Films

ชวนดู 5 หนังหน่วง ๆ ที่จะทำให้หนุ่ม ๆ ย้อนกลับมาทบทวนตัวเอง ว่าทำหน้าที่คนรักได้ดีหรือยัง

By: unlockmen May 25, 2018

“You always hurt the one you love, The one you shouldn’t hurt at all.” เป็นเนื้อเพลงที่มันไม่ได้เกินจริงไปสักเท่าไหร่ เพราะหลาย ๆ ครั้งที่ผู้ชายอย่างเราอยู่กับความเคยชินที่มีอีกคนอยู่ข้าง ๆ กันมานาน เพราะความรำคาญ ความขี้โมโห หรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ เรามักจะเผลอตัวทำร้ายความรู้สึกอีกคนไป แบบที่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องราวมันเลวร้าย ไม่ได้ตั้งใจให้มีใครต้องเจ็บปวดเพราะอีกคน แต่ด้วยความที่เราเป็นมนุษย์ เราไม่เพอร์เฟ็กต์ เราทำผิดพลาด แต่การแก้ไขที่ดีที่สุดคือการปรับปรุงตัว และไม่ทำผิดซ้ำสอง

UNLOCKMEN ขอชวนหนุ่ม ๆ มาดู 5 หนังให้ความรู้สึกหน่วง ๆ แต่อิมแพคมากพอที่จะให้เรามองย้อนกลับไปดูตัวเอง ว่าที่ผ่านมา และตอนนี้ เราทำหน้าที่คนรักได้ดีหรือยังวะ หรือจะเป็นหนุ่มโสดก็สามารถดูได้ เอาไว้เตือนใจตัวเองก็ยังได้ แต่ก็อย่าได้เก็บไปเครียดกันเกินไป ดูไว้เป็น Case Study ก็พอ

Blue Valentine (2010)

Director : Derek Cianfrance

เมื่อความรักมันไม่ใช่เหตุผลเดียวที่จะทำให้อยู่ด้วยกันได้ อะไรเดิม ๆ ที่เคยรัก มันกลับไม่ได้รับความรักเหมือนเดิมแล้ว เหมือนกับเรื่องราวของ “ดีน” และ “ซินดี้” คู่วัยรุ่นที่ได้มาเจอกันในเวลาที่อ่อนไหวของชีวิต มันทำให้ทั้งคู่เชื่อว่ารักครั้งนี้คือที่สุดของชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไป ดีนกลับไม่ได้เป็นผู้นำครอบครัวที่ดี เขาไม่ได้เป็นที่พึ่ง ไม่ได้เป็นต้นไม้ใหญ่ของครอบครัว แต่กลับเป็นซินดี้ ที่รับหน้าที่ผลักดันครอบครัวให้เดินไปข้างหน้า หรือแม้แต่หน้าที่คนรัก เขาเองก็ไม่ได้ทำได้ดีนัก จนเธอรู้สึกว่าดีนกลายเป็นปัญหาของเธอ

สิ่งที่มันช่วยส่งให้หนังมันอิมแพคกับความรู้สึกของคนดูมาก คือการเล่าเรื่องที่สลับระหว่างช่วงเวลาที่มีความสุข และช่วงเวลาอมทุกข์ในปัจจุบัน มันยิ่งทำให้เราเข้าใจตัวละครมากขึ้น เข้าที่มาของความรัก ความผูกพันที่ทั้งคู่มีให้กัน การเติบโต การเปลี่ยนแปลงของตัวละคร ที่จะค่อย ๆ เล่าให้เรารู้ไปทีละนิด จนสุดท้ายแล้ว หนังก็ไม่ได้ชี้นำให้เราตัดสินว่าฝ่ายไหนถูกหรือผิด แต่ให้เราเป็นมุมมองจากบุคคลที่สาม เฝ้าดูเรื่องราวของพวกเขาในฐานะที่รู้เรื่องราวมาตั้งแต่แรกซะมากกว่า

6 Years (2015)

Director : Hannah Fidell

รักที่อยู่มานาน ไม่ได้เป็นเรื่องการันตีว่ามันจะอยู่ตลอดไป เรื่องราวของคู่รักวัยรุ่นที่เป็นแฟนกันตั้งแต่ยังเป็นวัยกระเตาะ แม้จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่ทั้งคู่ก็ประคับประคองความรักสุด Emotional มาได้จนถึงช่วงที่เราจะได้ดูในเรื่องนี้กัน คือปีที่หกตามชื่อเรื่อง ใครที่เคยมีความรักที่ฝังใจในช่วงวัยรุ่น รับรองว่าจะรักเรื่องนี้เป็นพิเศษ

จุดร้าวฉานมันอยู่ที่เมื่อมีฝ่ายหนึ่งนอกใจ แต่ทั้งคู่กลับไม่ได้อยากแยกจากกัน ก็ต้องใช้ความรักที่ยังคงเหลืออยู่ ฉุดดึงกันและกันเอาไว้ และการที่จังหวะชีวิตมันมีเรื่องให้ต้องห่างกัน เรื่องราวของอนาคต การสร้างตัว เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้พวกเขาต้องทิ้งความรักแบบเด็ก ๆ ทิ้งไป และมาเป็นบททดสอบว่าทั้งสองจะจับมือกันได้แน่นแค่ไหน

เอาจริง ๆ ก็เป็นเหมือน Blue Valentine เวอร์ชั่นวัยรุ่นนั่นแหละ การันตีความหน่วงไม่แพ้เรื่องแรกเหมือนกัน เพราะมันจะไม่ได้มีไดอะล็อกยืดยาวมากมาย เป็นเหมือนเราเดิมตามไปดูชีวิตคู่รักวัยรุ่นธรรมดาคนนึงเท่านั้นเอง ไปพิสูจน์ความหน่วงกันได้

 45 Years (2015)

Director : Andrew Haigh

ดูปีที่ 6 ของคู่รักวัยรุ่นไปแล้ว มาดูรักในปีที่ 45 ของคู่รักที่แต่งงานกันมาเกือบครึ่งศตวรรษ ความรักของทั้งคู่ดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา และราบรื่นดีมาตลอด 45 ปี จนมาถึงปีนี้ที่เราจะได้เห็นจุดแตกหักของทั้งคู่ คู่รักที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดปัญหาร้าวฉานเรื่องคนอื่นเอาในตอนนี้ เมื่อฝ่ายชายได้จดหมายว่าพบศพของแฟนเก่าเขาที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานเหลือเกิน เรื่องราวมันจะจบแค่ตรงนั้น มันจะเป็นเพียงแค่อดีตที่สนิมเกาะจนเลือนลาง ถ้าฝ่ายชายไม่ได้เผลอตัวรื้อฟื้นมันขึ้นมา และทำร้ายอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ

การไม่ได้เป็นรักแรกของคนรักดูเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ยอมรับได้ แต่การที่รักแรกยังคงเป็นรักที่เขายังรักอยู่ มันไม่ใช่ว่าจะยอมรับกันได้ง่าย ๆ หลังได้รับจดหมาย ฝ่ายชายเริ่มพูดถึงเรื่องราวดี ๆ ของทั้งคู่ในตอนนั้น บอกว่าเธอคนนั้นเป็นคนพิเศษแค่ไหน เขายังจำได้แม้แต่ดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนที่หายสาปสูญไปหลายสิบปี แต่กลับลืมเรื่องราวของคนที่อยู่ข้างกัน

นอกจากเนื้อเรื่องที่บีบหัวใจกันสุด ๆ แล้ว อยากให้ลองชมความสวยงามของแถบชนบทในประเทศอังกฤษ ที่เป็นพื้นหลังในหนังเรื่องนี้อีกด้วย มันช่วยให้หนังอบอุ่นและกลมกล่อมขึ้นมาได้แบบคาดไม่ถึง

Revolutionary Road (2008)

Director : Sam Mendes

เมื่อความรักและความฝันมันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เราจะเลือกทางไหน ? โปรยมาแบบนี้เราอาจจะคิดถึงเรื่อง La La Land กันเป็นเรื่องแรก แต่ขอบอกว่าไม่อยากให้มองข้ามเรื่องนี้เลย เพราะนอกจากเนื้อหาที่เข้มข้นแล้ว เราจะได้ดูนักแสดงนำคู่บุญ Kate Winslet และ Leonardo DiCaprio ใบบทบาทของคู่รักที่แต่งงานกันแบบข้าวใหม่ปลามัน กำลังอยู่ในช่วงสร้างครอบครัว ความฝันของ April คือการได้เป็นนักแสดง แต่เมื่อเธอแต่งงาน เธอต้องเก็บความฝันของเธอเข้าลิ้นชักและกลายเป็นแม่บ้านเต็มตัว ส่วน Frank ก็พยายามจะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี จนต้องทิ้งความฝันของตัวเองไปเป็นพนักงานออฟฟิศ ทั้งที่ความจริงเขาเองก็ยังไม่ได้อยากเป็นเลยสักนิด 

เมื่อความสัมพันธ์ที่จริงจังมันเริ่มบังคับให้เราต้องเสียสละตัวตนออกไปทีละนิด จนเรารู้สึกโหยหาชีวิตจริง ๆ ของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้อยากจะพังความรักของตัวเองลง ความรักและความสับสนมันจึงตีกันจนยุ่งวุ่นวายไปหมด ปัญหาเล็กน้อยที่เคยถูกซ่อนไว้ใต้พรมเริ่มออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเราแทบจะไม่เชื่อว่านี่คือคนเคยรักกันแทบคลั่ง และต้องซูฮกให้กับการแสดงของทั้งคู่ ทั้งการแสดงความรักทางสายตา การปะทะคารมกัน ที่ทำให้เราเชื่อได้แบบสนิทใจว่าบทนี้คือเขาทั้งคู่ที่ใช้ชีวิตด้วยกันจริง ๆ

ลัดดาแลนด์ (2011)

Director : Sophon Sakdaphisit

อ้าว! นี่มันหนังผีนี่หว่า! แล้วมันจะให้ข้อคิดได้ยังไงเนี่ย ? ถอดความคิดของคุณเอาไว้ก่อน จริง ๆ ถ้าตัดเรื่องผีเละ ๆ ที่โผล่มาให้เราตัวสะดุ้งติดเก้าอี้แล้วล่ะก็ นี่เป็นหนังที่แสดงถึงปัญหาครอบครัวได้ดีมาก ๆ และสะท้อนสังคมไทยได้ดีมาก ๆ เรื่องนึงเลย

ธีร์ หัวหน้าครอบครัวที่ไม่ได้ทำหน้าที่ได้ดีนัก ทั้งบทบาทคนรัก และบทบาทของพ่อ เขาไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จนเมื่อได้รับข้อเสนอให้ย้ายงานมาเป็นระดับหัวหน้า แต่ข้อแม้คือต้องย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่ เมื่อเศรษฐกิจแย่ลงครอบครัวจึงพากันมาเริ่มต้นใหม่ที่หมูบ้านลัดดาแลนด์ ขอข้ามเรื่องผี ๆ เอาไว้ก่อน เข้ามาที่ความเข้มข้นของเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว เมื่อสุดท้ายแล้วการย้ายมาเชียงใหม่ไม่ได้ดีอย่างที่เขาคิด มันจะไม่แย่เลยถ้ามีเพียงแค่เขาตัวคนเดียว แต่เขายังมีลูกอีกสองคน และภรรยาที่ต้องดูแล จนต้องทำทุกอาชีพที่ทำได้ (ไม่เลือกงานไม่ยากจน) จนเป็น Meme สุดฮาที่ยังอยู่จนถึงวันนี้อย่าง “กูไม่ออก ถ้ากูออกแล้วจะเอาอะไรแดก!”

หากดูเฉย ๆ อาจจะคิดว่าธีร์มันช่างเป็นผู้ชายที่ห่วยแตกจริง ๆ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง แต่สิ่งที่เขาทำมาตลอดคือเขารัก และไม่ยอมปล่อยให้ครอบครัวของเขาต้องลำบาก แม้ในตอนนี้ครอบครัวของเขาจะไม่ได้สบายนัก แต่เขาก็จะหาทุกหนทางที่ทำให้มันดีขึ้น เรียกได้ว่าเรื่องนี้ พี่ก้องของเรา สลัดภาพหนุ่มอบอุ่นสุดเนี้ยบทิ้งไปได้แบบหมดเปลือก แล้วสวมบทบาทของธีร์ได้อย่างกับเป็นคน ๆ เดียวกัน

ลองเลือกสักเรื่องที่ถูกใจ แล้วใช้เวลากับมันให้มากหน่อย เก็บดีเทลของเรื่องราว และวิเคราะห์ตัวละครให้เฉียบขาด เราจะได้เห็นอะไรที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของเขา แล้วลองเอามาสะท้อนตัวเองเราเองดู ว่าเราเผลอทำอะไรแย่ ๆ ลงไปเพราะเหตุผลงี่เง่าแบบนั้นหรือเปล่า ทำยังไงเรื่องราวมันถึงจะดีขึ้น รู้ทั้งรู้ว่าทำแบบนี้แล้วเรื่องราวมันมีแต่แย่ลงแล้วเราจะทำไปทำไม อย่าปล่อยให้คนรักของคุณ ที่คุณเคยไขว่คว้าเขาเข้ามาสุดความพยายามของลูกผู้ชายในตอนนั้น ต้องเสียน้ำตาเพียงเพราะความคิดชั่ววูบของเราเลย

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line