Jun Takahashi designer เลือด Punk Rock ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ UNDERCOVER

“เสื้อผ้าทุกตัวล้วนมีความหมาย เรื่องราว แต่ในอีกมุมนึง มันก็เปรียบเหมือนดั่ง Cocktail ที่ต้องมีส่วนผสมหลากหลายเพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม ซึ่งถ้าเสื้อผ้าขาด prop อื่นๆ ก็อาจจะไม่ได้ทำให้มันมีความน่าสนใจใดๆ” คำพูดของ Jun Takahashi ดีไซเนอร์ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ UNDERCOVER ที่สามารถนำพาแบรนด์เอกลักษณ์เฉพาะตัวจากประเทศญี่ปุ่น ไปสู่เวทีแฟชั่นระดับสากลได้อีกหนึ่งคน

กว่า 25 ปีมาแล้ว ที่ Jun Takahashi ทำงานอย่างหนักในวงการแฟชั่นที่เขาพูดเสมอว่าเขาไม่ได้สร้างเสื้อผ้า แต่เขาสร้าง Noise ออกมาเพื่อสะท้อนถึงตัวตนของแบรนด์และความเป็นตัวเขาเอง วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN จึงได้นำเกร็ดประวัติที่น่าสนใจของดีไซเนอร์คนนี้มาฝากกัน

Jun Takahashi เกิดปี 1969 ในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ Kiryu ของประเทศญี่ปุ่น เขาได้เติบโตมาโดยมีวัฒนธรรม punk rock ที่เฟื่องฟูถึงขีดสุดในเวลานั้นหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณอย่างเหนียวแน่น ก่อนจะย้ายตัวเองเข้ามาใช้ชีวิตวัยรุ่นยังโตเกียวในปี 1988 และสมัครเรียนที่ Bunka Fashion College สถาบันแฟชั่นชื่อดังที่เคยปลุกปั้น Yohja Yamamoto แห่ง Y3 มาแล้วในอดีต

แม้จะเรียนสถาบันเดียวกัน แต่จุดเริ่มต้นนั้นต่างกัน  Jun Takahashi  เข้าไปเรียนโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเขาต้องการจะทำอะไร ออกแบบงานสไตล์ไหน เรียกว่ามาแบบไม่มีอะไรในหัว จนกระทั่งเขาได้ไปชมงานแฟชั่นโชว์ของ Comme des Garcons ก็เกิดความรู้สึกชื่นชมอย่างมาก และคิดว่ามันเป็นงานการออกแบบที่สมบูรณ์แบบเหลือเกิน จึงพยายามหาโอกาสที่จะได้เข้าไปคุยกับ Rei Kawakubo ดีไซเนอร์ของ Comme des Garcons โดย Rei Kawakubo ได้บอกกับ Jun Takahashi ว่า “ไม่สำคัญเลยว่างานคุณจะต้องมีสีสันสะดุดตา หรือต้องมีอะไรเหมือนใคร ขอแค่มันเป็นผลงานที่สร้างสรรค์จากตัวคุณเองจริงๆ ก็พอแล้ว”

คำพูดนี้ทำให้ Jun พบเป้าหมายที่แท้จริงในการเริ่มออกแบบงาน  ว่าต้องสร้างแบรนด์ในแบบฉบับของตัวเขาเองให้จงได้ จึงเกิดเป็น UNDERCOVER ในปี 1990 ที่เขากับ Nigo (ภายหลังได้แยกมาทำแบรนด์ A Bathing Ape) ร่วมกันสร้างขึ้นมา ซึ่งในเริ่มแรกแบรนด์ของ Jun Takahashi ถือเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมแฟชั่นของวัยรุ่นญี่ปุ่น โดยเขายึดคอนเซ็ปต์แบบ punk rock ในการสร้างสรรค์ผลงานที่มาจากความชอบตั้งแต่วัยรุ่น และงานอดิเรกของ Jun Takahashi คือการเล่นดนตรีแนว punk มีชื่อวงว่า  “Tokyo Sex Pistols”

Jun Takahashi เปิดร้านสาขาแรกที่ Tokyo โดยนำโมเดลแบบที่ Vivienne Westwood เคยใช้ในการนำพาสไตล์ punk ให้ระบาดไปทั่ว London ตัวของ Jun Takahashi บอกว่า “ผมอยากจะทำ punk ออกมาให้มีความสง่างาม มันไม่ใช่เรื่องผิดที่ผมจะตีความเพลง หรือหนังภาพยนตร์ที่ผมเติบโตขึ้นมาด้วยกันเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ในตัวผมมีความเป็นกบฎฝังรากลึกอยู่เสมอ ดังนั้นผมจึงทำเสื้อผ้าที่ออกแบบไม่ใช่เพียงสวยงาม แต่มันต้องมีความหมายสำหรับผมด้วย” และคอลเลคชั่นแรกในปี 1994 ถือเป็นการแจ้งเกิดของ  UNDERCOVER  มี MA-1 Jacket เป็นที่พูดถึงอย่างมาก และคนแรกที่ซื้อมันไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ Rei Kawakubo แห่ง Comme des Garcons ที่เขาเคยชื่นชมนั่นเอง

หลังจากนั้นเขาได้กลับเข้าไปเยี่ยมชมร้าน Comme des Garcons พนักงานขายในร้านได้บอกกับ Jun Takahashi ว่า Rei Kawakubo ยังสนใจที่จะซื้อรองเท้าของ UNDERCOVER ที่ Jun Takahashi เป็นคนออกแบบอยู่ เขาจึงรีบจัดแจงส่งรองเท้าคู่ที่ว่านี้เป็นของขวัญไปให้  Rei Kawakubo  ด้วยหัวใจพองโต ไม่นานนัก  Rei Kawakubo  ก็ได้ตอบจดหมายขอบคุณกลับมา พร้อมชื่นชมในตัวผลงานอันยอดเยี่ยมของ  Jun Takahashi   ทั้งคู่จึงสนิทสนมเกิดเป็นมิตรภาพระหว่างดีไซเนอร์หัวขบถเลือดญี่ปุ่นที่โดดเด่นมากในสมัยนั้น

มิตรภาพในครั้งนั้น ทำให้ Rei Kawakubo กลายเป็นผู้ผลักดันให้ Jun นำผลงานไปสู่สายตาชาวโลก โดยการเป็นผู้สนับสนุนปูทางเพื่อให้ UNDERCOVER ได้ไปแสดงผลงานที่ Paris Fashion Show ในปี 2002 อีกทั้งเธอยังเป็นกระบอกเสียงสำคัญที่บอกกับทุกคนว่า ให้จับตามองผลงานของ UNDERCOVER ให้ดี ทำให้ชื่อแบรนด์ได้รับความสนใจอย่างมากตั้งแต่ก่อน  Fashion Show  จะเริ่มซะอีก และผลงานที่ได้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แบรนด์  UNDERCOVER  สามารถเข้าไปอยู่ในใจชาวตะวันตกได้อย่างรวดเร็ว

Rei Kawakubo ยังคงเป็นแบบอย่างในการบริหารของ Jun Takahashi ในปัจจุบัน แต่ติดตรงที่เขาไม่ได้มีบุคลากรชั้นเยี่ยมเหมือนที่  Rei  มี เพราะในยุโรป ดีไซเนอร์จำนวนมากมีแบรนด์ชื่อของตัวเอง แต่เบื้องหลังต้องพึ่งกลุ่มทุน บริษัทถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้า ต่างกับดีไซเนอร์ญี่ปุ่น ที่มีความอิสระมากกว่า โดยดีไซเนอร์ญี่ปุ่นจะต้องดูแลทุกอย่างเอง เป็นทั้งประธาน และนักออกแบบไปพร้อมๆ กัน ทำให้มันเป็นเรื่องยากที่จะบริหารงานออกมาให้ดีสมบูรณ์แบบ และ Jun Takahashi ก็ไม่เคยต้องการให้มีนายทุนเข้ามายุ่งกับงานของเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

แต่การเป็นศิลปินกับนักบริหาร สองสิ่งที่ไม่ค่อยจะอยู่ในคนเดียวกันได้นี้ เป็นปัญหากับ  UNDERCOVE  เช่นกัน   Jun Takahashi  ไม่ได้เป็นคนที่เก่งกาจในการจัดการระบบ เขาบริหารงานแบบ day-to-day การจัดการ และควบคุมบริษัทเป็นเรื่องยาก และเขาไม่ได้เป็นคนที่ชอบจัดการอะไรมากมาย แต่มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น UNDERCOVER จึงไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะต้องทำเงินจำนวนมหาศาล เขาแค่ต้องการเงินเพียงพอในการต่อเลี้ยงชีวิตแบรนด์ และอาชีพการทำงานในการสร้างสรรค์ผลงานของเขาได้ออกมาเรื่อยๆ เป็นพอ แต่แม้จะพูดอย่างนั้น ปัจจุบัน  UNDERCOVER  ก็มีร้านอยู่ถึง  51  สาขาทั่วโลก

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ UNDERCOVER ในสายตาของ Jun Takahashi คือเด็กวัยรุ่นในเอเชีย เพราะด้วยความใกล้เคียงกันของรูปร่างและวัฒนธรรม แถมยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนำไปขายไกลถึงฝั่งตะวันตก ที่อาจจะส่งผลให้ราคาของเสื้อ  UNDERCOVER  สูงจนเกินไป เขาต้องการมุ่งเน้นที่จะขายในราคาที่เยาวชนก็สามารถสวมใส่แบรนด์เขาได้

ปัจจุบันไลน์เสื้อผ้าของ  UNDERCOVER  ประกอบไปด้วย  JohnUNDERCOVER  ที่จะขายสินค้าของผู้ชาย และ  SueUNDERCOVER  ขายผลิตภัณฑ์ของผู้หญิง และตัวของ Jun Takahashi ได้มีโอกาสถูกเชิญไปร่วมทำ Collaboration กับ giant brands มากมาย อาทิ  Nike ,Supreme ,Uniqlo  และโปรเจคพิเศษที่ทำร่วมกับ Takahiro Miyashita ในนาม  The Soloist แม้ว่าการทำ Collab ร่วมกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่จะทำเงินให้  UNDERCOVER  ได้มาก ซึ่งดีไซเนอร์หลายคนอาจจะเลือกทำ  Collab  เพื่อให้ได้เงินเร็ว จนบางครั้งก็ลืม ทิ้งตัวตนและจิตวิญญาณของตัวเองไป แต่สำหรับ  Jun Takahashi  จะเลือกทำงาน  Collab  เฉพาะ collection ที่เปิดทางให้การออกแบบสะท้อนตัวตนของเขา และ UNDERCOVER เท่านั้น

ในช่วงเวลากว่า 25 ปีของ Jun Takahashi แม้จะทั้งช่วงเวลาที่รุ่งเรือง แต่ก็มีจุดที่ตกต่ำเช่นกัน เพราะวัฒนธรรม punk ที่เขายึดถือ มันไม่สามารถอินอยู่ในกระแสได้ตลอดเวลา แต่เขาย้ำเตือนกับตัวเองอยู่เสมอว่า จะไม่ยอมสูญเสียทิศทาง และตัวตนเพียงเพื่อให้ตัวเองได้รับเงิน ทำให้ UNDERCOVER ยังสามารถยืนหยัดในวงการที่เต็มไปด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด ได้เฉกเช่นทุกวันนี้ สุดท้ายนี้เราก็ขอฝากคำคมเจ๋งๆ ของ Jun Takahashi ให้ชาว UNLOCKMEN ไปไว้ปรับใช้กับตัวเองกันในอนาคต

“ผมเป็นคนที่หลงใหลในทุกสิ่ง และออกแบบงานมานับไม่ถ้วนแม้กระทั่งตุ๊กตา หรือเฟอร์นิเจอร์ ผมก็ยังคงทำผิดพลาด แต่ก็ไม่เห็นมันจะเป็นอะไร เพราะมันทำให้ผมรู้จักที่จะพัฒนาตัวเองมากขึ้นไปอีก พวกเราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า คำว่า Perfection มันไม่มีจริงหรอก”