ วีรพร นิติประภา ยังสะท้อนอยู่ในหัวเราไปมา…

PHOTOGRAPHER: Krittapas Suttikittibut

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line