Life

ไวน์ชั้นเลิศจะเป็นไวน์ที่ดีไม่ได้ หากไม่ผ่านการบ่ม ดังเช่นชีวิตของ Justin Timberlake

By: Thada September 14, 2016

ไวน์ชั้นเลิศจะเป็นไวน์ที่ดีไม่ได้ หากไม่ผ่านการบ่มเพาะในขวด เช่นเดียวกับชีวิตของบางคนที่ต้องใช้เวลา และประสบการณ์เพื่อฝึกฝนตัวเองจนกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ดังเช่นไวน์ชั้นเลิศ  วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN ขอพูดถึงอดีตนักร้องบอยแบนด์ ที่โดนคำครหาว่ามีดีแค่หน้าตา เปรียบงานเพลงของเขาเหมือนขนมลูกกวาด ที่หาฟังได้ทั่วไป ซึ่งเขาไม่ย่อท้อฟันฝ่าอุปสรรค ผันตัวเองมาเป็นศิลปินเดี่ยวเพื่อพิสูจน์ให้ทั้งโลกได้เห็นว่าทุกคนคิดผิดเกี่ยวกับตัวเขา ผู้ชายคนนั้นคือ Justin Timberlake

160914-justin-2

Justin Timberlake เติบโตในเมือง Memphis ,Tennessee และเข้าวงการตั้งแต่อายุ 11 ปีจากการประกวดรายการ Star Search หลังจากการแข่งขันนี้ทำให้เขาได้เข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิก The Mickey Mouse Club รายการโทรทัศน์ของ Disney ซึ่งประกอบไปด้วย Britney Spears ( ทั้งคู่ก็คบหากันในเวลานั้น ) , Christina Aguilera , Ryan Gosling , Keir Russell และ JC Chasez ก่อนทั้งคู่จากได้ไปฟอร์มวง NSYNC ในที่สุด

160914-justin-1

160914-justin-3

วง NSYNC ก่อตั้งจากความตั้งใจของ Chris Kirkpatrick ผู้ที่ถูกคัดออกจากการเป็นสมาชิก Backstreet Boys ทำให้เขามีความตั้งใจจะตั้งวงบอยแบรนด์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ซึ่ง Justin Timberlake เข้ามาอยู่ในวงนี้ได้ก็เพราะ Chris Kirkpatrick และ Lou Pearlman ( Producer ) ได้ไปเห็นเทปของ Justin จากรายการ The Mickey Mouse Club

160914-justin-9

160914-justin-8

ความตั้งใจของค่ายเพลงคือการดัน Justin Timberlake ในฐานะนักร้องเสียงหลัก เพราะหน้าตาที่หล่อกว่าสมาชิกคนอื่นๆ แถมอายุน้อยที่สุด จึงมีแววที่จะปั้นไปได้อีกไกล NSYCN เปิดตัวด้วยยอดขาย 11 ล้านก๊อปปี้ มีเพลงฮิตอย่าง Tearin’ Up My Heart ก่อนจะมีอัลบั้ม 2 และ 3 ตามมาติดในปีถัดไป NSYNC เป็นวงบอยแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในระดับสากล ครองใจมหาชน โดยมี Justin เป็นหัวหอกหลักในการโปรโมต แถมยังได้รับเกียรติให้เล่นในงาน Academy Awards , Olympics และ Super Bowl สามารถสร้างรายได้จากทั้งสามอัลบั้มอยู่ที่ 50 ล้านก๊อปปี้ รั้งอันดับ 3 ของบอยแบนด์ที่มียอดขายเพลงสูงสุดตลอดกาล

160914-justin-4

ระหว่างที่ NSYNC ประสบความสำเร็จนั้น Justin Timberlake ยังมีโอกาสได้ชิมลางงานแสดงในเรื่อง Model Behavior รับบทเป็น Jason Sharpe นายแบบหนุ่มที่ตกหลุมนักสาวเสิร์ฟ

160914-justin-5

แม้ว่า NSYNC จะประสบความสำเร็จในระดับสูง แต่เชื่อว่าลึกๆ แล้ว  Justin  คงมีเรื่องค้างคาใจไม่หาย เพราะด้วยคำว่าบอยแบนด์ที่ติดหลังเขามา อาจทำให้เขาไม่ได้ยอมรับในวงการเพลงเท่าที่ควร คนภายนอกมองว่า Justin มีคนคอยทำทุกอย่างให้ ทำไมจะไม่ประสบความสำเร็จ บวกกับการที่เขาต้องทำตามสั่งคนอื่น ก็เหมือนว่าตัวเขาเองไม่ได้ใช้ความสามารถที่แท้จริงออกมา ทำให้หลังจบ Celebrity Tour ระหว่างที่พักเบรคทัวร์ Justin Timberlake ได้ตัดสินใจลาออกจากวง เพื่อมาโซโล่ในฐานะศิลปินเดี่ยว

หลังจากหายไปสองปี Timberlake กลับมาพร้อมพรีเมียร์โซโล่ซิงเกิ้ลของเขาในงาน 2002 MTV VMA กับเพลง Like I Love You หลังจากเปิดตัวเพลงนี้ได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 11 ของ Billboard Hot 100 และอันดับ 2 ของ UK Chart

แม้ว่าจะเรียกเสียงฮือฮา แต่อัลบั้ม Justified ของเขาเปิดตัวด้วยยอดขายน้อยกว่าสมัยที่เป็น NSYNC  อาจเพราะหลายคนยังคงตั้งข้อสงสัยให้กับตัว Justin ว่าจะไปได้ขนาดไหนในฐานะศิลปินเดี่ยว บวกกับสไตล์ที่เปลี่ยนไปจากเดิม ที่เคย Pop ใส มาเป็น R&B ติดกลิ่นอาย Hiphop  จึงทำให้ฐานแฟนเพลงเก่าๆ ของเขาไม่ค่อยประทับใจสักเท่าไหร่ รวมถึงคนที่เคยอี๊เขาสมัยยังเป็นบอยแบนด์ ยังไม่เปิดใจรับฟังเพลงของเขา

แต่หลังจากนั้นไม่นานกระแสของอัลบั้มนี้ก็ค่อยดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากปล่อยเพลง Rock Your Body และ Cry Me A River ที่ได้โปรดิวส์มือฉมังอย่าง The Neptunes และ Timbaland มาคุมการผลิต ทำให้อัลบั้ม Justified มียอดขายมาถึง 10 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก เขากระหน่ำทัวร์อย่างบ้าคลั่งทั่วโลก เพื่อฉลองความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยว

160914-justin-7

160914-justin-6

แต่แล้วงานของเขาก็มาสะดุดในปี 2004 ได้เกิดเหตุการณ์ระหว่างเกมส์ Super Bowl ที่ถ่ายทอดสดไปทั่วโลกมีผู้ชมมากกว่า 140 ล้านคน Justin Timberlake ต้องขึ้นแสดงโชว์กับนักร้องสาว Janet Jackson ก่อนจบของการแสดง Justin ได้กระชากบราของ Janet Jackson ออกมา เหตุการณ์นี้ทำให้ Justin และ Janet ถูกปรับเงินมหาศาลโทษฐานทำกระทำอนาจารในที่สาธารณะที่ส่อให้เกิดผลเสียต่อเยาวชน แม้ว่าทั้งคู่จะบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ก็ยังโดนโจมตีอย่างหนักจากกระแสสังคม จนทำให้ Justin ต้องขอเบรคการบันทึกเสียงอัลบั้มที่สองไว้ชั่วคราว

เหตุการณ์นี้อาจจะเลวร้ายสำหรับเขา แต่มันไม่ได้ทำให้เขาพลาด 2 รางวัลจาก Grammy Award  ในสาขา Best Pop Vocal Album และ Best Male Pop Vocal Performance จากการเข้าชิง 5 สาขาแต่อย่างใด ระหว่างที่เบรคจากงานเพลง Justin ได้ใช้เวลาในการพัฒนาศักยภาพด้านการแสดงด้วยการไปรับบทในหนังมากมาย อาทิเช่น Eddison Force , Alpha Dog, Black Snake Moan  และ Southland Tales เพื่อลืมเหตุการณ์แย่ๆ ในครั้งนั้น

160914-justin-10

แม้จะไม่ได้มีผลงานของตัวเองเป็นชิ้นเป็นอัน Justin ยังคงทำงานเพลงร่วมกับศิลปินคนอื่นอย่างเช่น The Black Eyed Peas ในเพลง Where Is The Love หรือ Snoop Dogg ในเพลง Sign ซึ่งทั้งสองเพลงประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่เหมือนมรสุมของเขาจะยังไม่หมดสิ้น เพราะ Justin ตรวจพบก้อนเนื้อในลำคอ ทำให้ต้องงดใช้เสียง และต้องพักงานเลื่อนการปล่อยอัลบั้มเดี่ยวของเขาไปอีกสักระยะหนึ่ง

160914-justin-17

ก่อน Justin จะกลับมาในปี 2006 กับอัลบั้ม FutureSex/LoveSounds ภายใต้ค่ายเพลงของตัวเองที่ชื่อ JayTee records อัลบั้มนี้สามารถทะยานขึ้นอันดับ 1 ได้ทันทีที่เปิดตัว และมียอด pre-orders ทาง iTunes จำนวนมหาศาล เพลง Sexyback ทำให้คนทั่วโลกรับรู้ความสามารถอีกด้านของเขา คือการเต้น ในเวลานั้น Justin Timberlake ถูกจัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในศิลปินที่เต้นดีที่สุดหลังจากยุคของ Michael Jackson เลยทีเดียว

160914-justin-13

หลังจากจบ World Tour FutureSex/LoveSounds เขาได้ตัดสินใจพักงานเพลงไว้อีกครั้งเพื่อทุ่มเทกับงานเบื้องหลัง และการแสดง เพราะจะว่าไปก่อนนี้ Justin ก็ไม่ได้มีบทบาทไหนที่เป็นที่จดจำในฐานะนักแสดง เขาจึงอยากมาโฟกัสงานในด้านนี้ให้ออกมาดี ด้วยการโหมงานหนักติดๆ กันถึง 5 เรื่อง ได้แก่บท Mike Myers ในภาพยนตร์ตลกเบาสมอง Love Guru  พ่วงด้วยบทดราม่าในเรื่อง The Open Road ตามด้วยบทบาทสมทบของ Sean Parker เจ้าของ Napster ในภาพยนตร์ The Social Network บทคุณคู่ขาของ Cameron Diaz ใน Bad Teacher  หนังรักโรแมนติค คอมเมดี้ Friends with Benefits และ  Will Salas ใน In Time

160914-justin-18

160914-justin-21

160914-justin-19

160914-justin-20

หลังจากจบเรื่อง In Time ตัวเขาเองรู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องกลับมาลุยงานเพลงชุดที่สาม เสียที Justin จึงได้ปล่อยอัลบั้ม The 20/20 Experience ด้วยคอนเซ็ปไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆทั้งสิ้น เปิดตัวด้วยเพลง Suit & Tie ก่อนจะตามด้วยเพลง Mirror เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ Justin เพราะมีเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในปี 2013 และเขาก็ได้มีโอกาสไปแสดงสดในทำเนียบขาวต่อหน้าประธานธิบดีสหรัฐอเมริกา Barack Obama

160914-justin-11

ในปีเดียวกัน Justin Timberlake ก็ปล่อยอัลบั้ม The 20/20 Experience – 2 of 2 ที่ยังคงความแรงต่อเนื่องขึ้นไปรั้งอันดับหนึ่ง Billboard Chart ทำให้ปีนั้นเขาได้เข้าชิง 7 สาขาของ Grammy Award ครั้งที่ 57 ซึ่ง Justin ได้ไป 3 รางวัลได้แก่ Best R&B Song , Best Rap/Sung Collaboration และ  Best Music Video

160914-justin-15

160914-justin-14

และล่าสุดเพิ่งจะปล่อยเพลง Can’t Stop The Feeling ขึ้นไปรั้งอันดับ 1 ของทุกชาร์ตเพลง ทำให้ Forbes สำรวจความสำเร็จ และเม็ดเงินในกระเป๋าทั้งหมดของ Justin มีจำนวนทั้งสิ้น $63 ล้านเหรียญสหรัฐ

สิ่งที่เราได้เห็นจากพัฒนาการของ Justin Timberlake นอกจากงานเพลงที่ก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่องจนเราแทบจะลืมภาพเด็กหัวหยองสมัย NSYNC ไปเสียหมด เหลือเพียง Men StyIe Icon  เพราะสไตล์การแต่งตัวของ Justin ได้รับการยอมรับอย่างมากว่ามีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถผสมผสานได้อย่างลงตัวระหว่าง Elvis Presley , Johnny Cash , Jerry Lee Lewis และ Sinatra มาเป็นแรงบันดาลใจ ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้ชายที่เซ็กซี่ที่สุดในโลกจาก  Cosmopolitan และ Teen People ยังพ่วงตำแหน่ง Most Stylish Man in America จากนิตยสาร GQ อีกด้วย

160914-justin-16

นับวันดีกรีความเก่ง เท่ สมารท์ ของ Justin จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เปรียบดังไวน์ชั้นเลิศที่ผ่านการบ่มมาเป็นที่เรียบร้อยพร้อมแก่การดื่ม และเรายังเชื่ออีกว่าในอนาคต เราจะได้เห็นอะไรดีๆ จาก Justin Timberlake อีกมากมายอย่างแน่นอน และด้วยทัศนคติที่ยอดเยี่ยมในการทำงานของเขา ทำให้ Justin สามารถประสบความสำเร็จในชีวิต ทีมงาน UNLOCKMEN จึงนำหลักการใช้ชีวิตของ Justin  Timberlake  3 ข้อ มาฝากทุกคนเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต

160914-justin-22

อย่านับวันรอให้โอกาสเข้ามา แต่จงสร้างมันให้เกิดขึ้นด้วยตัวเอง

” ในขณะที่คุณยังเป็นเด็ก อย่ารอโอกาส และหวังให้สิ่งโน้นสิ่งนี้เกิดขึ้นเองในชีวิตแบบฟลุคๆ แต่เริ่มต้นสร้างโอกาสให้เกิดขึ้นด้วยตัวเราเอง ”

อย่าทำเพียงเพราะมันถูกต้อง แต่จงทำมันเพราะมันเป็นสิ่งดีที่ควรทำ 

” ผมถูกสอนมาในครอบครัวที่คอยบอกให้ผมเลือกทางเดินของชีวิต และยอมรับความแตกต่างของผู้คนในสังคม ไม่ว่าคุณจะมีสีผิวแบบไหน หรือเพศอะไร จงยอมรับในความต่างเพราะมันคือสิ่งสวยงาม มันทำให้ผมโตขึ้นมาเป็นคนดี และได้ร่วมงานกับกลุ่มคนที่พิเศษมาตลอดทั้งชีวิต นั้นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ จงสุภาพ ใจกว้าง แฟร์กับทุกคน อย่าทำเพียงเพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่จงทำมันเพราะมันเป็นสิ่งดีที่ควรทำ”

ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้

” คำว่าเป็นไปไม่ได้ ถูกออกแบบโดยคนตัวเล็กๆ ที่กลัวการล้มเหลว ชอบหาหนทางง่ายๆ ให้กับชีวิต โดยที่ไม่ยอมค้นหาพลังที่แท้จริงของตัวเองว่าสามารถทำอะไรให้กับโลกนี้ได้อย่างมากมาย คำว่าเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นเพียงความคิดเข้าข้างตัวเองแบบมักง่ายของตัวคุณเอง ดังนั้นไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ ”

 

Thada
WRITER: Thada
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line