

World
เจาะศิลปะการพูดปลุกใจของ JOACHIM LOW กุนซือผู้พาทีมอินทรีเหล็กคว้าแชมป์ WORLD CUP 2014
By: unlockmen June 15, 2018 109754
ผู้คนเป็นพันล้านรอบโลก รวมถึงหนุ่ม ๆ อย่างเรากำลังอยู่ในบรรยากาศของมหกรรมลูกหนังแห่งมวลมนุษยชาติ FIFA World Cup 2018 ศึกฟุตบอลโลก ครั้งที่ 21 ที่ระเบิดแข้งกันที่ประเทศรัสเซีย ซึ่งจะมีเพียง 1 ใน 32 ทีมที่จะได้ชื่อว่าเป็นชาติที่เก่งเรื่องฟาดแข้งมากที่สุด
หนึ่งในตัวเต็งของฟุตบอลโลกครั้งนี้แน่นอนว่าต้องมีชื่อของทีม ‘อินทรีเหล็ก’ เยอรมนี แชมป์เก่าเมื่อครั้งที่แล้ว (World Cup 2014) ซึ่งพวกเขาเฉือนเอาชนะทีม ‘ฟ้าขาว’ อาร์เจนตินา 1-0 จากประตูชัยของ Mario Gotze (มาริโอ เกิตเซ่) ในนาทีที่ 113 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ที่ Estadio do Maracana เมืองริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นักเตะชาวเยอรมันเท่านั้นที่โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม (รอบรองฯ พวกพี่อินทรีเหล็กเค้าไล่ถล่มเจ้าภาพบราซิลเละเทะ 7-1) แต่คนที่สมควรได้รับการยกย่องเช่นกันก็คือ Joachim Low (โจอาคิม เลิฟ) ผู้จัดการทีมมาดเนี้ยบวัย 58 ปี ที่คุมทีมเยอรมนีคว้าแชมป์โลก
ภาพจาก Proven Quality
Low เริ่มต้นทำหน้าที่กุนซืออินทรีเหล็กมาตั้งแต่ 2006 พาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2018, อันดับ 3 ฟุตบอลโลก 2010 / แชมป์คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ 2017 / รองแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008, อันดับ 3 ปี 2012, 2016 ซึ่งการจะประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เข้ามาคุมทัพนั้น คงไม่ใช่เพราะแทคติคที่เฉียบเพียงอย่างเดียว เรื่องในห้องแต่งตัวนักเตะต้องดีด้วย ซึ่งเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นบุนเดสเทรนเนอร์ที่มีศิลปะในการกระตุ้นลูกทีมได้อย่างยอดเยี่ยม นอกนั้นก็อาจมีเรื่องจี้เส้นอยู่บ้าง ที่เขาโดนแซวว่าเป็น ‘กุนซือจอมล้วง’
ย้อนไปเมื่อเกมนัดชิงในฟุตบอลโลก 2014 เลิฟใส่ชื่อของ Gotze ไว้ในรายชื่อผู้เล่นสำรอง ซึ่งกองหน้าตัวกลั่นต้องนั่งรอโอกาสข้างสนามจนถึงนาทีที่ 88 ถึงจะได้ลงมาโชว์ฟอร์มใส่ทีมอาร์เจนตินาที่นำโดยโคตรแข้งอย่าง Lionel Messi ภาพข่าวในตอนนั้นเราได้เห็น Low พูดอะไรบางอย่างกับ Gotze และกองหน้าชาวเยอรมันก็ไม่ทำให้ผิดหวัง กลายเป็นซูเปอร์ซับซัดประตูชัยพาอินทรีเหล็กได้ชูถ้วยแชมป์ ซึ่งภายหลังเราเพิ่งได้รู้ว่า Low บอกกับ Gotze ว่า…
ภาพจาก DW
“ลงไปแสดงให้โลกรู้ว่านายเจ๋งกว่า Messi โชว์ให้เห็นว่านายสามารถตัดสินเกม World Cup ครั้งนี้ได้”
วาทะที่ดูเหมือนจะขายฝันของ Low นั้น กลับส่งผลบวกอย่างมหาศาล โดย Washington Post สื่อใหญ่จอมวิเคราะห์เคยชูประเด็นนี้ไว้ว่า “ผู้เล่นสำรองบางคนอาจจะหัวเราะเยาะใส่คำพูดนั้นของโค้ช ที่บอกว่าเขาเก่งกว่านักเตะเจ้าของตำแหน่ง World Player of the Year 4 สมัยก็ได้ แต่ Gotze จริงจังกับประโยคนี้ และเขาก็ออกไปยิงแค่ประตูโทน นำทีมชาติของเขาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 4”
โดยหลังจบเกม กุนซือทีมอินทรีเหล็กยังกล่าวยกย่องนักเตะของเขาในเรื่องจิตใจที่แข็งแกร่งอีกด้วย แสดงให้เห็นว่านอกจากองค์ประกอบด้านอื่นที่ทำให้ Low ประสบความสำเร็จ ทีเด็ดของเขาก็คือการกล่าวปลุกใจนักเตะก่อนเกมนี่แหละที่เป็นอาวุธลับของทัพเยอรมนี
ภาพจาก Eurosport
Tiffanye Vargas ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่ง Cal State University Long Beach ได้ทำงานวิจัยที่เกี่ยวกับศาสตร์และศิลป์ของการพูดปลุกใจก่อนเกม โดยทำการเก็บข้อมูลวิจัยจากทีมฟุตบอลอาชีพ โดยเธอได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์ของตัวเองที่เคยเล่นกับทีมในเท็กซัส ซึ่งเธอรู้สึกว่าการกระตุ้นก่อนเกมส่งผลถึงประสิทธิภาพในการเล่น เลยวิเคราะห์วิจัยอย่างจริงจังซะเลย ด้วยการสำรวจนักเตะอาชีพ 151 คนในทีมฟุตบอลชั้นนำ แบ่งเป็นชายและหญิงเท่า ๆ กัน และได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยนี้ไว้ใน International Journal of Coaching Science
Vargas ศึกษาแยกเป็น 2 กรณี กรณีแรกคือการที่โค้ชพูดก่อนเกมแต่ในเชิงข้อมูล เช่น ทวนสิ่งที่ซ้อมมา กลยุทธ์ แผนการเล่น และวิเคราะห์ทีมคู่แข่ง ส่วนอีกกรณีหนึ่งคือกระตุ้นด้วยคำพูดปลุกใจอย่างเดียว เช่น พูดให้รู้สึกฮึกเหิม ภูมิใจ สนุกสนาน และยั่วยุให้เกิดความรู้สึกอยากเอาชนะ เป็นต้น
หลังจบเกม เธอจะให้นักเตะที่จากกลุ่มทดลองตอบแบบสอบถาม 7 ข้อ ที่ถามถึงผลของการพูดก่อนเกมที่แบ่งเป็น 2 แบบ ว่ากระทบกับฟอร์มการเล่น และความรู้สึกในสนามอย่างไร ปรากฏว่า การพูดปลุกใจก่อนเตะช่วยให้ผู้เล่นมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และทำให้โชว์ฟอร์มได้ดีกว่า “ถ้าโค้ชสามารถสร้างสถานการณ์ปลุกใจที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้นักเตะมองเกมการแข่งขันในแง่บวกได้ พวกเขาจะอยู่ในภาวะอารมณ์ที่สบายใจ และส่งผลถึงประสิทธิภาพในการเล่น” Vargas สรุปผลสิ่งที่เธอพบจากการวิจัย
และเมื่อนำทั้งผลการวิจัยมาประกอบกับวาทะของ Low เมื่อปี 2014 เราก็พอจะวิเคราะห์ด้ว่า
อีกหนึ่งเหตุผลที่การกล่าวปลุกใจก่อนเกมมีนั้นมีผลมาก เพราะว่ามันเป็นการเปลี่ยนความวิตกกังวลของคนในทีมให้กลายเป็นความรู้สึกในแง่บวก นักเตะจะไม่โฟกัสที่ความตื่นเต้น แต่จะเริ่มรู้สึกและมองเห็นความหอมหวานของชัยชนะ
ภาพจาก Hindustan Times
ทั้งกลยุทธ์ของ Low และงานวิจัยของ Vargas พิสูจน์ว่า ภาวะอารมณ์กับประสิทธิภาพในการทำงานนั้นเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ได้ และสามารถนำไปปรับใช้ในการบริหารคนในทุกแขนง ทั้งวงการกีฬาจนถึงแวดวงธุรกิจ ซึ่งนอกจากการทำงานกับลูกทีมที่ดีที่สุดของคุณแล้ว ฝึกฝนพวกเขาให้แกร่งขึ้นแล้ว สนับสนุนให้ทำสิ่งที่ท้าทายความสามารถแล้ว อย่าลืมอีกขั้นตอนหนึ่งก็คือการยกระดับสภาพจิตใจของลูกทีมให้ดีขึ้น
จับตาดูกันว่าทีมเยอรมนีภายใต้การคุมทัพของ Low จะป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกได้หรือไม่…