ในความสัมพันธ์ของคู่รักเวลาที่ทะเลาะกันคุณเป็นคนแบบไหน ระหว่าง ‘ไม่พูดให้ปัญหาคลายตัวเอง’ หรือ ‘พูดให้หมดและจบตรงนั้น’ แน่นอนว่าไม่มีแบบที่ถูกและแบบที่ผิดแบบ 100% มีแต่แบบที่เหมาะสมสำหรับแต่ละสถานการณ์และของแต่ละคู่ต่างหาก แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นคนแบบไหน เราคิดว่าความสัมพันธ์จะยังไปต่อได้ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติเวลาอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี พร้อมกับจัดการกับตัวเองให้ได้ว่าต้องไม่ทำให้เรื่องบานปลาย ควบคู่ไปกับการพิจารณาหนทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์นั้น เพราะปัญหาเกิดขึ้นแล้ว คุณย้อนเวลากลับไปไม่ได้ จงดีล วิท อิท แมน! ขอคุยกันเลยได้มั้ย ไม่อยากให้เราทะเลาะไปมากกว่านี้ ดอกเตอร์ Jason Whiting เปรียบปัญหาความของสัมพันธ์เป็นเหมือนเมล็ดของวัชพืช และบางปัญหาต้องรีบจัดการตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่รากจะหยั่งแล้วยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิม ในการทำงานกับความเครียดที่เกิดขึ้นนั้น การจับเข่าเข้าคุยกันเป็นหนทางที่ดีสำหรับการเริ่มต้นเคลียร์ และส่วนที่สำคัญคือคำพูดเปิดประโยคที่เลือกมาต้องถูกไตร่ตรองมาอย่างแม่นยำต่อความรู้สึกของอีกฝ่าย เช่นคุณอาจจะเริ่มต้นว่า “ผมไม่ต้องการให้เราทะเลาะกันเลย และผมก็ให้มีความรู้สึกแย่ ๆ ติดตัวเราสองคน มาคุยกันหน่อยได้มั้ย” ในงานวิจัยของดอกเตอร์เจสันยังเสริมต่อไปอีกว่า ถ้าแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนไปเลยตั้งแต่ต้น อีกฝ่ายมักจะแสดงผลตอบรับที่ดีกลับมา และอาจนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้ในที่สุด คิดเป็นผลลัพธ์ที่จบลงตัวอย่างดีมีค่าตัวเลขมากถึง 96% และปัญหาจะจบลงภายใน 3 นาทีที่คุยกัน ย้ำอีกครั้งว่า การเริ่มต้นคุยด้วยคำถามที่คิดมาอย่างดีและเยือกเย็น บทสนทนาจะต่างจากการใส่อารมณ์ เค้นถาม และจี้อีกฝ่ายแบบหน้ามือเป็นหลังมือ การให้ความเคารพต่อกันและกันเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฝ่ายที่สร้างปัญหาขึ้นมาหรือไม่ ต้องไม่ลืมที่จะจริงใจและแสดงความรับผิดชอบกับปัญหาเสมอ ถ้ายังต้องการที่จะไปต่อ พูดถึงการเริ่มต้นประโยคแล้ว
ความท้าทายของความรักว่ากันว่าไม่ใช่แค่ตอนคบกันใหม่ ๆ แต่มันเป็นช่วงที่ผ่านพ้นช่วงเวลาโปรโมชั่นไปต่างหาก เพราะมันจะเป็นระยะที่เราจะได้รู้จักตัวตนของกันและกัน เราจะได้เห็นข้อดีและข้อเสียแบบที่ไม่ต้องมานั่งสร้างภาพกันอีกต่อไป ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่คอยชี้วัดได้เลยว่าชีวิตคู่ของเราจะมีความสุขหรือความทุกข์ ในเคสที่คุณแฮปปี้มันก็ดีไป แต่ถ้าเจอในเคสที่แย่ คุณก็มีหน้าที่ที่ต้องแก้ไขปัญหาเพื่อทำให้ความสัมพันธ์เดินต่อไปได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เหล่านี้ ทะเลาะต้องเคลียร์ การใช้ชีวิตคู่ย่อมต้องเจอเรื่องหงุดหงิดใจมากมายที่นำไปสู่การทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ และโดยมากมักจะคิดว่าสุดท้ายมันจะคลี่คลายผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จึงปล่อยปัญหาเอาไว้แบบนั้นโดยไม่จัดการอะไร แต่จริง ๆ แล้วในบางครั้งมันกลับกลายเป็นความเครียดที่สะสมแอบซ่อนอยู่ข้างหลังเพราะคุณไม่ได้จัดการเคลียร์ความรู้สึกดังกล่าวให้มันชัดเจน คุณต้องลองกลับมามองเจาะลึกเข้าไปว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นที่เป็นปมอยู่ในใจมันทำให้เรารู้สึกห่างไกลความสัมพันธ์กับคู่รักของเราหรือไม่? คุณทนมันได้จริง ๆ หรือเปล่า? มันได้ดึงเอาความรู้สึกดี ๆ ของคุณออกไปด้วยหรือไม่? หากคุณคบกันผ่านไปหลายปี แต่มักจะมีการขุดเอาปัญหาดังกล่าววนเวียนกลับมาทะเลาะกัน และต่างคนต่างไม่มีใครเปลี่ยนตัวเองซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้น ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ เราแนะนำให้คุณลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาคาราคาซังที่เคยเป็นปมทะเลาะกันบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนที่เพราะมันจะช่วยอะไรไม่ได้แน่นอน สังเกตจากคำพูด สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความสัมพันธ์ที่ไม่โอเค บางครั้งมันก็ออกมาจากคำพูดโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น “เธอแม่งทำตัวเรื่องมากจนชินแล้วล่ะ” “เดี๋ยวครั้งหน้าเธอก็คงมาสายเหมือนเดิมอีกนั่นแหละ” “คนอื่นคบกันคงไม่มีปัญหานี้เหมือนกับเราหรอกมั้ง” หากมีชุดความคิดนี้หลุดปากเราออกมาบ่อย ๆ มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าคุณไม่ได้มีความสุขกับชีวิตคู่ เพราะมันแฝงไปด้วยความรู้สึกด้านลบที่กดทับความสุขของเราเอาไว้จนต้องระบายออกมาในบทสนทนาโดยไม่รู้ตัว หากเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ควรรีบจัดการแก้ไขโดยทันทีก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลง อารมณ์ร้อนไม่ใช่เรื่องดี จริงอยู่ที่การทะเลาะกันของคู่รัก จากเรื่องเล็ก ๆ
เมื่อก่อนการเดทหลังอกหัก คงเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับใครหลายคน อาจเพราะยังมูฟออนกับรักครั้งเก่าไม่ได้ หรือ กลัวว่าความสัมพันธ์ครั้งใหม่จะลงเอยแบบเดิม จึงต้องทำใจอยู่นานกว่าความรักครั้งใหม่จะเริ่มต้นขึ้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความคิดของคนเราจะเปลี่ยนไปจากเดิม คือ คนที่เพิ่งอกหักหลายคนรู้สึกตื่นเต้นกับเดทครั้งใหม่ และพร้อมที่จะมีความรักครั้งใหม่มากขึ้น จนมีการนิยามคำว่า Oystering ขึ้นมาเป็นเทรนด์การหาคู่ที่น่าจับจาในปีนี้ Oystering ไม่ใช่พฤติกรรมการเดท แต่มัน คือ วิธีการมองโลกของคนอกหักที่มองว่าโลกเหมือนเป็นหอยนางรมที่สามารถหากินได้ตลอดเวลา โดยคำนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น หลังจากที่ Badoo แอพหาคู่ชื่อดัง ได้เปิดเผยงานวิจัยของตัวเอง ซึ่งพบว่าคนโสดที่เพิ่งเลิกกับแฟนมาจำนวนเกือบครึ่ง (46%) รู้สึกตื่นเต้นที่จะออกเดทอีกครั้ง ในขณะที่คนโสดกว่า 50% พร้อมเริ่มต้นการเดทที่จริงจังในปี 2022 เชื่อกันว่า ความคิดในการเดทหลังอกหักได้รับอิทธิพลมาจาก pop culture เช่น ภาพยนตร์ ละคร หรือ ดนตรี ซึ่งทำให้คนเห็นความสำคัญของ ‘การซ่อมแซมตัวเอง’ หลังจากสูญเสียคนรักมากขึ้น อย่างการเดทก็เป็นวิธีการซ่อมแซมตัวเองที่ดีวิธีหนึ่ง เพราะมันสร้างความสนุกสนานและเยียวยาจิตใจที่อ่อนล้าของเราได้จริง เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะเปิดเพลงอกหัก และจมปักอยู่กับความรู้สึกเศร้าสร้อย การมองหาความรักครั้งใหม่จึงเป็นวิธีเยียวยาจิตใจที่น่าสนใจในสายตาของใครหลายคน นอกจาก Oystering แล้ว ทาง Badoo ยังพูดถึงเทรนด์การเดทแบบอื่นที่น่าจับตามองในปีนี้ด้วย เช่น Untyping
หลายคนมักเชื่อว่า “ผู้หญิงเป็นเพื่อนกับผู้ชายไม่ได้” เพราะเวลาผู้ชายมีแฟน การทำตัวสนิทสนมกับเพื่อนผู้หญิง อาจทำให้แฟนเกิดอาการหึงหวงจนความสัมพันธ์ร้าวฉานได้ ดังนั้น ผู้ชายบางคนจึงยอมตัดขาดกับเพื่อนซี้ เพื่อทำให้หวานใจรู้สึกสบายใจ แต่ความเป็นจริง สุภาพบุรุษไม่จำเป็นต้องเจ็บตัวขนาดนั้นเพื่อแฟนก็ได้ เพราะความสัมพันธ์แบบเพื่อนสนิท หรือ ที่เราเรียกกันว่า Platonic Relationship ช่วยลดความเครียดและดีต่อสุขภาพจิตของเรา หากเราสูญเสียความสัมพันธ์ประเภทนี้ไป เราอาจเจอกับวิกฤตด้านสุขภาพจิตก็เป็นได้ รู้จักกับ Platonic Relationship ย้อนกลับไปในยุคกรีกโบราณ Plato นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ของโลกได้อธิบายว่า ความรักแบบไม่ต้องการเซ็กซ์ เป็นความรักขั้นสุดยอดที่จะทำให้เราใกล้ชิดกับพระเจ้า ซึ่งความรักประเภทนี้ถูกตั้งชื่อว่าเป็น Platonic Love หรือ ความรักแบบเพลโต โดย เซอร์วิลเลี่ยม เดวีแนนท์ (Sir William Davenant) ในปี 1636 จนถึงปัจจุบัน Platonic Love คือ ความรักบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง เมื่อคนสองคนมอบความรักประเภทนี้ให้แก่กัน จะเกิดเป็น ความสัมพันธ์แบบเพลโต้ (Platonic Relationship) หรือ ความสัมพันธ์แบบรักกัน ผูกพันกัน เข้าใจกันทุกเรื่อง แต่ไม่ต้องการเซ็กซ์ขึ้นมา
ในชีวิตของหลายคนคงเคยพานพบกับคนที่มีความคิดหรือความชอบคล้ายกับตัวเอง และรู้สึกว่าพวกเขามีเสน่ห์และน่าดึงดูดอย่างน่าประหลาด มีคนพยายามอธิบายเรื่องนี้ด้วยความเชื่อเรื่อง กฎแห่งแรงดึงดูด (Law of Attraction) ซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาความสุขในชีวิตได้หลายด้าน UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปเข้าใจกฎที่ว่านี้มากขึ้น กฎแห่งแรงดึงดูด คือ อะไร กฎแห่งแรงดึงดูด (Law of Attraction) เป็นหลักปรัชญาที่ได้รับการพูดถึงตั้งแต่ปี 1887 โดยมันสอนว่า ความคิดในแง่ดีจะดึงดูดผลลัพธ์ในเชิงบวก ส่วนความคิดในแง่ลบจะดึงดูดผลลัพธ์ในเชิงลบเช่นเดียวกัน ความเชื่อดังกล่าวมีฐานคิดมาจากความเชื่อที่ว่า ความคิดเป็นเหมือนพลังงานรูปแบบหนึ่งที่สามารถดึงดูดสิ่งที่เหมือนกันได้ โดยพลังงานเชิงบวก (การคิดบวก) จะสามารถดึงดูดความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ของชีวิตได้ เช่น ด้านสุขภาพ ด้านการเงิน และด้านความสัมพันธ์ Law of Attraction ได้รับความสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะหนังสือแนว Self-help ชื่อ ‘The Secret’ (2016) ที่เขียนโดย Rhonda Byrne และมีเนื้อหาอ้างอิงถึงเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูด ซึ่งได้รับความนิยมมากจนมียอดขาย 30 ล้านเล่มทั่วโลก และถูกแปลเป็นภาษาอื่นมากกว่า 50 ภาษา สำหรับ Law
หลายคนรู้สึกผูกพันกับคนที่อยู่ด้วยกันมานานและทำอะไรหลายอย่างร่วมกันมามากมาย โดยไม่ได้เผื่อใจว่าสักวันหนึ่งเขาอาจเปลี่ยนไปจากคนดีกลายเป็นคนที่ทำร้ายเราตลอดเวลา และในเวลานั้น การเดินออกจากความสัมพันธ์จะกลายเป็นเรื่องยาก เพราะอีกฝ่ายอยู่ในชีวิตของเรามานานเกินไปแล้ว เพราะเวลาทำให้ความสัมพันธ์มันแข็งแรง ต่อให้เราโดนทำร้ายมากแค่ไหนก็ตาม เราก็ยังรู้สึกสงสารหรือความหลงใหลแบบหน้ามืดตามัว จนยอมอดทนให้เขาทำร้าย และไม่เดินออกจากความสัมพันธ์เสียที หรือ พอตัดสินใจว่าจะเลิกกับเขาแล้ว พอได้ยินว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ (ซึ่งอีกฝ่ายมักพูดไม่จริง) เราก็เกิดอาการใจอ่อน และไม่มูฟออนอยู่เหมือนเดิม เราเรียกความสัมพันธ์แบบนี้ว่าเป็น Trauma Bonding ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อใจของเราเลย เพราะมันทำให้เกิดความเครียด และความทรมานทางจิตขั้นสูง ถ้าเป็นไปได้ เราควรหันหลังให้ความสัมพันธ์แบบนี้ และเดินออกมาให้เร็วที่สุด Trauma Bonding เกิดขึ้นอย่างไร ความสัมพันธ์ประเภทนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ มันอาจเกิดขึ้นเพราะเราเข้าใจเหตุผลของผู้ทำร้ายและเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา หรือ เรากลัวการถูกทำร้ายอีกในอนาคต และรู้สึกว่าการหนีออกมาไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัย จึงเลือกที่จะทำให้สิ่งที่จะหนีจากสิ่งที่ตัวเองเผชิญหน้าอยู่ โดยการมองหาข้ออ้างให้การกระทำของพวกเขาถูกต้อง และทำให้การอยู่ในความสัมพันธ์เป็นเรื่องสมเหตุสมผลมากขึ้น นอกจากนเรื่องของจิตใจแล้ว ฮอร์โมนบางตัวก็ทำให้เราเสพติดการอยู่กับคนที่ทำร้ายเราได้เหมือนกัน เช่น ‘โดปามีน’ ที่มักหลั่งออกมาหลังจากที่เราคืนดีกันแล้ว หรือ ‘ออกซิโทซิน’ ที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสคนที่ทำร้ายเรา ฮอร์โมนเหล่านี้อาจทำให้เราเสพติดการอยู่อีกฝ่าย จนไม่ยอมถอยออกมาจากความสัมพันธ์สักที สัญญาณว่าเรากำลังอยู่ใน Trauma Bonding คนที่กำลังอยู่ใน Trauma Bonding มักจะรู้สึกผูกพันหรือรักอีกฝ่ายมาก จนเชื่อว่าพฤติกรรมรุนแรงของอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่มีเหตุผล
พอรู้ว่าลูกชายหรือลูกสาวที่ตัวเองเลี้ยงมากับมือตั้งแต่เล็กจนโต จะต้องออกจากบ้านไปทำงานหรือเรียนในที่ห่างไกลการดูแล ผู้ปกครองมักรู้สึกสับสนหรือรู้สึกไม่สบายใจจากการสูญเสียสมาชิกในบ้าน และบรรยากาศรอบตัวที่เหงาลง เราเรียกอาการที่เกิดขึ้นว่าเป็น ‘Empty Nest Syndrome’ ซึ่งทำลายสุขภาพจิตของผู้นำครอบครัวได้อย่างมาก หากไม่ได้รับการดูแลที่ดี UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักวิธีรับมือกับอาการนี้ให้อยู่หมัดกัน Empty Nest Syndrome คือ อะไร Empty Nest Syndrome คือ อาการโศกเศร้าของผู้ปกครองที่เกิดขึ้นหลังจากลูกของพวกเขาได้ออกจากรังหรือบ้านของพวกเขาไป การสูญเสียสมาชิกในบ้านทำให้ผู้ปกครองต้องเจอกับการสูญเสียครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น สูญเสียหน้าที่และชีวิตประจำวันในฐานะผู้ปกครอง หรือ สูญเสียการใช้เวลาร่วมกับลูกตัวเอง เป็นต้น ส่งผลให้พวกเขาเกิดความเจ็บปวด และอาจต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ความน่ากลัวของอาการ Empty Nest คือ มันทำให้ผู้ปกครองเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและอาการติดสุรามากขึ้น เพราะความรู้สึกแย่ ๆ ที่เกิดขึ้นค่อนข้างบั่นทอนจิตใจพวกเขามากสมควร จนบางคนอาจเลือกที่จะหนีจากความเจ็บปวดโดยการใช้ของมึนเมาเป็นตัวช่วย แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันก็ช่วยลดความขัดแย้งเรื่องงานหรือครอบครัวได้เหมือนกัน เพราะคู่รักบางคู่อาจโฟกัสกับเรื่องลูกเป็นหลักมาตลอด จนเมื่อภาระเรื่องลูกหายไป พวกเขาก็สามารถกลับมาโฟกัสกับเรื่องความสัมพันธ์ได้มากขึ้น และมีชีวิตสมรสที่มีคุณภาพมากกว่าเดิม เราจะรับมือกับ Empty Nest Syndrome ได้อย่างไรบ้าง คนที่เจอกับ Empty Nest
หลายคงรู้จักกับใครสักคนที่คลั่งไคล้ดารา ศิลปิน หรือ คนดังแบบหัวปักหัวปำแบบตามติดตามชีวิตของคนดังในทุกฝีก้าวกันมาบ้าง พวกเขาอาจรักมากจนยอมควักเงินก้อนโตเพื่อทำป้ายวันเกิด หรือ ซื้อของสะสมของไอดอลคนนั้นมาประดับห้องหลายชิ้น บางคนอาจสงสัยว่าทำไมเราถึงรักคนที่ไม่สนใจใยดีเราได้ขนาดนี้ วันนี้เราจะคลายความสงสัยของทุกคนด้วยการอธิบายเรื่อง ‘Parasocial Relationship’ หรือ ความสัมพันธ์แบบกึ่งมีส่วนร่วมทางสังคม เกี่ยวกับ Parasocial Relationship “เก็บเรื่องของนางเอกที่ชื่นชอบไปฝัน” หรือ “การทำตัวเองให้ดูเท่แบบพระเอกในหนังเรื่องโปรด” ล้วนเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าเราอาจตกอยู่ในความสัมพันธ์แบบ “Parasocial Relationship” กับคนบนหน้าจอที่เราหลงใหล โดยความสัมพันธ์ประเภทนี้ได้รับการนิยามโดยสองนักจิตวิทยาทางสังคม Donald Horton และ R. Richard Wohl ตั้งแต่ปี 1956 ซึ่งเป็นปีที่พวกเขาได้ทำงานวิจัยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคนดูและบุคคลที่ปรากฎในทีวี เช่น ผู้ประกาศข่าว หรือ นักแสดงละครน้ำเน่า จนค้นพบปรากฎการณ์ที่น่าสนใจจากงานวิจัยดังกล่าว จากการวิจัย พวกเขาพบว่า ผู้ชมทีวีชาวอเมริกัน ได้เกิดความสัมพันธ์ face-to-face relationship แบบหลอก ๆ กับตัวละครในทีวีขึ้นมา หรือ พูดง่าย ๆ คือ พอพวกเขามองตัวละครในทีวีไม่ต่างจากเพื่อนหรอคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาในโลกความเป็นจริง พอพวกเขาได้เห็นชีวิตของตัวละครเหล่านี้บ่อย ๆ
ต้องมีสักครั้งในชีวิต ที่เราตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตแล้วรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในภวังค์ให้ความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังอยู่ในฝัน บางครั้งความรู้สึกนี้ก็ทำให้เราสับสนว่า “กำลังตื่น หรือ หลับอยู่กันแน่นะ” ซึ่งอาการนี้ ทางการแพทย์ เรียกว่า ความจริงวิปลาส และถ้าประสบกับมันบ่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคจิตเวชได้ ความจริงวิปลาสคืออะไร ปกติแล้ว ภาวะความจริงวิปลาส (Derealization) นับเป็นหนึ่งในอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคดิสโซสิเอทีฟ (Dissociative Disorders) เช่นเดียวกับบ ภาวะบุคลิกภาพแตกแยก (Depersonalization) ทำให้บางครั้งสองอาการนี้ก็ถูกใช้แทนกันด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองอาการไม่ได้มีความเหมือนกันซะทีเดียว แต่มีความแตกต่างกันอยู่ดังต่อไปนี้ Derealization จะเป็นอาการที่เรารู้สึกขาดการเชื่อมต่อกับความเป็นจริงหรือสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว จนเกิดอาการเช่น สิ่งที่อยู่รอบตัวดูเชื่องช้า หรือ ทุกอย่างดูพร่ามัวไปหมด เราจะรู้สึกเหมือนสิ่งที่อยู่รอบตัวไม่มีอยู่จริง เหมือนกำลังอยู่ในโลกจำลอง หรือ โลกแห่งความฝัน ไม่สามารถประมวลผลหรือทำความเข้าใจสิ่งที่อยู่รอบตัวของเราได้ จนเราเกิดความไม่คุ้นเคยกับสถานที่เราอยู่ และเกิดความสับสันระหว่างโลกแห่งความฝันและความเป็นจริง ส่วน Depersonalization คือ ภาวะที่เรารู้สึกตัดขาดจากร่างกาย อารมณ์ และความคิดของตัวเอง คนที่มีอาการนี้มักจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นภาชนะว่างเปล่า เป็นเพียงผู้ชมร่างกายตัวเอง หรือ เป็นหุ่นยนต์ที่คอยรับคำสั่งจากคนอื่น ไม่สามารถบังคับร่างกายของตัวเองได้อีกต่อไป แม้พวกเขาจะขยับแขนขยับขา หรือ รู้สึกถึงอารมณ์ของตัวเองได้ก็ตาม
ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม เวลาทำอะไร หรือ ไปเที่ยวที่ไหนก็ทำและไปกันเป็นกลุ่มอยู่เสมอ ทุกคนล้วนอยากมี ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง (sense of belonging) ของกลุ่ม ของสังคม หรือ ของสิ่งที่ยิ่งใหญ่บางอย่าง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความรู้สึกนั้นจะเริ่มเข้าถึงยากมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะโรคระบาดทำให้เราต้องอยู่บ้านกันนานขึ้น ใช้ชีวิตคนเดียวบ่อยขึ้น และสังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือ คนรอบตัว น้อยลง ปรากฎการณ์นี้อาจทำให้หลายคนรู้สึกใกล้ชิดหรือเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่มเพื่อนน้อยลงตามมาด้วย ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อชีวิตเราได้อย่างใหญ่หลวงทีเดียว ตามทฤษฎีของนักจิตวิทยา อับราฮัม มาสโลว์ มนุษย์ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (belongingness) กล่าวคือ ทุกคนต่างมองหาการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนอื่น และอยากให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวคงอยู่ในระยะยาว ถ้าเกิดว่าเราใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว โดยไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับอะไรเลย ผลเสียที่จะเกิดขึ้นนั้นอาจมากกว่าแค่ความรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว งานวิจัยจาก Harvard study ที่ใช้เวลาในการศึกษานานกว่า 80 ปี พบว่า ความสัมพันธ์ใกล้ชิด (close relationships) เป็นสิ่งสำคัญต่อความสุขของคน และการรักษาความสัมพันธ์ประเภทนี้กับ ครอบครัว เพื่อน หรือ กลุ่มสังคม จะช่วยชะลอการเสื่อมถอยของสุขภาพจิต และร่างกายของเราได้ด้วย สอดคล้องกับ งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง (2020)