ข้ออ้างหรือหนทางเยียวยา ? “ห่างกันสักพัก” ควรทำตอนไหนและตอนไหนที่ไม่ควร

การเว้นช่องว่างเมื่อรักจางจนอยู่ต่อไม่ไหวด้วยการแยกมุม รอคุยตอนใจเย็นหรือเว้นระยะเพื่อเรื่องใหญ่กว่านั้นด้วยคำว่าห่างกันสักพัก มันยังหมิ่นเหม่อยู่ตรงกลางระหว่างทางออกที่ให้เราได้ไปทบทวนตัวเอง หรือการหนีความจริงไปทั้งที่เรื่องยังค้างคา ช่างเป็นไดเล็มม่าของความสัมพันธ์ ที่หนุ่ม ๆ อย่างเราก็เป็นอันต้องปวดหัวทุกครั้ง UNLCOKMEN รู้ดีว่าปัญหาของความรักยังคงเป็นเหมือนปริศนาที่เราไม่อาจมีสูตรสำเร็จตายตัวได้ เราเลยอยากเสนอหนทางคร่าว ๆ เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่าสถานการณ์แบบไหนที่ควรห่างกันสักพัก หรือสถานการณ์ไหนที่ยังไม่ควรใช้วิธีนี้

เมื่อไหร่ที่ควรห่างกันสักพัก

ทะเลาะกันอย่างต่อเนื่องและไม่มีท่าทีจะหยุดลงได้

หลายครั้งที่การทะเลาะกันมันไม่อาจจบได้ในวันเดียว เป็นเหมือนปัญหาเรื้อรังที่ยังคงมีเรื่องอื่นเข้ามาแทรกให้เราต้องเบี่ยงประเด็น ไขว้เขว กันอยู่เรื่อย กว่าจะเคลียร์เรื่องยิบย่อยจบ กว่าจะได้เคลียร์เรื่องต้นเหตุจริง ๆ ก็กินเวลานานเกินกว่าจะเรียกว่ามันเป็นการทะเลาะกันธรรมดา บางครั้งที่จบเรื่องนี้ไปแล้ว ก็ยังมีเรื่องอื่นผุดมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เว้นว่างจากการทะเลาะกันและอีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีที่อยากจะยุติเรื่องปวดหัวเหล่านี้ลง มันอาจจะถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองฝ่ายต้องแยกมุมกันอย่างจริงจัง

ยังไม่มั่นใจเรื่องการใช้อนาคตร่วมกัน

ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายที่ไม่มั่นใจ แต่ถ้าหากมันเห็นปัญหาแล้วว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยากหยุดหรือยังไม่อยากมีความสัมพันธ์ที่จริงจังถึงขั้นมองอนาคต อาจจะเป็นเรื่องการแต่งงาน การมีลูก การมีครอบครัว ไม่ใช่เรื่องของความรักที่ไม่เท่ากัน แต่การวางแผนต่างหากที่มันต่างกัน ปัญหานี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างเปราะบางมาก ๆ เพราะบางครั้งความรักที่มีให้มันไม่ได้น้อยกว่ากัน แต่มันเป็นเรื่องของความเข้ากัน การวางแผน ความมุ่งมั่นของแต่ละคนมากกว่า ซึ่งถ้าหากทั้งสองฝ่ายมีรักเท่ากัน แต่เรื่องแผนอนาคตไม่เหมือนกัน ก็เป็นอีกเหตุผลที่มากพอให้ทั้งคู่ลองกลับไปทบทวนตัวเองกันดี ๆ ว่าอยากไปต่อหรือพอแล้ว เรื่องนี้ยังพอมีทางแก้ไขยังไงได้บ้าง และทั้งคู่ได้ลองถึงที่สุดหรือยัง

เมื่อมีฝ่ายหนึ่งนอกใจ 

ความหอมหวานของสัมผัสแรกชวนให้เราตื่นเต้นเสมอ มันเลยทำให้เราไม่ตื่นเต้นกับคนที่อยู่ข้างเรามานาน และมีใจเต้นแรงบ้างในวันที่เจอสาวในเสป็ก นั่นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบหรือที่เรามักเรียกว่าอาหารตาเท่านั้น แต่บางครั้ง มันไม่ได้หยุดแค่นั้น มันมีการสานสัมพันธ์กันต่อไม่ว่าจะในรูปแบบใด หรือระยะเวลาแค่ไหน แต่การนอกใจมันก็คือการทรยศต่อความรัก ความไว้ใจ ที่อีกฝ่ายมีให้เรา ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายนอกใจก็ตาม หากเกิดปัญหานี้ขึ้น การห่างกันจึงไม่ใช่การห่างเพื่อทบทวนอะไร แต่เพื่อตัดสินใจว่าเขาควรได้โอกาสอีกครั้งหรือควรปล่อยกันและกันไปมีชีวิตของตัวเอง

เข้าใกล้คำว่า “หมดรักแล้ว”

อยู่กันมานานความหวานก็จางไปตามกาลเวลา อาจเพราะการเจอหน้ากันทุกวัน มันทำให้เรานิ่งนอนใจว่ายังไงเราก็จะมีเขาอยู่ข้าง ๆ เสมอ จนเราอาจจะเลยหน้าที่บางอย่าง หรือละเลยการใส่ใจความรู้สึกของอีกฝ่ายไป จนทำให้ต่างฝ่ายต่างเหี่ยวเฉา เฉาทั้งคนทั้งความรัก กลายเป็นว่าทั้งสองคนเดินเข้าใกล้คำว่าหมดรักเข้าไปทุกที ลองขยับออกมาให้พื้นที่อีกฝ่ายได้มีเวลาของตัวเองมากขึ้น ด้วยการห่างกันสักพัก แต่เป็นเหมือนการเว้นจากการเจอหน้า การใช้ชีวิตด้วยกัน เว้นระยะให้เกิดความคิดถึง ในช่วงเวลาที่ได้อยู่คนเดียว อาจจะทำให้เรารู้ก็ได้ว่าคนที่อยู่ข้างเรามาตลอดมีความหมายแค่ไหน

เมื่อไหร่ที่ไม่ควรใช้คำว่าห่าง

ข้ออ้างเพื่อเอาชนะ

ต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง ทะเลาะกันยังไงก็ไม่ลงตัว แต่อย่าได้คิดเอาไม้เด็ดอย่าง “ห่างกันสักพัก” มาทำร้ายอีกฝ่าย เพื่อให้อีกฝ่ายยอมจำนนเป็นคนผิดและรั้งไว้ไม่ให้เราไปเด็ดขาด อย่างแรกเลย นั่นเพราะเราไม่มีสติมากพอที่จะเคลียร์ทุกอย่างให้มันจบได้ด้วยดี อีกข้อคือมันอาจจะใช้ได้ในครั้งแรก หรือสองครั้งแรก แต่ครั้งต่อ ๆ ไปเมื่ออีกฝ่ายรู้ว่ามันจะลงเอยยังไง เขาอาจจะเหนื่อยเกินไปที่จะยื่นมือมารั้งเราไว้เหมือนครั้งก่อนก็ได้

ข้ออ้างเพื่อไปหาคนอื่น

เมื่อความรักไม่ใช่เรื่องของคนสองคนอีกต่อไป บุคคลที่สามเข้ามาเป็นตัวละครลับที่มีคุณรู้อยู่ฝ่ายเดียว แล้วคุณไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรในการตีตัวออกห่าง เพราะมีอีกคนรอเราอยู่ เลยเลือกห่างกันสักพักนี่แหละ แล้วก็ Fade ตัวเองออกมาแบบเนียน ๆ ไม่โดนจับได้ ไม่คบซ้อน ช่างเป็นข้ออ้างที่เห็นแก่ตัวเอามาก ๆ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะจับได้หรือไม่แต่มีเรานี่แหละที่รู้เรื่องราวอยู่แก่ใจตั้งแต่ต้น มันอาจทำให้เราเสียนิสัยและทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนไม่อาจหยุดที่ใครได้เลย

ถ้าปกติเคลียร์กันได้แล้วจะห่างกันไปทำไม ?

เรื่องนี้เป็น Case By Case เอามาก ๆ เราอาจให้คำปรึกษาเพื่อนจากประสบการณ์ของเราได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเพื่อนจะทำตาม เพราะแต่ละคนมีเงื่อนไขแตกต่างกัน ในกรณีที่ปกติแล้วหากมีปัญหาคุณมักจะเลือกการเคลียร์กันให้มันจบในตอนนั้น หรือการพูดคุยเปิดอกกันมันได้ผลมาเสมอ เพียงแค่ครั้งนี้คุณเหนื่อยที่จะต้องพูดเรื่องเดิม หรือเหนื่อยที่จะต้องหาทางออกให้ปัญหาสุดยุ่งเหยิง ไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องรีบห่างกัน   ในเมื่อมีการแก้ปัญหาที่ดีอย่างการเปิดอกคุยอยู่แล้ว การห่างกันมันไม่อาจช่วยอะไรได้หรอก สุดท้ายยังไงก็ต้องกลับมาเคลียร์กันอยู่ดี เพียงแค่ยืดระยะเวลาไปเท่านั้นเอง

สุดท้ายแล้วเราไม่อาจตัดสินแทนใครได้ว่าปัญหาแบบนี้ควรแก้ยังไง ความสัมพันธ์แบบนี้ต้องจบลงหรือเดินไปทางไหน เพราะแต่ละคนต่างมีเงื่อนไขชีวิตที่แตกต่างกันไป ลองใช้คำแนะนำของเราเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา เป็นเหมือนคู่มือที่อาจไม่ใช่ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้เราพอมองเห็นทางไปต่อได้บ้าง

SOURCE