การพูดคุยด้วยตัวหนังสืออย่างการ Chat มักจะเกิดปัญหาความเข้าใจกันคลาดเคลื่อนเนื่องจากในตัวหนังสือไม่มีน้ำเสียง เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนต้องเคยเจอกับเรื่องชวนหัวร้อนอย่างนี้กันมาบ้าง แต่น้ำเสียงเจ้ากรรมนั้น ใช่ว่าพอมีแล้วมันจะช่วยให้ทุกอย่างไหลลื่นไปได้ง่าย ๆ เพราะการพูดคุยกันต่อหน้าก็เกิดปัญหาชวนหัวร้อนได้ไม่แพ้กัน พอบทสนทนาคุกรุ่นทีไรเป็นต้องเหงื่อแตกกันทุกที หัวร้อนบ้าง ลนบ้าง อย่าเพิ่งสติแตก ควรหาแผนสำรองทางหนีทีไล่เตรียมไว้เสมอ เจอเรื่องให้ต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดก็ไม่ต้องกังวลไป งัดไม้เด็ดออกมาสู้แบบเซียน ๆ UNLOCKMEN แนะนำเทคนิคดี ๆ เอาไว้ใช้เวลาบทสนทนามันเริ่มไปทาง Negative คุมสถานการณ์ให้ได้ ก่อนจะมีฝ่ายไหนสติแตกขึ้นมาก่อน เพราะนั่นจะทำให้เรื่องยุ่งเหมือนหูฟังพันกันในกระเป๋า จนเลยเถิดไปมากกว่าการทะเลาะกันในบทสนทนา ร้อนนักพักเสียหน่อย หัวร้อน ควันออกหูเมื่อไหร่ รีบหยุดบทสนทนาไว้เดี๋ยวนั้น บอกไปแบบแมน ๆ เลยว่าตอนนี้กำลังเดือดปุด ๆ กันทั้งคู่ ไม่ควรจะต่อล้อต่อเถียงกันตอนนี้ พักยกกันสักหน่อย อัดบุหรี่กันสักตัวสองตัวแล้วค่อยกลับมาคุยก็ยังไม่สาย ไม่ใช่แค่ตอนที่สัญญาณของความเกรี้ยวกราดมาถึงเท่านั้น ตอนที่เริ่มหลงประเด็นกันแล้ว ก็เป็นอีกสถานการณ์ที่ควรพักครึ่งกันก่อน ห้านาที สิบนาที หรือเป็นชั่วโมงแล้วแต่จะตกลงกัน อย่ายั่วโมโห เห็นอยู่ว่าไฟลุกก็อย่าไปเติมเชื้อไฟให้มันโหมแรงขึ้น ยิ่งความสัมพันธ์มันพังจากการทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระมากเท่าไหร่ ตอนกลับไปญาติดีกันมันยิ่งกระอักกระอ่วน อย่าลืมว่าก่อนหน้าที่จะเถียงกันด้วยเรื่องชวนเสียสติเหล่านี้ คนนี้คือเพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง คนรัก
ถ้าถามว่าความสัมพันธ์ช่วงไหนของความรักที่หอมหวานที่สุด ส่วนใหญ่จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าคือช่วงเดต ช่วงทำความรู้จัก คบหาดูใจ เรียนรู้ตัวตนของอีกฝ่าย ว่าเขาน่าหลงใหลแค่ไหน และจะไปกับเราได้ดีถึงขนาด In A Relationship ได้หรือไม่ แม้ช่วงเดตจะดูเป็นช่วงหอมหวาน แต่ทุกอย่างมันไม่ได้มีด้านเดียวเสมอไป ช่วงหอมหวานอาจจะเกิดขึ้นสำหรับคนที่ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายอยู่ใน Stage เดียวกัน ไม่มีใครต้องทุ่มเทมากกว่าใคร แต่สำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจและรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังรออะไรบางอย่าง ช่วงเวลานี้คงเป็นช่วงเวลาที่ชวนอึดอัดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ว่าเราจะต้องไปต่อหรือพอแค่นี้ UNLOCKMEN ชวนมาสังเกตสัญญาณจากฝั่งสาว ๆ ว่าสิ่งเหล่านี้คือสัญญาณของความไม่พร้อม (หรือยังไม่อยากพร้อม) ที่จะเดตกับใครสักคนแบบจริงจัง พูดถึงแฟนเก่าอยู่เสมอ ไฟอะไรมันจะร้อนเท่าถ่านไฟเก่า หลายครั้งที่การพูดถึงเรื่องเก่า ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี ๆ หรือเรื่องเลวร้ายที่เคยเจอมา นั่นหมายความว่าความทรงจำเหล่านั้นไม่เคยหายไปเลย ถึงแม้จะดูเหมือนการพูดแบบบอกเล่าเก้าสิบ แต่ลองนึกดูว่า ไปนู่นมานี่ กินนู่นนี่ ก็ยังต้องฟังสาวพูดถึงหนุ่มคนเก่าของเธออยู่ตลอดว่าเคยกินร้านนี้ด้วยกัน เจอกันที่นั่นที่นี่ ทำให้มันดูเป็นเรื่องบังเอิญเดินผ่านแล้วเล่าขึ้นมา แต่ความจริงคือภาพในหัวของเธอยังคงมีเขาอยู่อย่างชัดเจนเสียจนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา ความน่าเบื่อของการเดตกับคนที่ไม่ลืมอดีต มันเหมือนเราต้องต่อสู้กับคนในใจของเธออยู่ตลอดเวลา ต้องทำให้ดีกว่าเขา เอาชนะคนนั้นของเธอให้ได้ สุดท้ายมันแทบจะไม่เหลืออะไรที่เราทำเพื่อเธอเองจริง ๆ เลย มีแต่ความอยากเอาชนะคนเก่าของเธอเท่านั้น เธอไม่ได้พยายามทำตัวให้ว่าง “แค่ทำงานก็เหนื่อยแล้ว” “เอาไว้ว่างก่อนนะ” ฟังดูแล้ว ด้วยความเป็นผู้ชายเต็มตัวครับ
เวลาที่ผ่านไปปีแล้วปีเล่า ตั้งแต่วัยหนุ่มเลือดร้อน เราอาจจะมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ พอแยกย้ายกันไปทำงาน อาจจะหล่นหายจนเหลือคนที่เจอหน้าประจำอยู่ไม่กี่คน เปลี่ยนที่ทำงานไปก็ต้องเปลี่ยนเพื่อนกลุ่มใหม่ไปด้วย กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เพื่อนหล่นหายไประหว่างทางไม่รู้เท่าไหร่ นั่นทำให้เราพอจะรู้สึกตัวแล้วว่ายิ่งอายุมากขึ้น เรายิ่งมีเพื่อนน้อยลง แถมการสานสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ ๆ ยิ่งเป็นไปได้ยากมากขึ้น มาดูเหตุผลของเรื่องเหล่านี้กันว่าทำไมยิ่งแก่แต่เพื่อนกลับน้อยลง เพื่อที่เจอสาเหตุแล้วจะได้หาทางแก้กันได้ทัน ทุกคนต่างทุ่มเทเวลาให้กับครอบครัว สุดท้ายแล้วการมีครอบครัวคือฝั่งฝันของชีวิตคนเรา เราต่างทุ่มเทเวลา พัฒนาตัวเอง มีหน้าที่การงานที่ดี วางรากฐานชีวิตให้พร้อม เมื่อมีถึงเวลาที่ต้องมีครอบครัวทุกอย่างจะได้ออกมาสมบูรณ์แบบ และเป็นครอบครัวที่ไม่มีจุดบกพร่อง เรื่องของเรื่องคือจะชี้ให้เห็นว่าทุกคนต่างก็ทุ่มเทกับครอบครัวของตัวเองกันทั้งนั้น เพราะพวกเขาคือคนที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต จนบางทีหลายคนอาจทุ่มเทเวลากับครอบครัวมากจนไม่เหลือเวลาให้กับความสัมพันธ์อื่นอย่างเพื่อน เพื่อนร่วมงาน อะไรทำนองนั้นเลย ยิ่งคนไหนที่มีครอบครัวที่สมบูรณ์ซะจนไม่จำเป็นต้องมีอย่างอื่นมาเติมเต็มแล้ว ทำงานเสร็จก็คงอยากกลับบ้านไปพักผ่อน ไปกินข้าวฝีมือแม่บ้านคนสวยที่รออยู่ Cuddle กันให้หายเหนื่อย หรือไปทำหน้าที่สามีที่ดี พ่อที่ดี เพราะนั่นก็คืออีกหน้าที่หลังเลิกงานเหมือนกัน เท่านี้ชีวิตก็แทบจะไม่เหลือเวลาให้อย่างอื่นแล้ว ความสัมพันธ์ของเพื่อนจึงอาจถูกลดบทบาทลงไปบ้างนั่นเอง More than one thing to make friends ในตอนที่อายุยังน้อย เรามีเพื่อนเยอะแยะไปหมด เพื่อนสนิท เพื่อนห่าง ๆ เพื่อนของเพื่อน เดินเข้าร้านเหล้าทีทักกันตั้งแต่โต๊ะหน้าร้านไปยันโต๊มุมมืด หรือมีเพื่อนที่เล่นดนตรีเหมือนกัน เล่นบอลเหมือนกัน แค่คอเดียวกันก็พร้อมจะกอดคอเป็นเพื่อนกันได้แล้ว
เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าความรักในแต่ละครั้งมันจะยั่งยืนแค่ไหน เพราะความรักมันไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวของการอยู่ร่วมกัน ในทุกครั้งที่ชีวิตก้าวไปข้างหน้าความรักอาจจะไม่ได้ก้าวตามเราไปด้วย ต้องอาศัยความเข้าใจ ประคับประคองกันและกันให้ได้เป็น “The Right One” ที่อยู่ข้างกันไปจนวันสุดท้าย มาดูกันว่าคู่รักที่มีคุณสมบัติแบบไหนที่มีความสัมพันธ์ที่แข็งแรงมากพอที่จะได้เดินข้างกันไปจนวันสุดท้าย คู่ที่รู้จักอภัยให้กัน คู่รักหลาย ๆ คู่อาจมีวิธีแสดงความรักคล้าย ๆ กัน กินข้าว ดูหนัง Cuddle กันในวันที่เหนื่อยล้า แต่การแก้ปัญหาเมื่อทะเลาะกัน จุดนี้หลายคู่อาจจะมีทางแก้ที่ไม่เหมือนกัน ทุกครั้งที่ทะเลาะกันสิ่งสำคัญคือการกลับมาพูดคุยกันอีกครั้งว่ามันจะสนิทใจได้มากแค่ไหน ซึ่งมันขึ้นอยู่กับการให้อภัยด้วย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าความผิดนั้นจะมากหรือน้อยหรือใครเป็นฝ่ายผิด แต่การให้อภัยคือการเลือกที่จะหันหน้าเข้ามาคุยกัน มากกว่าการปล่อยเวลาไปกับการต่อสู้กัน โดยที่สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายคือคนที่เรารักนั่นแหละ คู่รักที่ยังคงสนิทสมใกล้ชิดกันเสมอ คบกันมาก็นาน อยู่ด้วยกันมาสักพัก อาจจะทำให้การอยู่ด้วยกันมันกลายเป็นความเคยชิน อะไรที่เคยหวือหวาตื่นเต้นในตอนแรกอาจจะถูกหลงลืมไป จนเหมือนกับว่าเราห่างกันออกไปเรื่อย ๆ อย่าปล่อยให้ความรักของเราเป็นแบบนั้นเลย อย่าลืมเติมความรักด้วยการอยู่ใกล้ชิดกันให้มากเหมือนเดิม เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องลงทุนด้วยของขวัญแพง ๆ หรือความยากอะไรเลย แค่ยังทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ามีอีกคนอยู่ข้าง ๆ จริง ๆ เพราะการใช้ชีวิตคู่มันคือการอยู่เป็นคู่ ไม่ได้หมายถึงให้อยู่ตัวติดตลอดเวลา อยู่ในสายตาตลอด แต่มันคือการซัพพอร์ตอีกฝ่าย ไม่ให้รู้สึกขาดอะไรไป คู่รักที่ไว้วางใจกันและกัน ทุกครั้งที่เช็กโทรศัพท์ รายการโทรเข้า-ออก ดูแชทที่น่าสงสัย
ภาพยนตร์ Begin Again เคยบอกไว้ว่า เราสามารถดูได้ว่าเขาเป็นคนยังไงได้จาก Playlist ที่เขาฟัง นั่นคงเป็นเพราะเรามักจะมองหาคนที่เข้าขาถูกคอกันบนจุดร่วมอะไรสักอย่าง อย่างเรื่องเพลงที่ฟังเหมือนกันก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย แล้วเพลงประเภทไหนใน Playlist กันล่ะ ถึงจะถูกใจสาว ดึงดูดเพศตรงข้ามให้เข้ามาสปาร์คกัน ได้สานสัมพันธ์ต่อ UNLOCKMEN จะพามาดูกันว่าหนุ่มคอเพลงแนวไหนที่มีโอกาสได้คู่เดตมากกว่าคนอื่น มันไม่แปลกเท่าไหร่นักหรอกที่คนรสนิยมเดียวกันจะดึงดูดเข้าหากัน คนเดียวกันก็มักจะคุยกันไหลลื่นเป็นสายน้ำอยู่แล้ว และเชื่อเถอะว่าเรามักจะแอบบวกคะแนนให้อยู่ในใจสำหรับคนที่รสนิยมใกล้เคียงกับเรา แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่ามีคนฟังเพลงประเภทไหนที่จะมาถูกใจเราบ้าง ตอนนี้ขอแจ้งข่าวดีกับหนุ่มที่ฟังเพลงคันทรี่ และสาวที่ฟังเพลงร็อกแอนด์โรล มีโอกาสได้คู่เดตมากกว่าคนที่ฟังแนวเพลงประเภทอื่น ผู้ให้บริการ Online Dating ที่มีโปรไฟล์ของหนุ่มสาวโสดกว่า 9 ล้านคน เลือกที่จะให้ใส่ประเภทของดนตรีที่ให้ความสนใจลงไปในโปรไฟล์ด้วย จากการศึกษาพบว่า ผู้ชายที่ฟังเพลงคันทรี่ และระบุมันลงในโปรไฟล์หาคู่เนี่ย ได้รับความสนใจจากคู่เดตมากถึง 32% ส่วนสาว ๆ ที่ฟังเพลงร็อกอย่าง Led Zeppelin, Queen และ The Rolling Stones ได้รับความสนใจล้นหลามไปถึง 68% มาดูกันที่หนุ่มคันทรี่ของเรากันบ้าง นอกจากจะได้รับความสนใจมากกว่าแล้ว ในบรรดาสาว ๆ ที่ให้ความสนใจ พวกเขายังมีโอกาส Match
แม้ว่าเซ็กซ์จะเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนให้มนุษย์เราดำรงเผ่าพันธุ์ตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต แต่เซ็กซ์ดูจะเป็นกิจกรรมที่ให้เราได้เสพความสุขกับมันเสียมากกว่า เมื่อเราเริ่มที่จะใส่ลูกเล่นเข้าไปในเซ็กซ์ให้มันหฤหรรษ์ยิ่งขึ้น แม้ว่าแต่ละคนจะมีรสนิยมเกี่ยวกับเซ็กซ์แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ทุกหวังจากเซ็กซ์เหมือนกันคือความสุขที่ถึงฝั่งฝันทั้งระหว่างทางและตอนจบ จากประสบการณ์เสพสุขในเซ็กซ์มาเนิ่นนานของมนุษย์ จนเผ่าพันธุ์เพศชายได้มีวลีเด็ดอย่าง “The Crazy Ones Are Better In Bed” ไว้เป็นเรื่องโจ๊กบนความจริงกันว่าผู้หญิงที่ดูเพี้ยน ๆ นี่แหละ ถึงเวลาแล้วเด็ดจริง แต่นั่นเป็นเพียงวลีบอกเล่าปากต่อปากหรือว่าวิทยาศาสตร์ยืนยันได้กันแน่ ? คำตอบจาก UNLOCKMEN คือ วิทยาศาสตร์ยืนยันเรื่องนี้ได้จริง ๆ มาดูกันว่าคำตอบของมันคืออะไรกันแน่ จากการศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่าง Journal Of Sex ของ Julia Velten และทีมพบความเชื่อมโยงระหว่างนิสัยส่วนตัวและความพึงพอใจบนเตียงว่า “ผู้ชายที่มีคู่นอนเป็นสาวอารมณ์ไม่คงที่ กลับมีความพึงพอใจในเซ็กซ์อย่างมาก” หนุ่มคนไหนมีแฟนขี้เหวี่ยง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอาจจะยิ้มกว้างเมื่อได้ยินแบบนี้ ถ้ามองในเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์นั่นคงเป็นเพราะคนที่มีอารมณ์ไม่คงที่ มักจะมีปัญหาทางอรมณ์อื่น ๆ ด้วย อย่างรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่ค่อยนับถือตัวเอง หรือรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเท่าที่ควร นั่นเลยทำให้สาวที่มีนิสัยแบบนี้มักจะไม่ค่อยออกคำสั่งอย่างที่ตัวเองต้องการ เพราะมักจะเก็บงำความคิดและความต้องการไว้ที่ตัวเองคนเดียว และปล่อยมันออกมาเมื่อระเบิดลงนั่นเอง พอไม่เอ่ยปากสั่งแบบนี้แล้วก็เข้าทางหนุ่ม ๆ ที่จะได้บรรเลงเพลงรักตามสไตล์ของตัวเองแบบเต็มที่ ทำหน้าที่ฝ่ายรุกได้แบบเต็มข้อนั่นเอง พอฝ่ายชายได้คุมเกมเองก็ถือว่าเข้าทางเลยล่ะ เพราะเท่ากับว่าทุกอย่างมันจะเป็นไปตามความต้องการของฝ่ายชาย ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายรุกก็ไม่สำคัญ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหญิงอยากทำตามความพอใจของฝ่ายชายมากกว่า
บางคนอาจคิดว่าตัวเองเทิร์นโปรแล้วในเรื่องความเข้าอกเข้าใจหญิงสาว มาไม้ไหนรับมือได้หมด แต่อย่าลืมว่าทุกการแสดงออกของเธอ มันไม่ได้หมายความแบบเดียวกับสิ่งที่อยู่ข้างในใจหรือความคิดของเธอ บอกใช่ ไม่ได้แปลว่ามันจะใช่ บอกไม่ ไม่ได้แปลว่าปฏิเสธจริง ๆ ถ้าคุณคือหนึ่งในมนุษย์เพศชายที่สกิลเข้าใจผู้หญิงเป็นศูนย์ UNLOCKMEN ขอชวนมาทำความเข้าใจกันแบบง่าย ๆ ไม่ให้ไก่ตื่น จากสัญญาณเหล่านี้ ที่บอกคุณได้ว่า แฟนคุณขี้งอนมากกว่าที่เห็น รู้ให้ทันทุกความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำว่า “ไม่เป็นอะไร” ของสาว ๆ จะได้รับมือกันแบบทันท่วงที เธอเปิดเผยความรู้สึกของเธออยู่เสมอ เปิดเผยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการบอกตรง ๆ ว่าไม่พอใจเรื่องอะไร เพราะอะไร แต่หมายถึงการแสดงออกว่าไม่พอใจ น้อยใจ โกรธ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผู้ชายอย่างเรารู้ว่าเธอกำลังอารมณ์บ่จอย เพราะผู้ชายอย่างเราอาจจะไม่เก่งเรื่องการสังเกตอารมณ์อีกฝ่ายสักเท่าไหร่ หากแสดงออกเลเวลแรกแล้วเรายังไม่รู้ตัว เธอก็จะแสดงออกมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะรู้นั่นแหละ นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะบอกว่าเกิดอะไรขึ้น เบื้องต้นเธอต้องการให้เรารับรู้ถึงความขุ่นมัวในอารมณ์ของเธอก่อนเป็นอันดับแรก อ่อนไหวกับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน เสี้ยววินาทีของคำพูด การกระทำจากคุณ สามารถกลายเป็นประเด็นใหญ่โตได้ถ้าหากมันไปสะดุดเธอเข้า เธอจะค่อย ๆ ประมวลผลและก่อมวลของความไม่พอใจอยู่ลึก ๆ และก็เก็บมันมาเป็นเรื่องราวที่ต้องถกเถียงกันต่อไป เราก็ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า แต่ละคนมีเรื่องอ่อนไหวที่ไม่เหมือนกัน เราอาจอ่อนไหวกับการกระทำ เธออาจอ่อนไหวกับคำพูด สิ่งสำคัญคือทั้งสองฝ่ายต้องรู้เขารู้เรา และระมัดระวังสิ่งที่จะกระทบความรู้สึกอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าพอตัวเราเองไม่รู้สึกอ่อนไหว
ความสัมพันธ์ของคู่รักเมื่อมันจบลง ปัญหามันจะไม่ได้หยุดอยู่แค่ความเสียใจที่ต้องเสียอีกฝ่าย หรือเสียความรักไป แต่มันยังมีปัญหาอีกมากมายที่ตั้งด่านรอเราอยู่ข้างหน้า หนึ่งในนั้นคือ “เราควรเป็นเพื่อนกับแฟนเก่ามั้ย ?” บางคนแค่อ่านก็จุกแล้ว เพราะมันคือปัญหาโลกแตกที่เราไม่อาจแก้ไขมันได้โดยมาตรฐานเดียวกัน ลองนับแค่ตัวเราเอง ลองมองย้อนกลับไปถึงความรักที่ผ่านมา บางคนเรายินดีที่จะเป็นเพื่อนแบบสนิทใจ ยินดีช่วยเหลือ ยินดีพูดคุยให้คำปรึกษา แต่กลับบางคน แค่พูดถึงเรายังไม่อยากเอ่ยชื่อออกมาด้วยซ้ำ นั่นแหละทำให้เราสับสนว่าจริง ๆ แล้วพอย้ายไปอยู่ในสถานะ “แฟนเก่า” แล้ว เราจำเป็นจะต้องเป็นเพื่อนกันอยู่อีกมั้ย ถ้ายังอยากเป็น เราต้องทำตัวยังไง มันมีเส้นบาง ๆ อยู่แค่ไหน คิดเองไปก็ปวดหัว หนักใจไม่พอยังหนักสมองอีก UNLOCKMEN อยากให้ฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอย่าง Rachel Sussman นักวิตวิทยาจาก New York จะมาแนะนำสำหรับคนที่ยังอยากเก็บความสัมพันธ์แบบเพื่อนจริง ๆ ไว้ แต่เขาบอกดักคอเราไว้แล้วว่าอาจทำไม่ได้ทุกคน เพราะมันขึ้นอยู่กับท่าทีของทั้งสองฝ่ายอีกด้วย เอาเป็นว่ายังไงก็ลองดูไว้เป็นไกด์ให้ตัวเอง ในวันที่หัวใจมันไม่แข็งแรงเอาซะเลย จะเพื่อนหรือฐานะอะไรก็ไม่เป็นทั้งนั้น! เมื่อความสัมพันธ์จบลง การเอ่ยปากทำนองว่าไม่มีอะไรจะคุยแล้ว มันเป็นมลพิษทางอารมณ์และความรู้สึกต่อการเป็นเพื่อนกันมาก ๆ แน่นอนว่า พออยู่ในช่วงที่ยังทำใจไม่ได้ อาการหัวเสียมันจะโผล่ถ้ายังอยากให้ความสัมพันธ์มันเป็นปกติ ต้องคิดแล้วคิดอีกเลยล่ะ จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 200 คน
ปัญหาโลกแตกของความสัมพันธ์ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องบุคคลที่สาม ที่หลายครั้งเป็นเหมือนปัจจัยภายนอกที่เราไม่อาจควบคุมได้ แต่หลายครั้ง มันคือปัจจัยที่อีกคนดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมือของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นมือที่สามที่มาในสารพัดสถานะ คนเคยคุย เพื่อนมัธยม เพื่อนที่ทำงาน และน่าปวดหัวจี๊ดที่สุดคงจะเป็น แฟนเก่า นั่นเป็นปัญหาที่แก้ตกไม่ตก เพราะคงไม่มีใครอยากอยู่ใต้เงาของใครไปตลอด หากคุณเกิดสะกิดใจกับท่าทีของอีกฝ่ายขึ้นมา UNLOCKMEN จะพามาดู 10 สัญญาณบ่งบอกว่าแฟนของคุณ ยังไม่ลืมคนเก่าของเธอ มักจะบอกบ่อย ๆ ว่าเธอทำนู่นทำให้แฟนเก่า เธอมักจะบอกเล่าเสมอว่าเธอทำหน้าที่แฟนได้ดีแค่ไหน ด้วยการพูดถึงสิ่งที่เธอเคยทำให้คนเก่าของเธอ ที่สำคัญคือบอกโดยที่เราไม่ได้ถามก่อน และไม่อยากรู้นี่แหละ เรียนรู้กันจากการทะเลาะ ปรับความเข้าใจกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้นแหละโว้ย! ส่วนมากมักจะมาในรูปแบบของชีวิตประจำวันที่พวกเขามักเคยทำด้วยกันในสมัยก่อน ว่าเขาเคยมีคืนวันอันหวานชื่นเพราะเธอมักจะทำนู่นนี่ ยื่นความช่วยเหลือให้เขาเสมอ บางครั้งเธออาจจะอยากตั้งใจโชว์ความทุ่มเทของเธอในฐานะของคนรักที่ดี แต่การพูดถึงแฟนเก่า มันไม่ใช่อะไรที่ฟังลื่นหูนัก ไม่เรียกคนนั้นด้วยชื่อ แต่เรียกด้วยสถานะ ในกรณีที่เป็นต้องพูดถึงคนนั้นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเพราะการเล่าเรื่อง เป็นเพื่อนกัน หรืออะไรก็แล้วแต่ ตามปกติแล้วถ้าเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ก็คงจะใช้สรรพนามที่เป็นชื่อของคนนั้นใช่มั้ย ? เหมือนกับเพื่อนคนอื่น ๆ ของเธอ แต่ถ้าหากเธอเรียกคนนั้นด้วยสรรพนามที่บ่งบอกถึงสถานะอย่าง “แฟนเก่า” นั่นแหละ ระวังเอาไว้เลย เหตุผลหลัก ๆ คือ เพราะเธอไม่กล้าเอ่ยชื่อของเขาตรง
ไม่รู้ใครเป็นคนต้นคิดว่า “ผู้หญิงงี่เง่าเท่ากับผู้หญิงน่ารัก” เพราะนี่มันไม่ใช่ความจริงหนึ่งเดียวของจักรวาลที่ผู้ชายอย่างเราต้องยอมรับหรือเอาแต่คิดว่าที่เธอวอแวใส่เรานั้นเป็นเพราะเธอรักเรามาก ความรักมันไม่จำเป็นต้องทำร้ายกัน ทะเลาะกันเล็ก ๆ น้อย ๆ พอทำความเข้าใจได้ แต่ถ้าเธอทำ 5 สิ่งนี้ใส่คุณเมื่อไหร่ UNLOCKMEN ขอตะโกนบอกว่า “หนีไปปป!” เนื่องจากมันคือสัญญาณว่าคุณกำลังตกอยู่ใน Toxic Relationship หรือความสัมพันธ์ที่เป็นพิษจนถึงขั้นเป็นภัยต่อสุขภาพจิตใจเลยทีเดียว “หนูเป็นคนง่าย ๆ อะไรก็ได้ค่ะ” (แต่ถ้าเราเลือกผิดกลับโดนเหวี่ยงถึงตาย!) “อะไรก็ได้ค่ะ” สาวคนไหนพูดวลีนี้ติดปาก เราได้ยินแรก ๆ ก็รู้สึกหลงใหลเพราะเธอช่างดูเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่เรื่องมากเสียจริง ๆ ถ้าเธอพูดว่าอะไรก็ได้ แล้วเราเลือกอะไรก็ได้ให้เธอไป แล้วเธอก็โอเค ก็แฮปปี้จริง ๆ มันไม่มีปัญหาเลย คบต่อไป คุณได้สาวเรียบง่ายอย่างที่ใจหวังแล้ว ดีใจด้วย! แต่มันจะมีมนุษย์แฟนประเภทหนึ่งที่ปากบอกว่าอะไรก็ได้ แต่พอเราเสนออะไรไป หรือเลือกอะไรผิดแผกแปลกไปจากที่เธอจินตนาการเอาไว้ แล้วเธอก็เหวี่ยงบ้านแตก อันนี้ UNLOCKMEN บอกเลยว่ามันคือสัญญาณอันตราย เพราะเธอกำลังคาดหวังว่าเราจะต้องรู้ใจเธอและเดาใจเธอออกทุกอย่าง ยิ่งเราเลือกอะไรผิดแล้วเธอดุด่าเหมือนเราไปฆ่าคนตายมาให้รีบหนีไปให้ไกลนี่เป็นสัญญาณว่าเธอกำลังบงการความสัมพันธ์แบบเบ็ดเสร็จ เพราะแทนที่จะคุยกันว่าเธอต้องการอะไร เราต้องการอะไร แต่ดันมาโยนภาระหน้าที่ให้เราเลือก แถมไม่พอใจในผลการเลือกนั้นแล้วสร้างมลภาวะทางใจให้เราอีก