World

ประวัติศาสตร์ลูกหนังจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนถ้า VAR ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ฟุตบอลโลกครั้งแรก

By: PERLE June 23, 2018

หนึ่งในเรื่องสำคัญที่ถูกยกมาเป็นประเด็นพูดถึงกันอยู่บ่อย ๆ สำหรับฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้คือการนำเทคโนโลยี VAR และ Goal-Line Technology มาใช้ในศึกฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก ถือว่าเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แห่งวงการฟุตบอล เพราะที่ผ่านมามีการถกเถียงเรื่องนี้กันมาตลอด ฝ่ายที่ต่อต้านให้เหตุผลว่ามันจะสูญเสียเสน่ห์ของฟุตบอลและเสียเวลาทำให้การแข่งขันไม่ต่อเนื่อง แต่เมื่อมีการนำมาใช้จริง ๆ ทุกคนคงจะเห็นผลลัพธ์กันแล้วว่ามันทำให้เกมมีความยุติธรรมมากขึ้น ผู้เล่นลดความรุนแรงในการเล่นลง และก็ไม่ได้เสียเวลามากมายอย่างที่คาดการณ์ไว้

ซึ่งในฟุตบอลโลก 2018 นี้แม้จะเพิ่งเริ่มต้นมาไม่กี่นัดแต่ก็มีช็อตน่ากังขามากมายซึ่งถ้าไม่มี VAR และ Goal-Line Technology  มาช่วยตัดสินแล้วล่ะก็คงเป็นประเด็นถกเถียงดราม่ากันไปทั่วทั้งโลกแน่ ต้องขอบคุณเทคโนโลยีทั้งสองที่ทำให้เกมฟุตบอลยุติธรรมและขาวสะอาดขึ้น

ยิ่ง VAR และ Goal-Line Technology มีบทบาทในเกมการแข่งขันมากเท่าไร คนดูอย่างเราก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าย้อนเวลากลับไปตั้งแต่ฟุตบอลโลกครั้งแรกเมื่อปี 1930 ประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนกันนะ?

ทีมชาติอังกฤษอาจจะไปได้ไกลกว่าเดิมในฟุตบอลโลก 2010

ย้อนไปเมื่อ 8 ปีก่อน ฟุตบอลโลก 2010 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ในเกมระหว่างทีมชาติเยอรมันและทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเกมนี้ทีมอินทรีเหล็กออกนำไปก่อน 2-0 จากลูกยิงของ Miroslav Klose และ Lukas Podolski  ก่อนที่อังกฤษจะตีตื้นขึ้นมาจากลูกโหม่งของ Matthew Upson

การแข่งขันดำเนินมาถึงนาทีที่ 37 และแล้วจังหวะปัญหาก็เกิดขึ้น เมื่อ Frank Lampard กองกลางทีมชาติอังกฤษยิงไกลจากนอกกรอบเขตโทษ บอลพุ่งผ่านมือ Manuel Neuer ผู้รักษาประตูทีมเยอรมันไปชนเข้ากับคานประตูอย่างจังก่อนที่บอลจะเด้งลงพื้นบริเวณเส้นประตู และ Manuel Neuer คว้าไว้ได้ ซึ่งในเหตุการณ์นี้ผู้ตัดสินนิ่งเฉยปล่อยให้เล่นต่อไปโดยไม่ให้เป็นประตู ถึงแม้ว่าผู้เล่นฝั่งอังกฤษจะโวยวายแค่ไหนแต่คำตัดสินก็ไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อมาย้อนดูภาพช้าจะเห็นว่าลูกฟุตบอลข้ามเส้นประตูไปแล้วหลายนิ้ว ซึ่งถ้าในตอนนั้นมี Goal-Line Technology  สกอร์ก็จะขึ้นมาเสมอกันที่ 2-2 และโมเมนตั้มของเกมอาจจะเปลี่ยนไปจนอังกฤษสามารถเอาชนะได้ในท้ายที่สุดก็เป็นได้ ไม่ใช่พ่ายแพ้ย่อยยับถึง 4-1

ทีมชาติอิตาลีอาจไม่ได้แชมป์โลกสมัยที่ 4

ทีมชาติอิตาลีคือแชมป์ฟุตบอล 2006 แต่กว่าจะฝ่าฟันไปถึงจุดนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายและอาศัยดวงไม่น้อย โดยเฉพาะในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ทีมชาติอิตาลีโคจรมาเจอกับทีมชาติออสเตรเลีย ทั้งสองทีมผลัดกันรุกผลัดกันรับสูสีคู่คี่แต่ก็ไม่มีทีมไหนสามารถเบิกสกอร์ได้ จนกระทั่งเกมการแข่งขันล่วงเลยมาถึงนาทีที่ 95 ซึ่งเป็นนาทีสุดท้ายก่อนจะหมดเวลาและต้องสู้กันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ Fabio Grosso แบ็คซ้ายทีมชาติอิตาลีเลี้ยงบอลเข้าไปในเขตโทษของทีมจิงโจ้ก่อนที่จะโดน Lucas Neill เสียบสกัดจนล้มลงไป กรรมการเห็นดังนั้นก็เป่าเป็นจุดโทษทันที ซึ่งผู้รับหน้าที่สังหารคือ Francesco Totti และเขาก็ไม่พลาด ดับฝันออสเตรเลีย พาทีมชาติอิตาลีทะยานสู่รอบต่อไป ก่อนที่จะกลายเป็นแชมป์โลกในท้ายที่สุด

แต่เมื่อมาย้อนดูภาพช้าอย่างชัด ๆ จะเห็นว่าตอนที่ Lucas Neill เสียบสกัด  Fabio Grosso นั้นร่างกายของทั้งคู่ไม่ได้สัมผัสกันเลย แบ็คซ้ายทีมแชมป์โลกมีเจตนาพุ่งล้มอย่างชัดเจน แต่ทำได้อย่างแนบเนียนจนสามารถหลอกผู้ตัดสินสำเร็จ

ซึ่งถ้าในยุคนั้นมีเทคโนโลยี VAR แล้วล่ะก็เหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น ทั้งสองทีมคงเสมอกันในเวลาและไปแข่งกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่งฝ่ายได้รับชัยชนะอาจเป็นทีมชาติออสเตรเลียก็ได้ และถ้าเป็นแบบนั้นชื่อของทีมที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 คงต้องเปลี่ยนไป

ทีมชาติอาร์เจนตินาอาจเป็นแชมป์โลกในปี 1990

ย้อนกลับไปเมื่อฟุตบอลโลกปี 1990 เหตุการณ์อันน่ากังขานี้เกิดขึ้นในรอบชิงชนะเลิศซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่างทีมชาติเยอรมันตะวันตกกับทีมชาติอาร์เจนตินาซึ่งนำทีมโดย  Diego Maradona การแข่งขันเป็นไปอย่างสูสี ทั้งสองทีมรู้ทางกันเป็นอย่างดี แต่จุดเปลี่ยนของเกมก็เกิดขึ้นในนาทีที่ 65 ฝั่งเยอรมันตะวันออกกำลังเล่นเกมสวนกลับและกำลังจะพาบอลเข้าพื้นที่อันตรายของทีมฟ้าขาว เจ้าฉลามขาว Jürgen Klinsmann ได้บอลอยู่ทางกราบซ้ายก่อนจะโดน  Pedro Monzón กองหลังทีมอาร์เจนตินาเสียบสกัดจะตัวลอยลงไปดิ้นพราด ๆ อยู่กับพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด ผู้ตัดสินวิ่งเข้ามาชูใบแดงไล่ Pedro Monzón ออกจากสนามแบบไม่ลังเล ซึ่งเหตุการณ์นี้เองทำให้เกมที่กำลังสูสีกลับตาลปัตร ทีมชาติเยอรมันตะวันออกใช้ความได้เปรียบจากตัวผู้เล่นที่เหนือกว่าคว้าชัยชนะและเป็นแชมป์โลกในท้ายที่สุด

แต่เมื่อมาย้อนดูภาพช้าจะเห็นได้เลยว่า Pedro Monzón เสีบสกัดโดนบอล ไม่โดนร่างกายของ Jürgen Klinsmann เลยแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างคือการแสดงระดับรางวัลออสการ์ของเจ้าฉลามขาวล้วน ๆ ซึ่งถ้าในตอนนั้นมี VAR แล้วล่ะก็นอกจาก Pedro Monzón จะไม่โดนไล่ออกแล้ว Jürgen Klinsmann น่าจะโดนใบเหลืองข้อหาตบตากรรมการด้วยซ้ำ ตัวผู้เล่นก็จะเป็น 11 คนเท่ากันเหมือนเดิม และชัยชนะอาจจะตกเป็นของอาร์เจนตินาก็ได้ไม่มีใครรู้

ทีมชาติเกาหลีใต้คงไปไม่ถึงอันดับ 4 ในฟุตบอลโลก 2002

ฟุตบอลโลก 2002 คือหนึ่งในฟุตบอลโลกที่อัปยศที่สุด ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าทีมเจ้าภาพร่วมอย่างเกาหลีใต้มี ‘โกง’ จริง แต่ภาพที่ออกมามันชัดเจนจนคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริง ๆ

เกาหลีใต้จากทีมม้านอกสายตาแต่กลับไปได้ไกลจนสามารถคว้าอันดับ 4 มาได้ โดยผ่านทีมสุดแกร่งอย่างอิตาลีและสเปนมาได้ แต่ถ้าได้ดูเกมการแข่งขันแล้วล่ะก็เชื่อว่าทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือการโกงระดับโลก เกาหลีใต้เล่นตุกติกมากมาย ทั้งการเข้าสกัดอย่างรุนแรง นอกเกม แต่ผู้ตัดสินกลับนิ่งเฉย ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อทีมคู่แข่งของเกาหลีใต้ทำฟาวล์นิดหน่อยกลับโดนลงโทษอย่างร้ายแรง

แน่นอนว่าถ้าตอนนั้นมีเทคโนโลยี VAR เหมือนทุกวันนี้ เหตุการณ์อัปยศแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน

อังกฤษอาจจะยังไม่เคยได้แชมป์โลก

อีกเหตุการณ์ในฟุตบอลโลกที่ยังคาใจชาวโลกมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือลูกยิงของ Geoff Hurst กองหน้าทีมชาติอังกฤษในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 1966 ซึ่งในนัดนั้นทีมสิงโตคำรามพบกับทีมชาติเยอรมันตะวันตก ทั้งสองทีมสู้กันอย่างสนุกสูสีจนสกอร์ออกมาเสมอกันภายใน 90 นาที 2-2 จึงต้องดวลกันต่ออีก 30 นาทีในช่วงต่อเวลาพิเศษ

เวลาล่วงเลยมาจนถึงนาทีที่ 101 เรื่องน่ากังขาก็เกิดขึ้นเมื่อ Geoff Hurst กองหน้าตัวเก่งยิงประตูไปชนคานและเด้งลงบริเวณเส้นประตู ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ตัดสินใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะประกาศให้เป็นประตูของทีมชาติอังกฤษ ฝ่ายได้ประโยชน์วิ่งดีใจกันยกใหญ่ ส่วนฝ่ายเสียประโยชน์ก็โวยวายกันเต็มที่ อย่างไรก็ตามคำตัดสินไม่เปลี่ยนแปลง สุดท้ายการแข่งขันนัดนี้จบลงด้วยชัยชนะของทีมชาติอังกฤษ 4-2 ทัพสิงโตคำรามสามารถคว้าแชมป์โลกครั้งแรกและครั้งเดียวได้สำเร็จ

ความกังขาทั้งหมดจะหายไปถ้าในยุคนั้นมี Goal-Line Technology ทั้งโลกจะได้รู้ว่าลูกนั้นข้ามเส้นประตูไปแล้วหรือยัง ถ้าข้ามไปแล้วอังกฤษก็จะเป็นแชมป์โลกที่ขาวสะอาดกว่านี้ แต่ถ้ามันยังไม่ข้ามเส้นแชมป์โลกในครั้งนั้นอาจมีการเปลี่ยนมือก็เป็นได้ และอังกฤษก็จะกลายเป็นทีมที่ไม่เคยได้แชมป์โลกแม้แต่ครั้งเดียว

จากหัตถ์พระเจ้าอาจกลายเป็นใบแดง

หนึ่งในเหตุการณ์อื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกคือ Hand of God หรือหัตถ์พระเจ้าของ Diego Maradona ในฟุตบอลโลกปี 1986

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในรอบก่อนรองชนะเลิศนัดระหว่างทีมชาติอังกฤษและทีมชาติอาร์เจนตินา ทั้งสองทีมเสมอกันอยู่ที่ 0-0 จนถึงนาทีที่ 51 ของการแข่งขันก่อนที่  Steve Hodge จะเคลียร์บอลพลาด ลูกฟุตบอลลอยโด่งอยู่หน้าปากประตูฝั่งอังกฤษ และเสี้ยววินาทีก่อนที่  Peter Shilton ผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษจะพุ่งออกมาชกบอล ‘เสือเตี้ย’ ได้โฉบมาสัมผัสบอลและลูกฟุตบอลก็ค่อย ๆ ไหลเข้าประตูไป

ซึ่งแท้จริงแล้วในจังหวะนี้ Diego Maradona ไม่ได้ใช้ศรีษะสัมผัสบอลอย่างที่กรรมการเข้าใจ แต่เป็นมือของเขาต่างหากที่ชกบอลเข้าประตูไปแบบเนียน ๆ

ภายหลัง Diego Maradona ออกมาพูดถึงการทำประตูนี้ว่า “ส่วนหนึ่งมาจากหัวของผม อีกส่วนหนึ่งมาจากหัตถ์ของพระเจ้า” จากนั้นลูกยิงดังกล่าวก็ถูกเรียกว่า “หัตถ์พระเจ้า” นับแต่นั้นเป็นต้นมา

แต่ถ้าเกิดในยุคนั้นมี VAR แล้วล่ะก็ เหตุการณ์นี้จะพลิกหน้ามือเป็นหลังมือทันที จะไม่มีหัตถ์พระเจ้าอะไรทั้งนั้น และนอกจากจะไม่ได้ประตูแล้ว เสื้อเตี้ยมีสิทธิ์โดนใบแดงไล่ออกจากสนามได้เลยข้อหาจงใจใช้มือเล่นลูกบอล

คงพอจะเห็นภาพกันแล้วว่าเทคโนโลยี VAR และ Goal-Line Technology สามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ในโลกฟุตบอลไปได้มากขนาดไหน บางคนอาจจะบอกว่านี่คือเสน่ห์ของฟุตบอล คุณคงรู้สึกแบบนั้นเมื่อทีมของเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นทีมของคุณเสียประโยชน์ล่ะ? เชื่อว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันจะทำให้เกมลูกหนังขาวสะอาดและยุติธรรมมากขึ้นแน่นอน

PERLE
WRITER: PERLE
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line