CARS

Mercedes-AMG เปิดประวัติศาสตร์การผสมผสานสุดยอดวิศวกรรมและ DNA ความแรงจากสนามแข่ง

By: HYENA December 11, 2020

ถ้าพูดถึงแบรนด์รถยนต์หรูอย่าง Mercedes-Benz น่าจะพูดได้เต็มปากว่าเป็นรถในฝันของมนุษย์ทุกคน ด้วยรูปลักษณ์การออกแบบที่น่าหลงใหล สมรรถนะ เทคโนโลยี และความปลอดภัยที่เหนือกว่าใคร เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีความน่าเชื่อถือด้านวิศวกรรมระดับโลกจากประเทศเยอรมนี สะท้อนรสนิยมความมีระดับ ความสำเร็จของคนคนนั้นได้อีกด้วย

หลายคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่านอกจาก Mercedes-Benz รุ่นรหัสปกติ มันยังมีความพิเศษที่เหนือกว่าภายใต้ชื่อรหัส ‘AMG’ อยู่ด้วย ซึ่งเป็นรหัสที่หลายคนคุ้นเคยปนสับสน ระหว่าง Mercedes-Benz AMG line ที่เน้นการตกแต่งเพิ่มอารมณ์สปอร์ต เช่น C 220 d AMG Dynamic และ Mercedes-AMG Car รถที่ผ่านการปรับจูนสมรรถนะจากนวัตกรรม Race Cars ซึ่งจะแตกต่างตั้งแต่เครื่องยนต์ สมรรถนะ ช่วงล่าง และการตกแต่งทั้งภายนอกภายใน เช่น

  • Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 245 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลัง มีชุดแต่ง AMG รอบคัน
  • กับรถที่เป็น AMG-Built based on บอดี้โมเดลเดียวกันในเวอร์ชั่น High-performance อย่าง Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร พละกำลัง 435 แรงม้า ขับเคลื่อนสี่ล้อ
  • และสุดท้ายคือโมเดลที่ Mercedes-AMG สร้างขึ้นโดยเฉพาะอย่างเช่น Mercedes-AMG GT R, Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ 4-Door Coupe

วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับความพิเศษขั้นกว่าของ AMG กับ Mercedes-Benz กันแบบเจาะลึก ให้เข้าใจกระจ่างถึงที่มาที่ไป ไขข้อข้องใจในความแตกต่างที่หลายคนอาจเคยสงสัย และรู้จัก Mercedes-AMG ให้มากขึ้น เพราะหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า จริง ๆ แล้ว AMG คือหนึ่งในบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการยานยนต์ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นทีมรถแข่ง F1 รวมไปถึงการเป็นเจ้าของสถิติการทำเวลาในสนาม Nürburgring เป็นอันดับหนึ่ง ยืนตระหง่านอยู่เหนือเหล่าแบรนด์ Supercar ทั้งหลายในตอนนี้

ไม่ว่าจะเป็นชุดแต่ง หรือเครื่องยนต์สมรรถนะสูงที่อยู่ใน Mercedes-Benz ต้องมาพร้อมกับตัวอักษร 3 ตัวที่เขียนว่า AMG เสมอ 

AMG ซึ่งย่อมาจาก Aufrecht, Melcher และ Großaspach โดยชื่อ “Aufrecht (Hans Werner Aufrecht)” และ “Melcher (Erhard Malcher)” มาจากชื่อผู้ก่อตั้งบริษัท AMG ส่วน “Großaspach” นั้นเป็นชื่อเมืองบ้านเกิดของ Aufrecht ซึ่งทั้ง 2 เคยทำงานเป็นวิศวกรที่ทำงานอยู่ในแผนกพัฒนารถแข่งของ Daimler บริษัทแม่ของ Mercedes-Benz ก่อนจะลาออกมาสร้างชื่อเสียงในการโมดิฟายรถ Mercedes-Benz เพื่อลงแข่งในสนามโดยเฉพาะ และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่มายาวนาน

ผลงานของ AMG นั้นยิ่งใหญ่จนกระทั่ง Daimler AG เกิดไอเดียที่จะให้ AMG เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท โดยรับหน้าที่ปรับแต่งพัฒนารถ Mercedes-Benz ให้มีดีไซน์และสมรรถนะสูงกว่า Mercedes-Benz โมเดลปกติ เพราะยังไง AMG ก็เป็นสำนักแต่งที่ชื่นชอบและเน้นการปรับแต่งรถ Mercedes-Benz เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเกิดการจับมือเซ็นสัญญาทำข้อตกลงกันระหว่าง Daimler AG และ AMG ขึ้นในที่สุด

การดึง AMG เข้ามารวมกับ Mercedes-Benz นั้นถือว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่เฉียบแหลม สามารถต่อยอดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และสร้างผลประโยชน์ระหว่างกันได้อย่างราบรื่น ทาง Daimler AG ช่วยขายรถที่ AMG ปรับแต่งมาแล้วผ่านโชว์รูม Mercedes-Benz ทั่วโลก ส่วนทางฝั่ง AMG ก็ได้ทำหน้าที่ปรับแต่งรถ Mercedes-Benz ให้เร็วแรงตามที่ใจรักต่อไป เมื่อมีรถรุ่นใหม่ออกมา ก็ต้องมีรถที่จูนหรือและปรับแต่งโดย AMG มากขึ้นตามไปด้วย ฝั่งลูกค้าก็มีทางเลือกที่เหมาะสมกับการใช้งานแบบครบถ้วน ถือว่า ‘Win-Win-Win’ กันทุกคน

ความสำเร็จนี้ทำให้อีก 6 ปีต่อมา Daimler ได้เข้าไปทำการซื้อหุ้นของ AMG ถึง 51% และดึง AMG เข้ามาเป็นแบรนด์ในเครือ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น Mercedes-AMG GmbH และกลายเป็นแบรนด์สำนักแต่งคู่ขวัญคู่บุญให้รถของค่าย Mercedes-Benz 

ในประวัติศาสตร์ AMG ได้พัฒนารถแข่งที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดในยุค สร้างสถิติสำคัญเอาไว้มากมายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นรากฐานที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับ Mercedes-AMG และยังคงเป็น Iconic Cars ที่สำคัญในวงการยานยนตร์มาถึงวันนี้

นี่คือรถคันแรกที่ AMG ได้ทำการปรับจูนรถยนต์ Mercedes 300 SEL และตั้งชื่อเล่นให้มันว่า “Red Pig” เนื่องจากมันมีรูปร่างค่อนข้างไปทางเทอะทะด้วยตัวถังที่ยาวถึง 4.8 เมตร และมีน้ำหนักมากถึง 1.7 ตัน จากภาพที่คนทั่วโลกมองว่า 300 SEL คือรถมาดนิ่งเน้นความหรูหรา กลับถูกทีม AMG จับมาจูนนิ่งใหม่หมด โมดิฟายเครื่องยนต์ ลดน้ำหนักด้วยการเปลี่ยนวัสดุภายใน ปรับแต่งช่วงล่างให้เตี้ยเหมาะสำหรับการควบคุมรถสมรรถนะสูง รวมถึงใส่ยางสำหรับรถแข่งในสนามเข้าไปแทน

หลังจากปรับแต่งเจ้า Red Pig คันนี้เสร็จเรียบร้อย ก็นำไปลงแข่งขันในงาน Spa 24 Hours ปี 1971 ประเทศเบลเยี่ยม และ Red Pig คันนี้ก็ไม่ทำให้ทีมงาน AMG รวมไปถึงแฟน ๆ Mercedes-Benz ต้องผิดหวัง ด้วยการแซงเหล่ารถสปอร์ตทั้งหลายขึ้นนำคว้าชัยชนะอันดับที่ 2 มาครอบครอง ทำให้ชื่อชั้นของ AMG รู้จักแพร่หลายอย่างรวดเร็ว และเหนือสิ่งอื่นใด นี่คือวันที่ทั่วโลกได้เห็นรถยนต์ Mercedes-Benz ในเวอร์ชั่น Race Car ที่ทั้งเท่และซิ่งจนคนทั้งโลกต้องตกตะลึง


หลังจากที่ผู้คนเริ่มรู้จักกับ AMG มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในหมู่คนที่เป็นเจ้าของ Mercedes-Benz ว่าสามารถแต่งให้แรงและลุคดูโหดขึ้นได้ ธุรกิจของ AMG ก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมาพีคสุดในช่วงปี 1986 เมื่อทาง AMG ได้ปล่อยรถคันใหม่ล่าสุดออกมาในชื่อ AMG ‘The Hammer’ เป็นการนำเอา Mercedes-Benz 300 SE Sedan มาวางเครื่องยนต์ V8 ที่ผ่านการโมดิฟายมาแบบเต็มเหนี่ยวเข้าไปแทนที่เครื่องเดิม

นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงตัวถังให้มี Aerodynamic สมบูรณ์แบบมากขึ้น ดุดันขึ้น แต่ยังคงรักษาความเงียบและความนุ่มนวลยามขับขี่ในห้องโดยสารตามมาตรฐาน Mercedes-Benz เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน โดย AMG ‘The Hammer’ คันนี้สร้างอัตตาเร่งที่น่าทึ่งเอาไว้ที่ 0-60 ไมล์ ในเวลาเพียง 5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 286 กม./ชม. ซึ่งถือว่าเร็วที่สุดในยุคนั้นเลยทีเดียว


หลังจาก AMG ‘The Hammer’ ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม จนกระทั่งปี 1999 Daimler จึงได้เข้าซื้อหุ้น 51% ของ AMG พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น Mercedes-AMG และยังคงสร้างรถที่เป็นตำนานออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการพัฒนาเทคโนโลยีใส่ความเป็น Racing DNA เข้าไปให้เข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นทางเลือกสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความแรงแบบรถ High Performance car ในคุณภาพระดับสูงที่หรูหราของ Mercedes-Benz

แม้กระทั่งในโลกยุคปัจจุบัน Mercedes-AMG ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีความแรงทั้งในและนอกสนามแข่ง ด้วยรถยนต์รหัสร้อนแรงคันล่าสุด 2020 Mercedes-AMG GT Black Series ซึ่งต้องถือว่าเป็น Production Car ที่มีเทคโนโลยีและพละกำลังมากที่สุดเท่าที่เคยผลิตมาด้วยเครื่องยนต์ V8 Twin-Turbo แบบ Flat-Plane Crank แบบเดียวกับที่ใช้ในรถแข่ง ให้กำลังสูงสุดถึง 730 แรงม้า ทุกรายละเอียดคือเทคโนโลยีทางวิศวกรรมขั้นสูงสุดบรรจงสร้างมันออกมาอย่างปราณีต สามารถสร้างสถิติโลกใหม่ในการทำเวลาต่อรอบเร็วที่สุดในโลกสำหรับรถยนต์ประเภท Production Car บนสนามลูปเหนือ (Nordschleife Loop) ที่มีความยาว 20.832 กิโลเมตร ของสนามแข่ง Nürburgring ไปด้วยเวลาเพียง 6:43.61 วินาทีเท่านั้น ทำลายสถิติเก่า 6:44.97 ที่ Lamborghini Aventador SVJ เคยทำเอาไว้ในปี 2018


เชื่อว่าถึงตรงนี้ หลายคนน่าจะรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของ Mercedes-Benz และ AMG รวมถึงแยกความแตกต่างระหว่าง AMG Line ที่เน้นเฉพาะการตกแต่งเพิ่มอารมณ์สปอร์ต กับ AMG Car ที่เป็นรถสมรรถนะสูงโดยกำเนิด สร้างและจูนโดย AMG เป็นรถที่ถูกสร้างและออกแบบอย่างพิถีพิถันใหม่เกือบทั้งคัน จนคาแรคเตอร์ของรถแตกต่างชนิดเทียบกันไม่ได้

ด้วยสมรรถนะที่พร้อมลงสนามแข่งแค่ปรับโหมดเป็น Sport+ หรือจะเน้นขับใช้งานในวันปกติก็นุ่มนวลได้ด้วยโหมด Comfort ในรถยนต์ที่หรูหรา ปลอดภัย ทำให้คนรักรถจากทั้งโลกให้ความสนใจใน Mercedes-AMG อย่างล้นหลาม และปัจจุบัน Mercedes-AMG ที่มี Performace ในระดับ Supercar มีรุ่นแยกย่อยที่สามารถจับต้องได้ง่ายขึ้น จากความเข้าใจในความหลากหลายของกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งในประเทศไทยก็มีการทำตลาด Mercedes-AMG จำนวนทั้งสิ้นมากถึง 18 รุ่น ครอบคลุมครบทุกโมเดลตั้งแต่ 35, 43, 53, 63  หรือแม้แต่ตระกูล GT

The AMG 35 Range

The AMG 43 Range

The AMG 53 Range

The AMG 63 Range

The AMG GT Range

ใครอยากลองสัมผัสความแตกต่างของ Mercedes-AMG  สามารถนัดเพื่อทดลองขับคันจริงได้ที่ผู้จำหน่าย Mercedes-AMG อย่างเป็นทางการ และสุดท้ายเราขอฝากสำหรับคนที่ชื่นชอบ Mercedes-Benz และหลงใหลในความแรง รวมถึงชุดแต่งต่าง ๆ ของ AMG ในรถแต่ละรุ่น การเลือกซื้อรถ Mercedes-AMG จากโรงงาน จะประหยัดกว่าการซื้อรถ Mercedes-Benz ไปแต่งในภายหลังอย่างแน่นอน

แค่เพิ่มเงินอีกเล็กน้อย คุณจะได้ DNA จากสนามแข่งและคุณภาพความเป็น AMG แท้ ๆ เครื่องยนต์และระบบการขับขี่ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ที่สำคัญมี Warranty พร้อมศูนย์ดูแลที่ไว้ใจได้อย่างเป็นทางการ รับรองว่าถ้าคุณได้ลองขับ AMG Car แท้ ๆ ความประทับใจในความแตกต่างจะทำให้คุณไม่อยากพรากจากมันไปอย่างแน่นอน

 

HYENA
WRITER: HYENA
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line