Life

THE PROFILES: รู้จักเบื้องหลังอันดำมืดของ Jason Vukovich อาชญากรผู้หมายหัวคนใคร่เด็กในอลาสก้า

By: unlockmen September 22, 2021

เวลาเราดูหนังฮีโร่ เรามักเห็นเรื่องราวของวายร้ายที่ไม่ได้มีนิสัยเลวร้ายมาแต่กำเนิด บางคนก่อนหน้านั้นเป็นคนดีด้วยซ้ำ แต่พวกเขาได้เจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตของเขาดิ่งลงอย่างช้า ๆ เช่น ถูกทารุณกรรม ถูกกลั่นแกล้ง หรือ ถูกล่วงละเมิดทางเพศในวัยเด็กมาเป็นเวลานาน เหตุการณ์ฝั่งใจเรานั้นกลายเป็นแรงบันดาลใจที่พาพวกเขาเข้าสู่โลกสีดำมืดในที่สุด

ในโลกความจริง เราก็มีอาชญากรที่เกิดจากปมด้อยหลายคนเหมือนกัน หนึ่งในนั้น คือ Jason Vukovich ชายผู้เข้าสู่เส้นทางของอาชญากร เพราะถูกผู้ปกครองล่วงละเมิดในวัยเด็ก และฮีโร่ผู้นำความยุติธรรมมาสู่เด็กที่โดนละล่วงละเมิดทางเพศในสายตาของใครหลายคน เขาได้รับสมญานามว่า “Alaska Avenger” จากการตามล่าพวกไคร่เด็ก 3 คนในรัฐอลาสก้า ซึ่ง UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับเขาให้มากขึ้น

 

บาดแผลในใจของ Jason Vukovich

planoinformativo.com

เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1975 หนุ่มน้อย Jason Vukovich ได้ถือกำเนิดขึ้นในเมืองแองเคอเรจของรัฐอลาสก้า เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่เคร่งศาสนาคริสต์อย่างมาก (มักเข้าโบสถ์เป็นเวลา 2 -3 ครั้งต่อสัปดาห์) โดยมีแม่ของเป็นผู้ปกครองคนแรก และเลี้ยงเขาด้วยตัวคนเดียวมาตลอด จนกระทั่งพ่อบุญธรรม Larry Lee Fulton ได้เข้ามาเป็นคนรับเลี้ยง Vukovich ในเวลาต่อมา

พ่อเลี้ยงของเขานับเป็นหนึ่งในคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของ Vukovich มากที่สุด เพราะพ่อเลี้ยงคนนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ผู้ปกครองเด็กที่ดีเลย แถมยังสร้างบาดแผลอันลบล้างได้ยากให้กับ Vukovich อีกด้วย เป็นเวลาหลายปีที่พ่อบุญธรรมของเขาได้ใช้เวลาสวดมนต์ตอนกลางคืนในการล่วงละเมิดทางเพศ ทุบตีเขาด้วยท่อนไม้ หรือ เฆี่ยนเขาด้วยเข็มขัด

แม้พ่อบุญธรรมของเขาจะเคยโดนข้อหาละเมิดเยาวชนในปี 1989 แต่เขากลับไม่ได้ติดคุกติดตาราง แถมหลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาเช็คความเป็นอยู่ของครอบครัวอีกเลย เมื่อ Vukovich และพี่ชายของเขา ได้เก็บสะสมความเจ็บปวดและความทรมานใจที่ได้รับจากการกระทำของพ่อบุญธรรมมาเป็นเวลาหลายปี สุดท้ายความอดทนของพวกเขาก็มาถึงขีดจำกัด เมื่อ Vukovich อายุได้ 16 ปี เขากับพี่ชายก็ได้ตัดสินใจหนีออกจากบ้านไป

Vukovich ในวัยหนุ่ม ได้หนีจากบ้านมาอยู่ที่รัฐวอชิงตันพร้อมกับพี่ชาย ในสภาพที่ไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากใครเลย เขาต้องเอาชีวิตรอดในเมืองใหญ่โดยใช้ทักษะการขโมยของ และหลังจากนั้นเขาก็เริ่มก่อประวัติอาชญากรรมไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็น ในรัฐวอชิงตัน รัฐโอเรกอน รัฐมอนแทนา หรือ รัฐแคลิฟอร์เนีย


จุดเริ่มต้นและจุดจบในฐานะฮีโร่

จนกระทั่งช่วงปี 2008 เขาก็ได้กลับมายังบ้านเกิดที่อยู่ในรัฐอลาสก้าอีกครั้ง และได้ก่ออาชญากรรมหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ขโมยของ ครองครองสิ่งผิดกฎหมาย ไปจนถึง การทำร้ายผู้อื่น

เมื่อมาถึงปี 2016 ด้วยปมในวัยเด็กทำให้ Vukovich เริ่มทำสิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นั่นคือการไล่ล่าเป้าหมายซึ่งเป็นคนที่มีชื่ออยู่ในลิสต์ผู้กระทำความผิดทางเพศของอลาสก้า เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับเด็กที่ถูกเดนมนุษย์เหล่านั้นล่วงละเมิด เขาวางแผนจะบุกไปยังบ้านของเป้าหมาย 3 คน ได้แก่ Charles Albee, Andres Barbosa, และ Wesley Demarest

ภารกิจแรกเริ่มขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 24 มิถุนายน ปี 2016 Vukovich ได้เคาะประตูบ้านของ Albee ชายวัย 68 ปี เป้าหมายของแรกของเขา หลังจากประตูเปิด เขาก็ผลักเหยื่อกลับเข้าไปในบ้าน พาเหยื่อไปถึงห้องนอน แล้วก็สั่งให้เหยื่อนั่งอยู่กับเตียง ก่อนจะเริ่มตบหน้าเหยื่ออย่างเกรี้ยวกราดและต่อเนื่องหลายครั้ง

ในช่วงที่เกิดเหตุ Vukovich พยายามอธิบายให้เหยื่อฟังถึงวิธีการที่เขาค้นพบที่อยู่ของเหยื่อ รวมถึงวีรกรรมที่เหยื่อของเขาเคยก่อเอาไว้ด้วย เมื่อเขาลงโทษเหยื่อจนพอใจแล้ว เขาก็ขโมยของและหนีออกจากบ้านหลังนั้นไป

หลังจากนั้นเป็นเวลาไม่กี่วัน ภารกิจที่สองก็เริ่มต้นขึ้น เขายังใช้วิธีเดิมในการเข้าไปในบ้านของ Barbosa เป้าหมายหมายเลขสอง แต่ครั้งนี้ เขาปรากฎตัวที่นั่นตอนตีสี่ และได้พาหญิงอีกสองคนไปร่วมผจญภัยกับเขาด้วย

Vukovich ข่มขู่ Barbosa ชายผู้ใคร่เด็กวัย 25 ปีด้วยค้อน บังคับให้เขานั่งลง และได้ซัดกำปั้นไปยังใบหน้าของเหยื่อ และได้ขู่เหยื่ออีกว่า “จะพังบ้านมึงให้ยับเลย” หญิงสองคนที่เขาพามาด้วย คนหนึ่งทำหน้าที่บันทึกภาพเหตุการณ์ด้วยโทรศัพท์มือถือ ส่วนอีกคนหนึ่งทำหน้าที่ขโมยของ ซึ่งเธอก็เอาไปหลายอย่างเหมือนกัน หนึ่งในั้นมีรถบรรทุกของ Barbosa ด้วย

ภารกิจสุดท้ายเริ่มต้นในเวลาตี 1 Demarest เหยื่อรายสุดท้ายได้ยินเสียงคนบุกบ้านของเขา นั่นก็คือ Vukovich นั่นเอง เขายังคงใช้วิธีการเคาะประตูเพื่อเขาถึงเหยื่อเหมือนเดิม และขอให้เหยื่อนอนลงบนเตียง แต่คราวนี้เหยื่อของเขาแสดงทีท่าขัดขืนด้วยการไม่ยอมทำตาม จึงเป็นแรงบันดาลให้ Vukovich โจมตีเหยื่อด้วยการเหวี่ยงค้อนไปที่ใบหน้า

ในระหว่างที่ก่อเหตุ Vukovich พูดด้วยว่า “กูเป็นเทวดาแห่งการแก้แค้น กูจะทวงคืนความยุติธรรมให้กับคนที่มึงทำร้าย” ซึ่งพอก่อเหตุเสร็จ เขาก็ขโมยของมีค่าของเหยื่อ เช่น แล็ปท็อป และหนีออกจากบ้านไป

นับเป็นการก่อเหตุครั้งสุดท้ายของ Vukovich หลังจากที่ Demarest ซึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ ได้ฟื้นขึ้นมา และแจ้งความกับตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ใช้เวลาไม่นานนักในการตามตัว Vukovich ซึ่งได้นั่งอยู่ในรถส่วนตัวที่จอดอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยหลักฐานมัดตัวเสร็จสรรพ ไม่ว่าจะเป็น ค้อน ของที่ปล้นมา และสมุดที่มีชื่อของเหยื่อทั้ง 3 คน

ภารกิจของเขาทำให้เขาได้รับข้อกล่าวหามากถึง 18 คดี ซึ่งตอนแรกเขาตั้งใจจะไม่ยอมรับความผิด แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะยอมรับความผิดฐานจู่โจมผู้อื่นโดยเจตนา และความผิดฐานขโมยโดยเจตนา ซึ่งการตัดสินใจนั้นส่งผลให้เขาต้องติดคุกตั้งแต่ปี 2018 เป็นเวลากว่า 28 ปี และถูกควบคุมความประพฤติเป็นเวลาอีก 5 ปี


ความผิดพลาดที่ไม่อยากให้ใครตามรอย

twitter

แม้ผลงานของ Vukovich จะทำให้เขากลายเป็นฮีโร่ในสายตาของชาวอลาสก้าบางกลุ่ม แต่เหมือนว่า Vukovich จะเสียใจกับการกระทำของตัวเองในภายหลัง โดยในปี 2017 เขาได้ส่งจดหมายหา Anchorage Daily News เล่าว่า ตอนที่เขาก่อเหตุกับพวกใคร่เด็ก 3 คน เขาได้นึกถึงสิ่งที่เขาเผชิญในวัยเด็ก พร้อมกับเตือนคนที่สูญเสียวัยเด็กเหมือนกับเขาว่า อย่าทำลายปัจจุบันและอนาคตของตัวเองด้วยการก่อความรุนแรงเลย

Vukovich พยายามสู้คดี ผ่านการยื่นอุทธรณ์กับศาลโดยอ้างว่าอาการ PTSD ของเขาน่าจะช่วยบรรเทาโทษทัณฑ์ที่เขาจะต้องได้รับบ้าง แต่คำร้องนั้นก็ได้ถูกปัดตกไปในเดือนตุลาคมปี 2020 พร้อมกับคำตัดสินของศาลว่า “ศาลเตี้ยไม่ใช่สิ่งที่สังคมของเราจะยอมรับได้” นั่นทำให้เขาต้องอยู่ในตารางต่อไป

ส่วน Ember Tilton ทนายของ Vukovich พยายามเแชร์มุมมองของคนนับพันที่สนับสนุน Vukovich ผ่านแคมเปญลงชื่อออนไลน์ เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาออกจากคุก และตัวเขายังคิดว่า Vukovich ไม่ควรได้รับการลงโทษอะไรอีกแล้ว เพราะตัวเขาเองได้ถูกลงโทษมาทั้งชีวิตแล้ว และเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะเด็กคนหนึ่งได้รับการลงโทษที่ไม่สมควรได้รับ และก็มีหลายคนเช่นกันที่เห็นว่าวงจรแห่งความรุนแรงจะไม่จบลงด้วยการจับ Vukovich ขังคุก

ในขณะเดียวกันก็มีคนที่ดีใจกับการติดคุกของ Vukovich หนึ่งในนั้น คือ Demarest เหยื่อรายสุดท้ายของเขา ซึ่งได้สูญเสียหน้าที่การงานไปหลังเกิดบาดแผลที่สมอง หลังจากที่รู้ว่า Vukovich ต้องติดคุกติดตาราง เขาก็แสดงความโล่งใจผ่านคำพูดเช่น Vukovich ไม่ควรออกมาอยู่ข้างนอกในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ ในขณะที่คนบางกลุ่มบอกว่า Demarest ก็ควรคิดถึงความรู้สึกของเหยื่อที่เขาได้ทำร้ายบ้างเหมือนกัน

จากเรื่องนี้ บางคนอาจมองว่า Jason Vukovich เป็นฮีโร่หรือคนเท่คนหนึ่งที่น่าเดินรอยตาม แต่ในยุคที่อินเทอร์เน็ตเร็วแรง และสังคมเราเต็มไปด้วยอารยชน การทำร้ายคนอื่นไม่น่าจะเป็นวิธีการเอาคืนที่ถูกต้องสักเท่าไหร่ วิธีการทวงคืนความยุติธรรมอย่างมีอารยะ เช่น การรณรงค์แก้กฎหมาย หรือ การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจ ดูจะมีความเหมาะสมต่อสถานการณ์ที่เราเจอมากกว่า


SOURCE

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line