Life

ทำไมคนเราถึงไม่ยอมรับว่าตัวเองไม่รู้ ? ยอมเถอะครับ! เพราะการยอมรับไม่ใช่เรื่องแย่

By: unlockmen January 23, 2019

คำชื่นชม ยินดี เป็นสิ่งที่รื่นหูคนฟังเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราเป็นคนที่ได้รับสิ่งหอมหวานเหล่านั้น ในทางกลับกัน หากเราได้รับคำที่ไม่น่าฟังอย่างการด่าทอ เกรี้ยวกราด เราก็คงมีวิธีการตอบกลับที่แตกต่างกันไป

สำหรับสิ่งที่มันชัดเจนว่ามันแง่บวกหรือลบ เราก็จะมี Re-Action ที่อยู่ในหัวของเราอยู่แล้วว่าถ้าได้รับมาแบบนี้จะตอบกลับอย่างไร

แต่สิ่งที่เราจะหยิบยกชวนทุกคนมาพูดคุยกันในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรือเรื่องที่แย่ มันคือสิ่งที่อยู่ตรงกลาง อย่างการยอมรับผิด สิ่งนี้ต่างหากที่สร้างบรรยากาศแสน Awkward ว่าเราจะรับมือสิ่งนี้ยังไงดี หรือการรับมือแบบไหนคือสิ่งที่ควรทำกันแน่

UNLOCKMEN จะชวนหนุ่ม ๆ มาพูดคุยเล่น ๆ ในเรื่องที่แสนจะจริงจังนี้กัน ว่าทำไมคนเราถึงไม่ค่อยจะยอมรับว่าตัวเองผิดหรือไม่รู้ มันไม่ดียังไง แล้วการยอมรับผิดที่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ดี มันดีกว่าจริงมั้ยและดีกว่ายังไงบ้าง

ทำไมการยอมรับว่าเป็นฝ่ายผิดมันช่างยากเย็น

เราไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องการยอมรับผิดที่อ้างถึงการทำผิดต่อใครสักคนแต่ยังหมายถึงการยอมรับว่าตัวเองไม่รู้ หรือสิ่งที่รู้มานั้นมันผิด สิ่งเหล่านี้ที่พูดมาทำไมคนเราถึงชอบฮึดฮัดอารมณ์เสีย เมื่อเราไปตกอยู่ที่นั่งของฝั่งคนผิด เราจะแยกเป็นหัวข้อคร่าว ๆ ให้พอเข้าใจง่าย ๆ กัน

โดนเปลี่ยนความคิดที่เชื่อมาตั้งนาน

หากเรารับรู้อะไรสักอย่างมาแล้วเชื่อว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูก ฝังในหัวเราอยู่อย่างนั้น แล้ววันนึงเกิดมีคนมาบอกว่า เฮ้ย! อันนี้มันไม่ใช่เรื่องจริงนะ หรือนิสัยบางอย่างที่เราปฏิบัติมานานโดยไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับคนอื่นหรือสังคมโดยรวม วันนึงเกิดโดนเปลี่ยนขึ้นมา อย่างแรกเลยมันเสียความมั่นใจ ว่าเราจำ/ทำสิ่งผิด ๆ มาตั้งนานหรอวะเนี่ย คิดว่าถูกมาตลอด พอโดนทัก ผิดเลย สับสน งงงวย ทำยังไงดี โกรธบ้าง ตีมึนบ้าง อะไรก็ช่าง แต่สิ่งหนึ่งที่กระตุกต่อมเราก็เพราะโดนล้มสิ่งที่ฝังอยู่ในหัวมานานนั่นเอง

 เพราะมันไม่อาจชี้ชัดได้ว่าถูกหรือผิด

จำเดรสเจ้าปัญหาที่เป็นไวรัลไปทั่วโลกมั้ย ว่ามันคือสีขาวทอง หรือน้ำเงินดำกันแน่ หรือคำถามเจ้าปัญหาอย่าง “อยากให้เมื่อวานเป็นวันนี้จัง พรุ่งนี้จะได้เป็นวันศุกร์” ทั้งหมดนี้ต่างคนต่างมีวิธีคิดและมีคำตอบในใจ หากใครมาแหกเราก็พร้อมจะกางแผนผังวิธีคิดให้ดู เพราะในเมื่อมันยังไม่มีคำตอบที่ชี้ชัด เราย่อมยึดคำตอบในใจของตัวเองเป็นที่หนึ่งเสมอ แล้วเรื่องอะไรจะให้คนอื่นมาบอกว่าเราผิดล่ะ จริงมั้ย ?

มันก้ำกึ่งอยู่เหมือนกัน ระหว่างการยอมรับผิดแต่โดยดีกับการเสียหน้า

หากก้าวพลาดแล้ว การหาทางลงที่สวยคงจะเป็นทางรอดที่ดีที่สุดของเรา แต่ไอ้ทางลงที่สวยนั้นอาจต้องแลกมากับการยอมรับว่าเราหน้าแตก ผสมปนเปไปกับความอับอายด้วย

ยิ่งเราเป็นคนอีโก้สูงเท่าไหร่ เราก็จะจมลงยากเท่านั้น การยอมรับผิดจะยิ่งน่าอายแปรผันตรงไปกับอีโก้ของเรา หรือต่อให้เป็นคนที่ไม่ได้อีโก้สูงนักก็คงจะรู้สึกถึงความเขินอายยอมต้องเอ่ยปากว่าเราเป็นฝ่ายผิด คนที่ไม่ชอบให้ตัวเองตกอยู่ในฐานะคนผิดก็คงจะไม่ยินดีกับการยอมรับแต่โดยดีนัก

จากเหตุผลที่กล่าวมา ทั้งหมดคือสิ่งที่เรากำลัง “ปกป้องตัวเอง” หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา การยอมรับผิดอาจไม่ใช่ปฏิกิริยาตอบกลับสิ่งแรกที่เราจะทำ โดยเฉพาะในเรื่องที่เราเชื่อว่าเราเป็นฝ่ายถูกมาตลอด

เราจะเริ่มไตร่ตรอง เริ่มหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง (Rationalization) เริ่มกล่าวโทษผู้อื่น จนได้ข้อสรุปที่ว่าเราไม่ผิดนั่นแหละ การยอมรับผิดจึงเป็นเรื่องที่รู้สึกฝืนความรู้สึกของเราเสียหน่อย แต่ด้วยสังคมรอบข้างที่ขัดเกลาให้เรารู้ว่าการยอมรับผิดคือสิ่งที่ดีและควรทำเมื่อเรารู้ว่าตัวเองพลาดไป

ต่อจากนี้ลองมาทำความเข้าใจการยอมรับผิดแบบเปิดใจ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นอย่างที่เราคิดเลย

ยอมเถอะครับ! เพราะการยอมรับไม่ใช่เรื่องแย่

ก่อนอื่นต้องลืมความคิดแบบเดิมว่าการยอมรับผิดเป็นเรื่องของความอับอาย เหมือนโดนลากไปกระทืบกลางสี่แยก มาเข้าใจกันใหม่ว่าการยอมรับผิดไม่ใช่เรื่องแย่ มันไม่ใช่การลงโทษด้วยคำพูด อันนี้เราก็จะบอกเป็นข้อ ๆ ให้เห็นภาพกันง่าย ๆ เหมือนกันว่าทำไมการยอมรับมันดีกว่าจริง ๆ

การยอมรับเพื่อให้รู้ว่าเราไม่รู้

อย่างที่บอกว่าการยอมรับไม่ใช่การลงโทษ แม้มันจะทำให้เรารู้สึกเขินอายที่จะเอ่ยปากออกไปก็ตาม แต่มันคือการบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่า เราเองเนี่ย รู้แล้วนะว่าเราผิดหรือเราพลาดอะไรไป อย่างน้อยเราก็ได้รู้เพิ่มอีกอย่างแล้วนะว่าเรากำลังไม่รู้

ยอมรับแล้วเราจะเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น

พอยอมรับแล้วเนี่ย เหมือนกับเราเดินเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น เพราะเราปลดชุดความคิด ความเชื่อ หรืออะไรบางอย่างที่ผิดไปแล้ว เราก็เตรียมพร้อมที่จะรับสิ่งที่ถูกต้องเข้ามาแทนของเดิมที่เราเสียไป พูดง่าย ๆ ก็คือการเปรียบเทียบที่เราได้ยินบ่อย ๆ อย่างเรื่องน้ำเต็มแก้ว น้ำครึ่งแก้วนั่นแหละ

ยิ่งรู้จักยอมรับยิ่งเป็นคนเปิดกว้าง

หัดยอมรับบ่อย ๆ เข้าเราก็จะเป็นคนเปิดกว้างมากขึ้น เพราะขั้นกว่าของการฟังความคิดเห็นก็คือการยอมรับว่าเราไม่รู้นี่แหละ พังกำแพงอีโก้ลงไปแล้ว รอรับสิ่งใหม่ ๆ ไม่ว่าเราจะปักใจเชื่อแต่แรกหรือไม่ จะไตร่ตรอง ขบคิดทีหลัง อย่างน้อยเราก็ได้รับสิ่งใหม่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่เราจำต้องปลดมันทิ้งไปจากสมอง

การยอมรับว่าไม่รู้ในวันนี้ ตั้งแต่วินาทีที่เรารู้ว่าตัวเองไม่รู้ ถือว่าเราได้เริ่มการยอมรับสิ่งใหม่เข้ามา วันต่อไปเราก็ไม่ต้องแบกความไม่รู้นี้เอาไว้กับตัวอีกแล้ว เพราะฉะนั้น เลิกคิดได้เลยว่าการยอมรับมันเป็นสิ่งน่าอาย เชื่อเถอะว่าไม่มีอะไรน่าอายเท่าการปล่อยไก่ต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองเป็นไก่แล้ว

SOURCE

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line