Entertainment

ความหมายที่แท้จริงของเพลง Hotel California ที่เราเข้าใจผิดมาตลอด

By: unlockmen May 8, 2015

Cover

“Welcome to the Hotel California…” เชื่อว่าเมื่อได้ยินเสียงเพลงนี้ดังขึ้นตามสถานที่ต่างๆ เราคงอดไม่ได้ที่จะต้องแอบฮัมตามไปด้วย เพลง Hotel California ถือเป็นเพลงระดับโลกอีกเพลงหนึ่ง ที่ไม่ว่าผู้ใหญ่ เด็ก คนแก่ หรือใครๆก็ต้องรู้จัก

Hotel California เป็นผลงานของวง The eagles ซึ่งเรียกว่าเป็นวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุค 70 เลยทีเดียว วง The eagles มีเพลงครองชาร์ตอันดับหนึ่งบนบิลบอร์ดอย่างยาวนานถึง 7 เพลง และได้รับรางวัลแกรมมี่อวอร์ดถึง 6 รางวัล แต่ส่วนมากพวกเขาจะไม่ไปรับรางวัลเหล่านี้ ซึ่ง ดอน เฮนลีย์ ศิลปินของวงเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาสร้างวงดนตรีของพวกเขาขึ้นมาไม่ใช่เพื่อรางวัล ดังนั้นรางวัลจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดที่วงของเขาต้องการ ซึ่งเราก็สามารถพิสูจน์คำพูดของเขาได้จากยอดขายของผลงาน โดยมียอดขายรวมกันกว่า 120 ล้านตลับทั่วโลก

ในปี 1977  Hotel California ได้ไต่ขึ้นไปครองอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ด และได้รับการจัดอันดับจากทางนิตยสาร Rolling Stone ว่าเป็น 500 อัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล โดยในปีนั้นเพลงนี้ก็ได้คว้ารางวัล Record of the year ไปเป็นที่เรียบร้อย

eagles47

ดอน เฟลเดอร์ มือกีตาร์ของวง เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า เขาได้แต่งเพลงนี้ขึ้นในราวปี 1974-1975 เป็นช่วงที่เขาเพิ่งซื้อบ้านหลังใหม่ในหาดมาลิบูล รัฐแคลิฟอร์เนีย ในเช้าที่สดใสวันหนึ่งขณะที่เขาออกมาเปิดหน้าต่างในห้องนั่งเล่นทุกบาน แล้วนั่งเกากีต้าร์เรื่อยเปื่อย อยู่ดีๆ ท่อน Solo ของเพลงนี้ก็ไหลออกมา

หลายคนอาจเคยรู้ความหมายของเพลงๆ นี้ ว่าเป็นเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวของนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปพักอยู่ในโรงแรมผีสิงและต้องเผ่นออกมากลางดึก ซึ่งถ้าแปลความหมายตรงตัว เพลงนี้ก็คงจะมีความหมายแบบนั้น แต่แท้จริงแล้ว รู้กันไหมครับ ว่าเพลงๆ นี้ซ่อนเรื่องราวบางอย่างไว้ในเนื้อเพลง

ความหมายที่ซ่อนอยู่ของเพลง Hotel California เป็นการเปรียบเปรยถึงอุตสาหกรรมของดนตรีในยุคนั้น ซึ่งเรียกได้ว่าซ่อนความหมายไว้อย่างเฉียบคม ในปี 1977 เป็นปีที่อุตสาหกรรมของดนตรีตกต่ำลงอย่างมากทางด้านคุณภาพ ไม่มีอะไรแปลกใหม่เหมือนวนอยู่ที่เดิมซ้ำๆ เรียกได้ว่าเกือบถึงยุคทางตันของ Rock ‘n roll ดังนั้นทางวงเดอะอีเกิลส์จึงได้ทำการแต่งเพลงนี้ออกมาเพื่อเสียดสีวงการเพลงนั่นเอง โดยเราได้ทำการหยิบบางท่อนบางตอนที่สำคัญมาให้ดูกันครับ

“Please bring me my wine 
He said We haven’t had that spirit here since 1969”

โดยท่อนนี้เป็นการเสียดสีอุตสาหกรรมเพลงยุคนั้นโดยตรง โดยจะเห็นว่าใช้คำว่า “Spirit” ซึ่งมีความหมายที่แปลได้ทั้งคำว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ และ จิตวิญญาณ โดยในปี 1969 ที่พูดถึงก็คือเป็นปีที่มีคอนเสิร์ต Woodstock ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตร็อคแอนด์โรลล์ที่เรียกได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตสุดท้าย ณ เวลานั้น ที่แสดงถึงจิตวิญญาณของร็อคแอนด์โรลล์ได้อย่างแท้จริง ดังนั้นความหมายของท่อนนี้ก็เปรียบเปรยว่า เราไม่ได้มีจิตวิญญาณอะไรแบบนั้นมาตั้งแต่ปี 1969 แล้ว นั่นเอง

“she’s got the Mercedes bends”

ท่อนนี้ก็ถือเป็นอีกท่อนหนึ่งที่มีการเข้าใจผิดกันมากว่าคงพิมพ์ผิดมาจากคำว่า Mercedez bends แต่ทางวงได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าความจริงเป็นความตั้งใจของเขาเพื่อต้องการจะเสียดสี เพราะว่าในยุคนั้นพวกศิลปินมักทำตัวไฮโซ และดูสูงส่งโดยการเลือกใช้แต่รถหรูราคาแพงและเสพของแบรนด์เนม ซึ่ง bends มีความหมายว่าโค้งงอ บูดเบี้ยว นั่นเอง

“She’s got a lot of pretty, pretty boys That she calls friends”

ท่อนนี้เป็นการเสียดสีของเหล่าศิลปินดนตรีในยุคนั้นอย่างแท้จริง โดย Pretty คือชื่อของวงดนตรีที่อยู่ในยุคนั้น และ She ก็เป็นชื่อของค่ายเพลงนั่นเอง

“We are all just prisoners here -Of our own device”

ท่อนนี้เป็นการตัดพ้ออย่างแท้จริงถึงวงการเพลงในยุคนั้นที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ออกมาเลย ซึ่งเปรียบเปรยว่าศิลปินทั้งหลายเสมือนตกเป็นนักโทษ ที่ถูกจองจำอยู่ภายใต้เครื่องดนตรีของตัวเอง

“You can checked out anytime you like but you can never leave”

ท่อนนี้เป็นท่อนที่เรียกได้ว่าปิดท้ายเพลงได้อย่างสวยงาม ความหมายของท่อนนี้เป็นการบอกคำเตือนถึงเหล่าศิลปินทั้งที่อยู่ในวงการเพลงและคนที่พยายามไขว่คว้าที่จะเข้ามาอยู่ในวงการนี้ว่า “คุณอยากจะบอกลาวงการนี้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่คุณไม่สามารถที่จะออกไปได้”

จากความหมายของเพลงนี้สามารถแสดงให้เราเห็นว่า ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นทำอะไรก็ตาม ให้เลือกสิ่งที่เรารักและคิดว่าดีที่สุดสำหรับเราเสมอ เราจึงจะทำมันออกมาได้ดี เพราะถ้าเรามารู้ตัวทีหลังว่าแท้จริงแล้วนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ ก็อาจจะสายไปที่จะกลับไปแก้ไข อย่างที่ท่อนสุดท้ายของเพลงนี้เขาบอกไว้นั่นแหละครับ You can checked out anytime you like but you can never leave

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line