ความท้าทายของความรักว่ากันว่าไม่ใช่แค่ตอนคบกันใหม่ ๆ แต่มันเป็นช่วงที่ผ่านพ้นช่วงเวลาโปรโมชั่นไปต่างหาก เพราะมันจะเป็นระยะที่เราจะได้รู้จักตัวตนของกันและกัน เราจะได้เห็นข้อดีและข้อเสียแบบที่ไม่ต้องมานั่งสร้างภาพกันอีกต่อไป ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่คอยชี้วัดได้เลยว่าชีวิตคู่ของเราจะมีความสุขหรือความทุกข์ ในเคสที่คุณแฮปปี้มันก็ดีไป แต่ถ้าเจอในเคสที่แย่ คุณก็มีหน้าที่ที่ต้องแก้ไขปัญหาเพื่อทำให้ความสัมพันธ์เดินต่อไปได้ด้วยวิธีต่าง ๆ เหล่านี้ ทะเลาะต้องเคลียร์ การใช้ชีวิตคู่ย่อมต้องเจอเรื่องหงุดหงิดใจมากมายที่นำไปสู่การทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ และโดยมากมักจะคิดว่าสุดท้ายมันจะคลี่คลายผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จึงปล่อยปัญหาเอาไว้แบบนั้นโดยไม่จัดการอะไร แต่จริง ๆ แล้วในบางครั้งมันกลับกลายเป็นความเครียดที่สะสมแอบซ่อนอยู่ข้างหลังเพราะคุณไม่ได้จัดการเคลียร์ความรู้สึกดังกล่าวให้มันชัดเจน คุณต้องลองกลับมามองเจาะลึกเข้าไปว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นที่เป็นปมอยู่ในใจมันทำให้เรารู้สึกห่างไกลความสัมพันธ์กับคู่รักของเราหรือไม่? คุณทนมันได้จริง ๆ หรือเปล่า? มันได้ดึงเอาความรู้สึกดี ๆ ของคุณออกไปด้วยหรือไม่? หากคุณคบกันผ่านไปหลายปี แต่มักจะมีการขุดเอาปัญหาดังกล่าววนเวียนกลับมาทะเลาะกัน และต่างคนต่างไม่มีใครเปลี่ยนตัวเองซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้น ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ เราแนะนำให้คุณลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาคาราคาซังที่เคยเป็นปมทะเลาะกันบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนที่เพราะมันจะช่วยอะไรไม่ได้แน่นอน สังเกตจากคำพูด สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความสัมพันธ์ที่ไม่โอเค บางครั้งมันก็ออกมาจากคำพูดโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น “เธอแม่งทำตัวเรื่องมากจนชินแล้วล่ะ” “เดี๋ยวครั้งหน้าเธอก็คงมาสายเหมือนเดิมอีกนั่นแหละ” “คนอื่นคบกันคงไม่มีปัญหานี้เหมือนกับเราหรอกมั้ง” หากมีชุดความคิดนี้หลุดปากเราออกมาบ่อย ๆ มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าคุณไม่ได้มีความสุขกับชีวิตคู่ เพราะมันแฝงไปด้วยความรู้สึกด้านลบที่กดทับความสุขของเราเอาไว้จนต้องระบายออกมาในบทสนทนาโดยไม่รู้ตัว หากเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ควรรีบจัดการแก้ไขโดยทันทีก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลง อารมณ์ร้อนไม่ใช่เรื่องดี จริงอยู่ที่การทะเลาะกันของคู่รัก จากเรื่องเล็ก ๆ
หลายคนรู้สึกผูกพันกับคนที่อยู่ด้วยกันมานานและทำอะไรหลายอย่างร่วมกันมามากมาย โดยไม่ได้เผื่อใจว่าสักวันหนึ่งเขาอาจเปลี่ยนไปจากคนดีกลายเป็นคนที่ทำร้ายเราตลอดเวลา และในเวลานั้น การเดินออกจากความสัมพันธ์จะกลายเป็นเรื่องยาก เพราะอีกฝ่ายอยู่ในชีวิตของเรามานานเกินไปแล้ว เพราะเวลาทำให้ความสัมพันธ์มันแข็งแรง ต่อให้เราโดนทำร้ายมากแค่ไหนก็ตาม เราก็ยังรู้สึกสงสารหรือความหลงใหลแบบหน้ามืดตามัว จนยอมอดทนให้เขาทำร้าย และไม่เดินออกจากความสัมพันธ์เสียที หรือ พอตัดสินใจว่าจะเลิกกับเขาแล้ว พอได้ยินว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ (ซึ่งอีกฝ่ายมักพูดไม่จริง) เราก็เกิดอาการใจอ่อน และไม่มูฟออนอยู่เหมือนเดิม เราเรียกความสัมพันธ์แบบนี้ว่าเป็น Trauma Bonding ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อใจของเราเลย เพราะมันทำให้เกิดความเครียด และความทรมานทางจิตขั้นสูง ถ้าเป็นไปได้ เราควรหันหลังให้ความสัมพันธ์แบบนี้ และเดินออกมาให้เร็วที่สุด Trauma Bonding เกิดขึ้นอย่างไร ความสัมพันธ์ประเภทนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ มันอาจเกิดขึ้นเพราะเราเข้าใจเหตุผลของผู้ทำร้ายและเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา หรือ เรากลัวการถูกทำร้ายอีกในอนาคต และรู้สึกว่าการหนีออกมาไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัย จึงเลือกที่จะทำให้สิ่งที่จะหนีจากสิ่งที่ตัวเองเผชิญหน้าอยู่ โดยการมองหาข้ออ้างให้การกระทำของพวกเขาถูกต้อง และทำให้การอยู่ในความสัมพันธ์เป็นเรื่องสมเหตุสมผลมากขึ้น นอกจากนเรื่องของจิตใจแล้ว ฮอร์โมนบางตัวก็ทำให้เราเสพติดการอยู่กับคนที่ทำร้ายเราได้เหมือนกัน เช่น ‘โดปามีน’ ที่มักหลั่งออกมาหลังจากที่เราคืนดีกันแล้ว หรือ ‘ออกซิโทซิน’ ที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสคนที่ทำร้ายเรา ฮอร์โมนเหล่านี้อาจทำให้เราเสพติดการอยู่อีกฝ่าย จนไม่ยอมถอยออกมาจากความสัมพันธ์สักที สัญญาณว่าเรากำลังอยู่ใน Trauma Bonding คนที่กำลังอยู่ใน Trauma Bonding มักจะรู้สึกผูกพันหรือรักอีกฝ่ายมาก จนเชื่อว่าพฤติกรรมรุนแรงของอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่มีเหตุผล
ในทุกความรักคงไม่มีวันที่จะคงความราบรื่นไปได้ตลอด มีวันที่ดอกไม้เบ่งบาน สดใส เหมือนอยู่ในช่วงฤดูร้อน และมีวันที่เหี่ยวเฉาร่วงโรยไปตามกาลเวลา แต่ไม่นานมันก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง เพราะนั่นคือดอกไม้ที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาล แต่เราไม่อาจมั่นใจได้ว่าความรักจะวนกลับมาสดใสแบบเดิมได้อีกสักกี่ครั้ง ก่อนที่จะสายไป UNLOCKMEN อยากชวนหนุ่ม ๆ มาสำรวจพฤติกรรมของตัวเอง ว่ามีนิสัยเหล่านี้ที่เป็นการทำร้ายคนที่เรารัก โดยที่เราอาจไม่ได้ตั้งใจหรือเปล่า ถ้ารู้แล้วก็รีบเลิกซะ สุภาพบุรุษตัวจริงมีหน้าที่ซับน้ำตาของเธอ ไม่ใช่เป็นตัวต้นเหตุของมัน ขอโทษไม่เป็น รู้ทั้งรู้ว่าเราเองมีส่วนผิด ไม่ว่าจะทั้งหมดหรือมีส่วนเล็กน้อย ด้วยอีโก้ที่มันค้ำคอ ทิฐิที่บังตาจนเห็นแก่หน้าตัวเองมากกว่าความสัมพันธ์ คำขอโทษจึงไม่ถูกเอื้อนเอ่ยออกไป เพราะไม่อยากจะเป็นฝ่ายที่แบกความผิดเอาไว้เพียงคนเดียว เผลอ ๆ อาจจะยังโบ้ยไปนู่นนี่ “ก็ช่วยไม่ได้” “เธอเองก็ผิดเหมือนกัน” ถ้าเคยเผลอทำแบบนี้ไป ให้รีบหยุดนิสัยแบบนี้ซะ เพราะมันเป็นนิสัยที่เห็นแก่ตัวเอามาก ๆ นอกจากจะไม่ขอโทษแล้ว ยังผลักความผิดไปที่อีกฝ่ายอีกต่างหาก ถ้าไม่ชินกับการเอ่ยปากขอโทษจริง ๆ ลองหาทางออกอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การโยนความผิด อย่าง ลองฟังเธอแบบตั้งใจจริง ๆ สักครั้ง ปลอบโยน บอกเธอว่าเรื่องทั้งหมดนี้เธอไม่ได้ทำอะไรพลาดไป เพราะมันก็ยังดีกว่าการทำหน้ามึนบอกว่าตัวเองไม่ผิด เป็นผู้รับอยู่เสมอ ไม่เคยคิดเป็นผู้ให้ ต้องการให้เธอเป็นตามใจต้องการ มีคำขอมากมาย เพราะหวังให้เธอเป็นคนที่เราวาดฝันเอาไว้ แต่ลืมไปว่าตัวเองกลับไม่เคยหยิบยื่นอะไรให้อีกฝ่ายเลย ต้องการให้อีกคนเป็นคนรักที่แสนจะเพอร์เฟ็กต์
การเว้นช่องว่างเมื่อรักจางจนอยู่ต่อไม่ไหวด้วยการแยกมุม รอคุยตอนใจเย็นหรือเว้นระยะเพื่อเรื่องใหญ่กว่านั้นด้วยคำว่าห่างกันสักพัก มันยังหมิ่นเหม่อยู่ตรงกลางระหว่างทางออกที่ให้เราได้ไปทบทวนตัวเอง หรือการหนีความจริงไปทั้งที่เรื่องยังค้างคา ช่างเป็นไดเล็มม่าของความสัมพันธ์ ที่หนุ่ม ๆ อย่างเราก็เป็นอันต้องปวดหัวทุกครั้ง UNLCOKMEN รู้ดีว่าปัญหาของความรักยังคงเป็นเหมือนปริศนาที่เราไม่อาจมีสูตรสำเร็จตายตัวได้ เราเลยอยากเสนอหนทางคร่าว ๆ เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่าสถานการณ์แบบไหนที่ควรห่างกันสักพัก หรือสถานการณ์ไหนที่ยังไม่ควรใช้วิธีนี้ เมื่อไหร่ที่ควรห่างกันสักพัก ทะเลาะกันอย่างต่อเนื่องและไม่มีท่าทีจะหยุดลงได้ หลายครั้งที่การทะเลาะกันมันไม่อาจจบได้ในวันเดียว เป็นเหมือนปัญหาเรื้อรังที่ยังคงมีเรื่องอื่นเข้ามาแทรกให้เราต้องเบี่ยงประเด็น ไขว้เขว กันอยู่เรื่อย กว่าจะเคลียร์เรื่องยิบย่อยจบ กว่าจะได้เคลียร์เรื่องต้นเหตุจริง ๆ ก็กินเวลานานเกินกว่าจะเรียกว่ามันเป็นการทะเลาะกันธรรมดา บางครั้งที่จบเรื่องนี้ไปแล้ว ก็ยังมีเรื่องอื่นผุดมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เว้นว่างจากการทะเลาะกันและอีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีที่อยากจะยุติเรื่องปวดหัวเหล่านี้ลง มันอาจจะถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองฝ่ายต้องแยกมุมกันอย่างจริงจัง ยังไม่มั่นใจเรื่องการใช้อนาคตร่วมกัน ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายที่ไม่มั่นใจ แต่ถ้าหากมันเห็นปัญหาแล้วว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยากหยุดหรือยังไม่อยากมีความสัมพันธ์ที่จริงจังถึงขั้นมองอนาคต อาจจะเป็นเรื่องการแต่งงาน การมีลูก การมีครอบครัว ไม่ใช่เรื่องของความรักที่ไม่เท่ากัน แต่การวางแผนต่างหากที่มันต่างกัน ปัญหานี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างเปราะบางมาก ๆ เพราะบางครั้งความรักที่มีให้มันไม่ได้น้อยกว่ากัน แต่มันเป็นเรื่องของความเข้ากัน การวางแผน ความมุ่งมั่นของแต่ละคนมากกว่า ซึ่งถ้าหากทั้งสองฝ่ายมีรักเท่ากัน แต่เรื่องแผนอนาคตไม่เหมือนกัน ก็เป็นอีกเหตุผลที่มากพอให้ทั้งคู่ลองกลับไปทบทวนตัวเองกันดี ๆ ว่าอยากไปต่อหรือพอแล้ว เรื่องนี้ยังพอมีทางแก้ไขยังไงได้บ้าง และทั้งคู่ได้ลองถึงที่สุดหรือยัง เมื่อมีฝ่ายหนึ่งนอกใจ ความหอมหวานของสัมผัสแรกชวนให้เราตื่นเต้นเสมอ มันเลยทำให้เราไม่ตื่นเต้นกับคนที่อยู่ข้างเรามานาน และมีใจเต้นแรงบ้างในวันที่เจอสาวในเสป็ก นั่นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบหรือที่เรามักเรียกว่าอาหารตาเท่านั้น
การพูดคุยด้วยตัวหนังสืออย่างการ Chat มักจะเกิดปัญหาความเข้าใจกันคลาดเคลื่อนเนื่องจากในตัวหนังสือไม่มีน้ำเสียง เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนต้องเคยเจอกับเรื่องชวนหัวร้อนอย่างนี้กันมาบ้าง แต่น้ำเสียงเจ้ากรรมนั้น ใช่ว่าพอมีแล้วมันจะช่วยให้ทุกอย่างไหลลื่นไปได้ง่าย ๆ เพราะการพูดคุยกันต่อหน้าก็เกิดปัญหาชวนหัวร้อนได้ไม่แพ้กัน พอบทสนทนาคุกรุ่นทีไรเป็นต้องเหงื่อแตกกันทุกที หัวร้อนบ้าง ลนบ้าง อย่าเพิ่งสติแตก ควรหาแผนสำรองทางหนีทีไล่เตรียมไว้เสมอ เจอเรื่องให้ต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดก็ไม่ต้องกังวลไป งัดไม้เด็ดออกมาสู้แบบเซียน ๆ UNLOCKMEN แนะนำเทคนิคดี ๆ เอาไว้ใช้เวลาบทสนทนามันเริ่มไปทาง Negative คุมสถานการณ์ให้ได้ ก่อนจะมีฝ่ายไหนสติแตกขึ้นมาก่อน เพราะนั่นจะทำให้เรื่องยุ่งเหมือนหูฟังพันกันในกระเป๋า จนเลยเถิดไปมากกว่าการทะเลาะกันในบทสนทนา ร้อนนักพักเสียหน่อย หัวร้อน ควันออกหูเมื่อไหร่ รีบหยุดบทสนทนาไว้เดี๋ยวนั้น บอกไปแบบแมน ๆ เลยว่าตอนนี้กำลังเดือดปุด ๆ กันทั้งคู่ ไม่ควรจะต่อล้อต่อเถียงกันตอนนี้ พักยกกันสักหน่อย อัดบุหรี่กันสักตัวสองตัวแล้วค่อยกลับมาคุยก็ยังไม่สาย ไม่ใช่แค่ตอนที่สัญญาณของความเกรี้ยวกราดมาถึงเท่านั้น ตอนที่เริ่มหลงประเด็นกันแล้ว ก็เป็นอีกสถานการณ์ที่ควรพักครึ่งกันก่อน ห้านาที สิบนาที หรือเป็นชั่วโมงแล้วแต่จะตกลงกัน อย่ายั่วโมโห เห็นอยู่ว่าไฟลุกก็อย่าไปเติมเชื้อไฟให้มันโหมแรงขึ้น ยิ่งความสัมพันธ์มันพังจากการทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระมากเท่าไหร่ ตอนกลับไปญาติดีกันมันยิ่งกระอักกระอ่วน อย่าลืมว่าก่อนหน้าที่จะเถียงกันด้วยเรื่องชวนเสียสติเหล่านี้ คนนี้คือเพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง คนรัก
บางคนอาจคิดว่าตัวเองเทิร์นโปรแล้วในเรื่องความเข้าอกเข้าใจหญิงสาว มาไม้ไหนรับมือได้หมด แต่อย่าลืมว่าทุกการแสดงออกของเธอ มันไม่ได้หมายความแบบเดียวกับสิ่งที่อยู่ข้างในใจหรือความคิดของเธอ บอกใช่ ไม่ได้แปลว่ามันจะใช่ บอกไม่ ไม่ได้แปลว่าปฏิเสธจริง ๆ ถ้าคุณคือหนึ่งในมนุษย์เพศชายที่สกิลเข้าใจผู้หญิงเป็นศูนย์ UNLOCKMEN ขอชวนมาทำความเข้าใจกันแบบง่าย ๆ ไม่ให้ไก่ตื่น จากสัญญาณเหล่านี้ ที่บอกคุณได้ว่า แฟนคุณขี้งอนมากกว่าที่เห็น รู้ให้ทันทุกความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำว่า “ไม่เป็นอะไร” ของสาว ๆ จะได้รับมือกันแบบทันท่วงที เธอเปิดเผยความรู้สึกของเธออยู่เสมอ เปิดเผยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการบอกตรง ๆ ว่าไม่พอใจเรื่องอะไร เพราะอะไร แต่หมายถึงการแสดงออกว่าไม่พอใจ น้อยใจ โกรธ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผู้ชายอย่างเรารู้ว่าเธอกำลังอารมณ์บ่จอย เพราะผู้ชายอย่างเราอาจจะไม่เก่งเรื่องการสังเกตอารมณ์อีกฝ่ายสักเท่าไหร่ หากแสดงออกเลเวลแรกแล้วเรายังไม่รู้ตัว เธอก็จะแสดงออกมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะรู้นั่นแหละ นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะบอกว่าเกิดอะไรขึ้น เบื้องต้นเธอต้องการให้เรารับรู้ถึงความขุ่นมัวในอารมณ์ของเธอก่อนเป็นอันดับแรก อ่อนไหวกับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน เสี้ยววินาทีของคำพูด การกระทำจากคุณ สามารถกลายเป็นประเด็นใหญ่โตได้ถ้าหากมันไปสะดุดเธอเข้า เธอจะค่อย ๆ ประมวลผลและก่อมวลของความไม่พอใจอยู่ลึก ๆ และก็เก็บมันมาเป็นเรื่องราวที่ต้องถกเถียงกันต่อไป เราก็ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า แต่ละคนมีเรื่องอ่อนไหวที่ไม่เหมือนกัน เราอาจอ่อนไหวกับการกระทำ เธออาจอ่อนไหวกับคำพูด สิ่งสำคัญคือทั้งสองฝ่ายต้องรู้เขารู้เรา และระมัดระวังสิ่งที่จะกระทบความรู้สึกอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าพอตัวเราเองไม่รู้สึกอ่อนไหว
ปัญหาโลกแตกของความสัมพันธ์ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องบุคคลที่สาม ที่หลายครั้งเป็นเหมือนปัจจัยภายนอกที่เราไม่อาจควบคุมได้ แต่หลายครั้ง มันคือปัจจัยที่อีกคนดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมือของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นมือที่สามที่มาในสารพัดสถานะ คนเคยคุย เพื่อนมัธยม เพื่อนที่ทำงาน และน่าปวดหัวจี๊ดที่สุดคงจะเป็น แฟนเก่า นั่นเป็นปัญหาที่แก้ตกไม่ตก เพราะคงไม่มีใครอยากอยู่ใต้เงาของใครไปตลอด หากคุณเกิดสะกิดใจกับท่าทีของอีกฝ่ายขึ้นมา UNLOCKMEN จะพามาดู 10 สัญญาณบ่งบอกว่าแฟนของคุณ ยังไม่ลืมคนเก่าของเธอ มักจะบอกบ่อย ๆ ว่าเธอทำนู่นทำให้แฟนเก่า เธอมักจะบอกเล่าเสมอว่าเธอทำหน้าที่แฟนได้ดีแค่ไหน ด้วยการพูดถึงสิ่งที่เธอเคยทำให้คนเก่าของเธอ ที่สำคัญคือบอกโดยที่เราไม่ได้ถามก่อน และไม่อยากรู้นี่แหละ เรียนรู้กันจากการทะเลาะ ปรับความเข้าใจกัน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้นแหละโว้ย! ส่วนมากมักจะมาในรูปแบบของชีวิตประจำวันที่พวกเขามักเคยทำด้วยกันในสมัยก่อน ว่าเขาเคยมีคืนวันอันหวานชื่นเพราะเธอมักจะทำนู่นนี่ ยื่นความช่วยเหลือให้เขาเสมอ บางครั้งเธออาจจะอยากตั้งใจโชว์ความทุ่มเทของเธอในฐานะของคนรักที่ดี แต่การพูดถึงแฟนเก่า มันไม่ใช่อะไรที่ฟังลื่นหูนัก ไม่เรียกคนนั้นด้วยชื่อ แต่เรียกด้วยสถานะ ในกรณีที่เป็นต้องพูดถึงคนนั้นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเพราะการเล่าเรื่อง เป็นเพื่อนกัน หรืออะไรก็แล้วแต่ ตามปกติแล้วถ้าเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ก็คงจะใช้สรรพนามที่เป็นชื่อของคนนั้นใช่มั้ย ? เหมือนกับเพื่อนคนอื่น ๆ ของเธอ แต่ถ้าหากเธอเรียกคนนั้นด้วยสรรพนามที่บ่งบอกถึงสถานะอย่าง “แฟนเก่า” นั่นแหละ ระวังเอาไว้เลย เหตุผลหลัก ๆ คือ เพราะเธอไม่กล้าเอ่ยชื่อของเขาตรง
ไม่รู้ใครเป็นคนต้นคิดว่า “ผู้หญิงงี่เง่าเท่ากับผู้หญิงน่ารัก” เพราะนี่มันไม่ใช่ความจริงหนึ่งเดียวของจักรวาลที่ผู้ชายอย่างเราต้องยอมรับหรือเอาแต่คิดว่าที่เธอวอแวใส่เรานั้นเป็นเพราะเธอรักเรามาก ความรักมันไม่จำเป็นต้องทำร้ายกัน ทะเลาะกันเล็ก ๆ น้อย ๆ พอทำความเข้าใจได้ แต่ถ้าเธอทำ 5 สิ่งนี้ใส่คุณเมื่อไหร่ UNLOCKMEN ขอตะโกนบอกว่า “หนีไปปป!” เนื่องจากมันคือสัญญาณว่าคุณกำลังตกอยู่ใน Toxic Relationship หรือความสัมพันธ์ที่เป็นพิษจนถึงขั้นเป็นภัยต่อสุขภาพจิตใจเลยทีเดียว “หนูเป็นคนง่าย ๆ อะไรก็ได้ค่ะ” (แต่ถ้าเราเลือกผิดกลับโดนเหวี่ยงถึงตาย!) “อะไรก็ได้ค่ะ” สาวคนไหนพูดวลีนี้ติดปาก เราได้ยินแรก ๆ ก็รู้สึกหลงใหลเพราะเธอช่างดูเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่เรื่องมากเสียจริง ๆ ถ้าเธอพูดว่าอะไรก็ได้ แล้วเราเลือกอะไรก็ได้ให้เธอไป แล้วเธอก็โอเค ก็แฮปปี้จริง ๆ มันไม่มีปัญหาเลย คบต่อไป คุณได้สาวเรียบง่ายอย่างที่ใจหวังแล้ว ดีใจด้วย! แต่มันจะมีมนุษย์แฟนประเภทหนึ่งที่ปากบอกว่าอะไรก็ได้ แต่พอเราเสนออะไรไป หรือเลือกอะไรผิดแผกแปลกไปจากที่เธอจินตนาการเอาไว้ แล้วเธอก็เหวี่ยงบ้านแตก อันนี้ UNLOCKMEN บอกเลยว่ามันคือสัญญาณอันตราย เพราะเธอกำลังคาดหวังว่าเราจะต้องรู้ใจเธอและเดาใจเธอออกทุกอย่าง ยิ่งเราเลือกอะไรผิดแล้วเธอดุด่าเหมือนเราไปฆ่าคนตายมาให้รีบหนีไปให้ไกลนี่เป็นสัญญาณว่าเธอกำลังบงการความสัมพันธ์แบบเบ็ดเสร็จ เพราะแทนที่จะคุยกันว่าเธอต้องการอะไร เราต้องการอะไร แต่ดันมาโยนภาระหน้าที่ให้เราเลือก แถมไม่พอใจในผลการเลือกนั้นแล้วสร้างมลภาวะทางใจให้เราอีก