ฟุตบอลโลก 2018 มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติจบลงไปแล้ว UNLOCKMEN ขอแสดงความยินดีกับทีมตราไก่ฝรั่งเศสด้วยที่สามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จหลังจากที่รอคอยมากว่า 20 ปี เป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 ของพวกเขา และก่อนจะสิ้นสุดการนอนดึกและลาจากเทศกาลนี้ไป UNLOCKMEN ขอทิ้งท้ายอีกสักหนึ่งคอนเทนต์ด้วยการรวบรวมสถิติเก็บตกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นควันหลง ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียครั้งนี้มีอะไรให้น่าจดจำกันบ้าง ยอดเยี่ยม Luka Modric คว้ารางวัล Golden Ball หรือนักเตะยอดเยี่ยมประจำฟุตบอลโลกได้ตามคาดด้วยฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมและมีส่วนสำคัญในการพาทีมม้ามืดอย่างโครเอเชียมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ในนาทีนี้ไม่มีดาวรุ่งคนไหนจะร้อนแรงไปกว่า Kylian Mbappé กองหน้าวัย 19 ของทีมชาติฝรั่งเศสอีกแล้ว โดยเฉพาะในฟุตบอลโลกครั้งนี้ที่เขาทำให้ทั้งโลกตะลึงด้วยลีลาการเล่นอันจัดจ้านจนทำให้เขาคว้ารางวัล Best Young Player หรือดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำฟุตบอลโลกไปครอง ถึงครึ่งหนึ่งจะมาจากจุดโทษแต่ประตูก็คือประตู Harry Kane ซึ่งซัดไปทั้งหมด 6 ประตูจึงคว้ารางวัล Golden Boot หรือดาวซัลโวประจำฟุตบอลโลกไปครอง จากการโชว์ซูเปอร์เซฟนับครั้งไม่ถ้วนโดยเฉพาะในเกมที่ทีมชาติเบลเยี่ยมพบกับทีมชาติบราซิลจึงทำให้ Thibaut Courtois คว้ารางวัล Golden Glove หรือผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมกลับบ้านไปปลอบใจ ถึงแม้จะกลับบ้านไปตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายอย่างน่าผิดหวัง แต่ในฟุตบอลโลกครั้งนี้พวกเขาคือทีมที่เล่นฟุตบอลได้สุภาพบุรุษและขาวสะอาดที่สุดจนได้รางวัล Fair
ก่อนอื่นเลยขอโอ้อวดความแม่นของตัวเองสักนิด จากคอนเทนต์ที่แล้ว (https://www.unlockmen.com/semi-wc/) น้องแนทเทอรีน BNK48 หรืออีเจี๊ยบเลียบด่วนที่ว่าอาถรรพ์แรง ๆ ยังต้องพ่ายแพ้ต่อความแม่นยำของพ่อหมอ UNLOCKMEN ตอนนี้กำลังได้ใจ จึงขอออกมาวิเคราะห์และฟันธงอีกครั้ง คราวนี้เป็นรอบชิงชนะเลิศแล้ว การแข่งขัดนัดสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2018 หลังจากขับเคี่ยวกันมาตลอด 1 เดือนเต็ม สุดท้ายแล้วทีมตราไก่ฝรั่งเศสหรือทีมตราหมากรุกโครเอเชีย ทีมใดจะคว้าถ้วยแชมป์ไปครอง Head Coach เรื่องแผนการเล่น ฝีมือ และประสบการณ์ ทั้ง Didier Deschamps และ Zlatko Dalić ต่างก็ใช้แผน 4-2-3-1 ซึ่งทำให้สามารถคาดเดารูปเกมได้ล่วงหน้าเลยว่าต้องเป็นเกมที่รัดกุมและระมัดระวังด้วยกันทั้งคู่ ความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อยอาจนำไปสู่ความพ่ายแพ้ได้เลย ส่วนในเรื่องประสบการณ์นั้นเป็นฝ่าย Didier Deschamps ที่ดูดีกว่าพอสมควร เพราะมีผ่านประสบการณ์คุมทีมมาอย่างยาวนานและแต่ละทีมล้วนเป็นทีมใหญ่ทั้งนั้น ในขณะที่ Zlatko Dalić ถึงแม้จะเริ่มรับบทบาทในตำแหน่ง Head Coach ครั้งแรกเมื่อปี 2005 แต่ก็ไม่เคยผ่านการคุมทีมยักษ์ใหญ่เลย และเขาเพิ่งเข้ามาคุมทีมชาติโครเอเชียเมื่อปี 2017 นี้เอง อย่างไรก็ตามการที่เขาสามารถพาทีมม้านอกสายตาอย่างทีมชาติโครเอเชียมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้แปลว่าฝีมือเขาก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ทีมใดมีกุนซือดีกว่ากัน: เสมอกัน Goalkeeper ถ้าวัดกันเฉพาะในแง่ชื่อเสียงแน่นอนว่า Hugo Lloris
การแข่งขันเข้มข้นดุเดือดผ่านไป มีทั้งผู้แพ้ที่ต้องกลับบ้านและผู้ชนะที่ได้ไปต่อ ในที่สุดฟุตบอลโลก 2018 ก็ดำเนินมาถึงรอบรองชนะเลิศแล้ว เหลือการแข่งขันอีกแค่ 4 นัดเราก็จะรู้กันแล้วว่าทีมใดจะคว้าถ้วยแชมป์ไปครอง แม้ตอนนี้ทั้ง 4 ทีมจะเป็นทีมจากทวีปยุโรปทั้งหมด จนหลายคนออกมาล้อว่านี่คือ ‘ฟุตบอลยูโร 2018’ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าความสนุกจะน้อยลงแต่อย่างใด เพราะทั้ง 4 ทีมนี้คือ 4 ทีมที่ดีที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้ ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, อังกฤษ, โครเอเชีย ทีมใดจะได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เราขออาสาเป็นกูรูวิเคราะห์แมทที่ดุเดือดนี้กัน France vs Belgium ฝรั่งเศส – ฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งที่ทีมเต็งลำดับสูง ๆ ต่างพร้อมใจกันเก็บกระเป๋ากลับบ้านกันอย่างรวดเร็ว มีเพียงฝรั่งเศสทีมเดียวเท่านั้นที่อยู่ในทีมเต็ง 5 อันดับแรกที่สามารถฝ่าฟันเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ พวกเขาเริ่มต้นการเดินทางในกลุ่ม C ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ไม่โหดมาก แต่กลับโชว์ฟอร์มได้กระท่อนกระแท่น กว่าจะชนะได้แต่ละนัดค่อนข้างหืดจับ จนแฟนบอลและสื่อออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ‘จะไหวเหรอ?’ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็สามารถผ่านเข้ารอบได้ด้วยตำแหน่งแชมป์กลุ่ม ก่อนที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายต้องเจอกับอีกหนึ่งทีมเต็งอย่างอาร์เจนตินาที่นำทัพมาด้วย Lionel Messi และนัดนี้ก็เป็นนัดแรกในทัวร์นาเมนต์นี้ที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าทีมตราไก่โชว์ฟอร์มได้ดี พวกเขาไล่ต้อนอาร์เจนตินาไปด้วยสกอร์ 4-3 ทะลุสู่รอบก่อนรองชนะเลิศเจอกับทีมจอมโหดอุรุกวัยที่ในฟุตบอลโลกครั้งนี้โชว์ฟอร์มได้โหดสมชื่อ เป็นทีมที่มีแนวรับแข็งแกร่งอันดับต้น
ฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้คงไม่มีใครเหมาะกับวลี ‘From Zero to Hero’ มากไปกว่า Gabriel Jesus กองหน้าดาวโรจน์ของทีมชาติบราซิลอีกแล้ว เพราะถ้าย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อน ฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลเป็นเจ้าภาพ Gabriel Jesus ในวัย 17 ปี ขณะนั้นเขาเป็นเพียงนักเตะฝึกหัดของสโมสร Palmeiras แน่นอนว่ารายได้ย่อมไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ดังนั้นเขาจึงรับจ็อบพิเศษด้วยการเป็นช่างทาสีตามกำแพงหรือพื้นถนนต้อนรับฟุตบอลโลกที่กำลังจะมาถึง แต่เพชรยังไงก็คือเพชร หลังจากจบศึกฟุตบอลโลก 2014 Gabriel Jesus ก็เริ่มโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมจนได้รับโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ Palmeiras และเขาก็ไม่ทำให้โค้ชและเพื่อนร่วมทีมผิดหวัง กระหน่ำประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนเป็นที่หมายปองจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป และก็เป็นทีมเรือใบสีฟ้า Manchester City ที่คว้าตัวเขาไปครองได้สำเร็จด้วยค่าตัว 27 ล้านปอนด์ ซึ่งนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น Gabriel Jesus ไม่หยุดการพัฒนาตัวเองไว้เท่านี้ เขาพิสูจน์ตัวเองว่าฝีเท้าเป็นของจริง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม และสุดท้ายก็สามารถพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ Premier League ได้สำเร็จ เมื่อฟอร์มดีขนาดนี้ การมีชื่อติดทีมชาติบราซิลมาลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 จึงไม่ใช่เรื่องแปลก จากวันที่เขานั่งทาสีอยู่ข้างสนามฟุตบอล ถึงวันที่เขาเป็นซูเปอร์สตาร์พาทีมบ้านเกิดลุยฟุตบอลโลกใช้เวลาเพียง 4
หนึ่งในเรื่องสำคัญที่ถูกยกมาเป็นประเด็นพูดถึงกันอยู่บ่อย ๆ สำหรับฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้คือการนำเทคโนโลยี VAR และ Goal-Line Technology มาใช้ในศึกฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก ถือว่าเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แห่งวงการฟุตบอล เพราะที่ผ่านมามีการถกเถียงเรื่องนี้กันมาตลอด ฝ่ายที่ต่อต้านให้เหตุผลว่ามันจะสูญเสียเสน่ห์ของฟุตบอลและเสียเวลาทำให้การแข่งขันไม่ต่อเนื่อง แต่เมื่อมีการนำมาใช้จริง ๆ ทุกคนคงจะเห็นผลลัพธ์กันแล้วว่ามันทำให้เกมมีความยุติธรรมมากขึ้น ผู้เล่นลดความรุนแรงในการเล่นลง และก็ไม่ได้เสียเวลามากมายอย่างที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งในฟุตบอลโลก 2018 นี้แม้จะเพิ่งเริ่มต้นมาไม่กี่นัดแต่ก็มีช็อตน่ากังขามากมายซึ่งถ้าไม่มี VAR และ Goal-Line Technology มาช่วยตัดสินแล้วล่ะก็คงเป็นประเด็นถกเถียงดราม่ากันไปทั่วทั้งโลกแน่ ต้องขอบคุณเทคโนโลยีทั้งสองที่ทำให้เกมฟุตบอลยุติธรรมและขาวสะอาดขึ้น ยิ่ง VAR และ Goal-Line Technology มีบทบาทในเกมการแข่งขันมากเท่าไร คนดูอย่างเราก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าย้อนเวลากลับไปตั้งแต่ฟุตบอลโลกครั้งแรกเมื่อปี 1930 ประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนกันนะ? ทีมชาติอังกฤษอาจจะไปได้ไกลกว่าเดิมในฟุตบอลโลก 2010 ย้อนไปเมื่อ 8 ปีก่อน ฟุตบอลโลก 2010 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ในเกมระหว่างทีมชาติเยอรมันและทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเกมนี้ทีมอินทรีเหล็กออกนำไปก่อน 2-0 จากลูกยิงของ Miroslav Klose และ Lukas Podolski ก่อนที่อังกฤษจะตีตื้นขึ้นมาจากลูกโหม่งของ Matthew Upson การแข่งขันดำเนินมาถึงนาทีที่ 37 และแล้วจังหวะปัญหาก็เกิดขึ้น
ปัจจุบัน นักฟุตบอลอาชีพถือว่าเป็นจ๊อบที่มีรายรับค่อนสูงหากทำผลงานได้ดี อยู่ทีมดัง และมีฐานแฟน ๆ มากมาย นักเตะระดับโลกที่ฝีเท้าโคตรเจ๋งอย่าง Lionel Messi, Cristiano Ronaldo หรือ Neymar ก็อยู่ในลิสต์ของนักกีฬาอาชีพที่มีรายได้มากที่สุดในโลก แต่หลายคนอาจจะสงสัยว่าในแง่ของการลงเล่นเพื่อชาติ โดยเฉพาะในศึกฟุตบอลโลกนั้น แต่ละคนจะได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่ หากช่วยทีมคว้าแชมป์ ? สำหรับ FIFA World Cup Russia 2018 ข้อมูลจาก AP ระบุว่า สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ FIFA ตั้งเงินรางวัลรวมไว้ที่ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 13,100 ล้านบาท) โดยทีมชาติที่เป็นแชมป์จะได้เงินไป 38 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,243 ล้านบาท) รองแชมป์รับไป 28 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 916 ล้านบาท) ส่วนอันดับ 3 จะได้เงิน 24 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 785 ล้านบาท)
มาถึงใน Part 4 ซึ่งจะเป็น Part สุดท้ายแล้ว ใครที่ยังไม่ได้อ่าน Part ก่อนหน้านี้กดอ่านได้ตามลิงก์นี้เลย Part 1 Part 2 Part 3 ถ้าอ่านเรียบร้อยแล้วล่ะก็ เราไปต่อกันที่กลุ่ม G, H กันเลย Group G ทีมในกลุ่ม – ‘ปีศาจแดงแห่งยุโรป’ ทีมชาติเบลเยียม เป็นทีมที่ในยุคหลังขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจลูกหนังอีกหนึ่งชาติ เนื่องจากขุมกำลังอุดมไปด้วยเหล่าซูเปอร์สตาร์ที่โชว์ฟอร์มได้ดีในระดับสโมสร แต่ปัญหาสำคัญคือเมื่อมารวมตัวกันเล่นในนามทีมชาติกลับทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ฟุตบอลโลก 2018 จึงเปรียบเสมือนบททดสอบสำคัญว่าพวกเขาจะลบข้อครหานี้ได้หรือไม่ 3 นักเตะน่าจับตามอง Eden Hazard – เขาคือตัวชูโรงของทีม เป็นซูเปอร์สตาร์ประจำชาติ ด้วยทักษะอันล้นเหลือ ทั้งเลี้ยง ยิง จ่าย ครบเครื่องในคนเดียว และแน่นอนว่าเขาคือคนที่เบลเยียมจะขาดไม่ได้ Kevin De Bruyne – หนึ่งในกำลังสำคัญที่พา Manchester City เถลิงบัลลังก์ Premier League
พูดถึงลูกกลม ๆ ที่โดนชายทั้ง 22 คนในสนามทั้งเตะ เหยียบ เขี่ย โขก จับ ทุ่ม ชก และเขวี้ยงแล้ว มันช่างฟังดูยิ่งใหญ่ และยิ่งถ้าพูดถึงลูกฟุตบอลที่ใช้ในศึกฟุตบอลโลกยิ่งฟังดูใหญ่ยิ่ง เพราะว่ามันถูกยิงเพื่อตัดสินความเป็นชาติเจ้าแห่งลูกหนังบนโลกใบนี้ ด้วยความที่เป็นลูกฟุตบอลที่ใช้ในทัวร์นาเม้นต์ที่มีความหมายมากที่สุด ลูกบอลนั้นย่อมต้องผ่านการออกแบบมาให้มีความหมายมากที่สุดเช่นกัน มีดีไซน์สวยงาม และมีเทคโนโลยีที่ทันเท่ากับการพัฒนาฝีเท้าของนักเตะ ขณะเดียวกันก็ต้องได้มาตรฐานตามกฏ กติกาฟุตบอล ซึ่งไม่ใช่งานง่าย ๆ เลยในทุกกระบวนการผลิต อย่างใน World Cup Russia 2018 ลูกฟุตบอลที่เราเห็น คือ adidas Telstar 18 ที่ได้แรงบันดาลใจมากจากรุ่นที่เป็นไอค่อนอย่าง Telstar ปี 1970 ซึ่งออกแบบให้เป็นสีขาวและดำสลับกัน เพื่อให้มองเห็นได้ชัดในขณะที่แฟนบอลกำลังชมเกมผ่านทางทีวีขาวดำในตอนนั้น และได้รับการยกย่องมากมาย โดยในรุ่นปี 2018 นี้ ได้เพิ่มเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดให้มีโครงสร้างผิวสัมผัสที่มีคุณสมบัติเกาะยึดดีขึ้น ทนทานมากขึ้นทั้งในและนอกสนามแข่งขัน ขณะที่วัสดุบางชิ้นสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ แถมยังฝังชิพ NFC เอาไว้ ให้ผู้เล่นสามารถปฏิสัมพันธ์กับเจ้าลูกบอลใบนี้ผ่านสมาร์ทโฟน เรียกได้ว่าล้ำและลุยขึ้น ตามเกมฟุตบอลสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีมาผสานกับความดั้งเดิม ดูลูกฟุตบอลของครั้งล่าสุดกันไปแล้ว ลองมาย้อนดูการออกแบบลูกหนังในใช้ในศึกฟุตบอลโลกในอดีตกันบ้างดีกว่า จะได้รู้ถึงประวัติศาสตร์ และพัฒนาการของอุปกรณ์ที่จะขาดไม่ได้เลยของกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก World Cup 1930
มาว่ากันต่อที่กลุ่ม E, F ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่านที่วิเคราะห์ถึงกลุ่ม A, B, C, D กดเข้าไปอ่านตามลิงก์นี้ได้เลย Part 1 Part 2 เอาล่ะไม่พูดพร่ำทำเพลงไปอ่านบทวิเคราะห์จากกูรู UNLOCKMEN กันเถอะ Group E ทีมในกลุ่ม – ‘แซมบ้า’ ทีมชาติบราซิล ทีมเต็งอันดับ 1 ของรายการ เจ้าของแชมป์ฟุตบอลโลก 5 สมัย ในครั้งนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งพร้อมขุมกำลังนักเตะอันแข็งแกร่ง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งยุคทองก็ว่าได้ (อาจจะไม่เท่าทีมชุดปี 1970, 2002 แต่ก็ถือว่าเป็นทีมที่ดี) พร้อมที่จะล้างอายหลังจากเมื่อ 4 ปีที่แล้วโดนทีมชาติเยอรมันถล่มคาบ้านแบบเละเทะถึง 7-1 ในครั้งนี้พวกเขาจึงคาดหวังอย่างเต็มที่ และเป้าหมายจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากการคว้าแชมป์เท่านั้น! 3 นักเตะน่าจับตามอง Neymar – ถ้ายุค 1970 มี Pele ยุค 2002 มี Ronaldo ยุคปัจจุบันก็มี Neymar
เมื่อ Part ที่แล้ว (https://www.unlockmen.com/wc-group-stage-1/) เราได้ทำความรู้จักวิเคราะห์และทำนายผลของกลุ่ม A, B ไปเรียบร้อยแล้ว มาใน Part นี้ ขอไม่เสียเวลา มาว่ากันต่อเลยดีกว่าว่ากลุ่ม C, D นั้นแต่ละทีมเป็นอย่างไร ความน่าจะเป็นจะออกมาในรูปแบบไหนได้บ้าง ไปอ่านกันต่อได้เลย Group C ทีมในกลุ่ม -‘ตราไก่’ ทีมชาติฝรั่งเศส อดีตแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1998 และรองแชมป์ฟุตบอลยูโรเมื่อ 2 ปีที่แล้ว พวกเขาเข้าร่วมฟุตบอลโลก 2018 ในฐานะทีมเต็งอันดับ 3 ซึ่งถ้าพิจารณาจากขุมกำลังก็ถือว่าเหมาะสม เพราะถึงแม้ว่าทีมชาติฝรั่งเศสชุดนี้จะเป็น ‘Young Blood’ ผู้เล่นส่วนใหญ่อายุยังน้อย แต่ชื่อเสียงเข้าขั้นซูเปอร์สตาร์แทบทุกคน อย่างไรก็ตามมีข้อดีก็ต้อมีข้อด้อย การที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ยังเป็นวัยรุ่นนั้น เมื่อเจอบรรยากาศของทัวร์นาเมนท์ใหญ่ ๆ อาจจะรับมือกับความกดดันได้ไม่ดีเท่าไรนัก 3 ผู้เล่นน่าจับตามอง Paul Pogba – กองกลางสายแฟชั่นที่ถึงแม้ฤดูกาลที่ผ่านมาฟอร์มของเขากับ Manchester United จะไม่ได้โดดเด่นเท่าไรนัก แต่ยังไงเขาก็เป็นนักเตะที่คู่ต่อสู้จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด ผ่านบอล, Killer