เมื่อเราพัฒนาความสัมพันธ์กับคนคุยของเราจนถึงขั้นเป็นแฟนกันแล้ว สิ่งที่ผู้ชายหลายคนน่าจะอยากทำเป็นอย่างแรก คือ การมีเซ็กส์อันเร่าร้อนกับแฟนสาวของตัวเอง แต่ในความเป็นจริง การมีเซ็กส์ถี่บ่อย รวมไปถึงการมีเซ็กส์ก่อนเวลาอันควร อาจทำให้เรามีความสุขกับมันน้อยลง และมีความสุขกับความสัมพันธ์ที่มีอยู่น้อยลงอีกด้วย ทำไมเราถึงไม่ควรรีบมีเซ็กส์กับคู่รักของตัวเอง ? การให้ความสำคัญกับ “เซ็กส์” มาก ๆ อาจเป็นเรื่องที่ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ของเราได้ เพราะเราอาจจะยังไม่รู้จักคู่รักของเราดีมากพอ งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Family Psychology (2010) ได้ทำการศึกษาคนที่แต่งงานแล้วกว่า 2,000 คน ผ่านการทำแบบประเมินออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานชื่อว่า “RELATE.” และพบว่าเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคนที่มีเซ็กส์หลังแต่งงาน และคนที่มีเซ็กส์ก่อนแต่งงาน คนที่มีเซ็กส์หลังแต่งงาน รายงานมีเซกส์ที่มีคุณภาพมากกว่าถึง 15% มีความมั่นคงทางความสัมพันธ์มากกว่าถึง 22% สามารถสื่อสารกันได้ดีกว่า 12% และมีความพึงพอใจในความสัมพันธ์มากกว่าถึง 20% สาเหตุที่ทำให้คู่รักที่รู้จักรอคอยการมีเซ็กส์ มีความสุขกับความสัมพันธ์มากกว่า และรู้สึกมีคุณภาพเซ็กส์ที่ดีกว่า คาดว่าเกิดจาก พวกเขามีเวลาในการเรียนรู้คู่รักของตัวเอง จนสามารถพัฒนาทักษะที่ช่วยส่งเสริมการมีความสัมพันธ์ที่ดี หรือ สามารถสร้างกระบวนการสื่อสารที่ดีขึ้นได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยพัฒนาความมั่นคง และความพึงพอใจในความสัมพันธ์ให้สูงขึ้น ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งจาก Cornell University (2012) ที่ได้ทำการสำรวจคู่รักในเรื่องความสุข
หลายคนน่าจะเคยเจอกับเหตุการณ์เศร้า ๆ บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็น อกหักจากคนที่ชอบ พ่ายแพ้ในการแข่งขัน หรือ ตัดสินใจผิดพลาดจนได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจออกมา เหตุการณ์เหล่านี้คงสร้างความเครียดให้กับเราได้มากพอสมควร บางคนอาจใช้เวลาทำใจเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน หรือ เป็นปี กว่าจะฟื้นฟูจากความเครียด และรู้สึกเจ็บจากบาดแผลทางใจน้อยลง จนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเดิม แต่สำหรับบางคนประสบการณ์ที่เลวร้าย ไม่ได้ทำให้เกิดบาดแผลทางใจเท่านั้น แต่มันทำให้ ‘หัวใจ’ ของพวกเขาทำงานผิดปกติด้วย เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ เป็นต้น เราเรียกอาการแบบนี้ว่าเป็น Broken Heart Syndrome ซึ่ง UNLOCKMEN เห็นว่าเป็นอาการที่อยู่ใกล้ตัวและอันตรายกับเราทุกคน จึงอยากให้ทุกคนรู้จักวิธีรับมือกับมัน Broken Heart Syndrome เกิดขึ้นได้อย่างไร ร่างกายและจิตใจของเรามีความใกล้ชิดกันมากกว่าที่หลายคนคิด ถ้าสุขภาพจิตของเราดี ร่างกายของเรามักดีตาม แต่ถ้าสุขภาพจิตแย่ เราอาจมีอายุขัยสั้นกว่าคนอื่น งานวิจัยบางชิ้นบอกว่า สภาพจิตใจที่ดี (หรือ สภาพจิตใจเชิงบวก) ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย และเส้นเลือดในสมองแตกได้ สุขภาพจิตจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เรามีอายุที่ยืนยาว ไม่ตายก่อนวัยอันควร ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า Broken Heart Syndrome เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า
ผู้ชายหลายคนที่อยู่บ้านกันนานจนเหงาหงอย ช่วงนี้คงมองหาสาวคู่ใจไว้เติมเต็มช่องว่างในชีวิต แต่การเดทสำหรับมือใหม่ถือเป็นเรื่องที่ challenging พอสมควร ไหนจะต้องคิดถึงการแต่งตัว เสื้อผ้าหน้าผม บทสนทนา ไปจนถึงเรื่องสถานที่เดท UNLOCKMEN อยากมาแนะนำ 5 สิ่งที่ผู้ชายยุคใหม่ควรทำเมื่อไปเดทกับสาว ๆ บอกเลยว่าเมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว คุณจะมีประสบการณ์การเดทที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นอย่างแน่นอน มูฟออนให้ได้ก่อน ถ้าคุณเพิ่งอกหักมา หรือ จมอยู่กับอดีตที่เลวร้าย และยังมูฟออนไม่ได้ เราขอแนะนำให้คุณอย่าเพิ่งเริ่มเดทกับใครจะดีกว่า เพราะอารมณ์ร้าย ไม่ว่าจะเป็น ความเศร้า ความโกรธ หรือ ความแค้น จะทำให้เรายิ่งเจ็บปวดจากการเดทครั้งใหม่ได้ เราควรหาทางเยียวยาจากมันก่อน ไม่ว่าจะเป็น การไปเที่ยวกับเพื่อน หรือ ทำกิจกรรมผ่อนคลาย แล้วค่อยเริ่มต้นใหม่จะช่วยให้เรามีเดทที่เพอร์เฟคมากกว่า อย่าถามเกี่ยวกับเรื่องโปรไฟล์คู่เดท (Dating Profile) สมัยนี้การเดทง่ายกว่าเดิมมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เพราะเรามีแอปหรือเว็ปไซต์หาคู่หลายเจ้า เช่น Tinder, Coffee Meets Bagel หรือ Bumble เป็นต้น เพียงเรากรอกข้อมูล Dating Profile ในแอปเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ ความสนใจ
มีหลายสาเหตุที่ความสัมพันธ์ทำให้เรารู้สึกแย่ อึดอัด และไม่มีความสุข สาเหตุนั้นอาจเกิดขึ้นจากตัวของเราเอง สาเหตุนั้นอาจเกิดขึ้นจากอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากสาเหตุใด ปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวเราเอง ก็เป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าเสมอ ในบทความนี้เราเลยอยากจะโฟกัสไปที่ปัญหาในส่วนของตัวเราเอง คือ การไม่มีความยืดหยุ่นทางจิตใจ (psychological inflexibility) ซึ่งมันอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสุขในการใช้ชีวิตคู่อย่างมาก และเรามีคำแนะนำเรื่องวิธีการพัฒนาตัวเองให้มีความยืดหยุ่นทางจิตใจมากขึ้นมาฝากทุกคนด้วย What is psychological flexibility ? เวลาเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราแต่ละคนรับมือกับปัญหาเหล่านั้นได้แตกต่างกัน คือ ความยืดหยุ่นทางจิตวิทยา (psychological flexibility) คนที่มีความยืดหยุ่นต่ำอาจเกิดความเครียดสูงเวลาเจอกับปัญหา และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ดี ในขณะที่ คนที่มีความยืดหยุ่นสูงอาจจะตั้งสติและคิดแก้ปัญหาได้ดีกว่า เมื่อเจอปัญหาเดียวกัน ความยืดหยุ่นทางจิตวิทยา (psychological flexibility) คือ ทักษะในการรับมือกับความคิด ความรู้สึก อารมณ์ รวมถึงประสบการณ์ที่ยากลำบากและมีความท้าทาย ลักษณะของความยืดหยุ่นทางจิตวิทยาก็เช่น เปิดรับและยอมรับทุกประสบการณ์ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มีสติรู้ตัวและอยู่กับปัจจุบันได้ตลอดทั้งวัน รับมือกับความคิดและความรู้สึกแย่ ๆ ได้โดยไม่ยึดติดกับมัน สามารถมองปัญหาแบบรอบด้านแม้จะอยู่ในความคิดแย่ ๆ หรือความรู้สึกที่เลวร้าย ยึดมั่นในคุณค่าของตัวเองแม้จะเจอกับความเครียดหรือความวุ่นวาย รวมถึง ไม่ล้มเลิกที่จะทำตามเป้าหมายแม้จะเจอกับอุปสรรค์และความยากลำบาก ในทางกลับกัน หากเราไม่มีทักษะนี้ เราอาจใช้ชีวิตได้อย่างไม่มีความสุข
ในหนึ่งชีวิตนี้เราทุกคนล้วนเคยป่วย เราอาจเคยเป็นหวัดเพราะอากาศเปลี่ยน เราอาจเคยเป็นไข้เลือดออกเพราะโดนยุงลายที่มีเชื้อกัด เราอาจเคยเป็นไมเกรนเพราะเครียดกับงานที่ทำมากเกินไป การป่วยจึงเกิดขึ้นได้กับทุกคนเป็นปกติ และอาการป่วยส่วนใหญ่รักษาให้หาย หรือหาวิธีร่วมอยู่กับอาการได้ เมื่อร่างกายป่วยได้ ก็หมายความว่าความรู้สึก จิตใจที่ผ่านการสั่งการจากสมองนั้นป่วยได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเราจะได้เจอคนที่ป่วยใจในชีวิต บางคนเป็นโรคซึมเศร้า บางคนอาจเป็นไบโพลาร์ บางคนอาจเป็นโรคเครียด ฯลฯ แต่เมื่อคนใกล้ตัว โดยเฉพาะคนที่เรารักป่วยใจ เราคงอยากรู้ว่าเราควรเข้าใจโรคซึมเศร้าแบบไหน มีอะไรที่เราต้องยอมรับบ้าง วันนี้ UNLOCKMEN ชวนทำความเข้าใจไปพร้อมกัน แง่บวกมากไปไม่ช่วยอะไร เราล้วนเลือกทำอะไร พูดอะไรกับคนที่เรารัก เพราะความหวังดี โดยเฉพาะเมื่อเขาป่วย เรายิ่งรู้สึกว่าอยากไล่เมฆหมอกแห่งความอึมครึมหม่น ๆ ที่เขารู้สึกออกไปให้พ้น เราเลยเลือกโยน “ก้อนการมองแง่บวก” ใส่เขารัว ๆ ในวันที่เขาบอกความรู้สึกว่าเศร้า เราก็ดันไปบอกเขาว่าอย่าคิดมากเลย มีคนลำบากตั้งเยอะ, เศร้าทำไม ชีวิตมีสิ่งสวยงามอีกมาก แม้เราจะพยายามชวนให้เขามองโลกในแง่บวกเพราะเจตนาดี แต่อย่าลืมว่าการทำมากไป หรือบ่อยไป มันไม่ต่างจากการที่เรามองข้ามสิ่งที่เขารู้สึก หรือบอกว่าเขาผิดเองที่ไม่มองโลกในแง่บวก ดังนั้นคุณต้องอย่าลืมว่าเขาไม่ได้อยู่ ๆ อยากเศร้าหรือห่อเหี่ยวแบบนี้ แต่มันคืออาการของโรค เหมือนเวลาเป็นหวัดแล้วน้ำมูกไหล เราห้ามน้ำมูกไม่ได้ เช่นเดียวกับที่จะไปห้ามเขาเศร้าไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดคือการพยายามรับฟังเวลาเขาบอกว่าเขารู้สึกอะไร โดยไม่ตัดสินสิ่งที่เขารู้สึก ยืนเคียงข้างทุกเป้าหมายของเขา สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อป่วยเป็นโรคซึมเศร้าคือการขาดแรงจูงใจ
ความรักมักลึกลับและซับซ้อน ทั้งในเรื่องความรูปแบบความสัมพันธ์ที่หลากหลายจนปวดหัว และเรื่องบนเตียงที่บอกเล่าความรู้สึกที่แตกต่าง ดังเช่นการมีการมีเซ็กซ์กันแบบธรรมดา กับการร่วมรักเพื่อกระชับความสัมพันธ์ สองอย่างนี้แม้จะมีปลายทางที่เรียกว่าเสร็จได้ไม่แพ้กัน แต่เชื่อเถอะว่าในระหว่างทางนั้น มีผลกับความรู้สึกที่ต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างที่รู้กันว่า เซ็กซ์เป็นเรื่องธรรมชาติที่ใครต่างก็ต้องการ โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น เรื่องแบบนี้มักเป็นเรื่องปกติ และผู้ชายมักจะมีอารมณ์ในเรื่องนี้มากกว่าผู้หญิงทั้งในด้านของสิ่งเร้า และฮอร์โมนทางเพศที่มีความต้องการมากกว่า เพียงแต่ว่าเมื่อมีความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง การมีเซ็กซ์ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของตัวช่วยที่จะกระตุ้นให้ความสัมพันธ์ หรือที่เราเรียกว่าการสร้างเมคเลิฟร่วมกันระหว่างคู่รักนั่นเอง หากไม่เคยได้ลองกับตัวเอง หลายคนอาจจะไม่เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้สักเท่าไหร่ หรือบางทีเราอาจจะยังสงสัยอยู่ว่า ที่ผ่านมาเราแค่มีเซ็กซ์กันปกติ หรือเมคเลิฟอยู่กันแน่? วันนี้เราจึงจะพาไปหาคำตอบกันว่าจะได้หายข้องใจกันสักทีว่า สรุปแล้วรักของเรามันเป็นแบบไหนกันแน่ แรงจูงใจในความสัมพันธ์ที่แตกต่าง เป้าหมายของการมีเซ็กซ์ อาจหมายถึงแค่การสำเร็จความใคร่เพียงอย่างเดียว ไม่ได้คิดจะผูกพันหรือสร้างความสัมพันธ์กันต่อ หรือที่รู้จักกันดีในรูปแบบของ One night stand หรือ Friend With Benefits ไม่มีการผูกมัด แค่สนองอารมณ์แล้วจบ ในขณะที่การเมคเลิฟ หรือร่วมรักกันนั้น จะมีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก อยากครอบครอง แสดงความเป็นเจ้าของในทุก ๆ ส่วนของร่างกายของอีกฝ่าย ส่งผลให้มีความแตกต่างกันในรูปแบบของการจูบ กลิ่นกาย และการมีเซ็กซ์กันอย่างลงตัว ไม่เพียงแค่เอาแต่ความรู้สึกของตัวเองเป็นหลักเท่านั้น เราจะรู้สึกใส่ใจคู่ของเรามากเป็นพิเศษ แถมการร่วมรักในครั้งนี้ จะทำให้ความสัมพันธ์ของเราแน่นแฟ้น มากกว่าการมีเซ็กซ์แบบธรรมดา รูปแบบของการสื่อสารที่ต่างกัน
เมื่อสถานการณ์รอบตัวเปลี่ยนไป มีสารพัดสิ่งละอันพันละน้อยที่ผู้ชายอย่างเราต้องปรับตัวตาม ตั้งแต่เรื่องที่ต้องรับผิดชอบอย่างหน้าที่การงาน วิถีชีวิต ไม่เว้นแม้กระทั่ง “ความรัก” และ “ความสัมพันธ์” เมื่อวิกฤตไวรัสฯ ส่งผลกระทบต่อชีวิตเราเพื่อความปลอดภัยที่สุดของทั้งเราและคนสำคัญของเราจึงทำให้ต้องห่างกันสักพัก การกุมมือกันดูหนังเรื่องโปรดก็ต้องยกเลิกไปโดยปริยาย อาหารร้านอร่อยที่ชวนกันไปกินบ่อย ๆ ก็ต้องงดไปอีกระยะ รวมถึงกิจกรรมเดินเล่นผ่อนคลาย ไปจนถึงทริปทะเลที่ได้นอนเล่นรับแดดอุ่น ๆ เคียงข้างกัน แม้ความรักและความรู้สึกคล้ายจะเป็นแกนหลักของความสัมพันธ์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้เจอกัน มีกิจกรรมดี ๆ สานบทสนทนาราบรื่นต่อหน้า และการสร้างประสบการณ์ร่วมกันก็มีส่วนหล่อเลี้ยงให้ความสัมพันธ์คงอยู่ต่อไปได้ แต่เมื่อสถานการณ์ไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดทำให้เราต้องห่างกันสักพัก จะมีวิธีไหนที่ยังประคับประคองความสัมพันธ์นี้ให้ราบรื่นต่อไปได้บ้าง? “โกรธ เศร้า หึง น้อยใจ” จงใช้เวลามากขึ้นก่อนรู้สึก ยิ่งตัวอยู่ไกลกันมากเท่าไร ระยะเวลาที่ยืดยาวออกไปไม่ได้เจอกันขึ้นมากเท่าไหน เราก็ยิ่งโหยหาคิดถึงอยากเจอคนที่เรารักมากขึ้นเท่านั้น ระยะห่างจึงมีข้อดีของมัน แต่ระยะห่างก็เป็นดาบ 2 คม เมื่อเราไม่ได้เจอกันต่อหน้า สภาวะการณ์รอบกายมีเรื่องให้ตึงเครียดจนอารมณ์ขุ่นมัว เราก็ยิ่งมีเรื่องให้เข้าใจกันผิดได้มากยิ่งขึ้น สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ประคองระยะความสัมพันธ์ให้ราบรื่นต่อไปได้คือ “การใช้เวลาทบทวนสิ่งที่ตัวเองรู้สึกมากขึ้น” จากปกติเราเห็นหนุ่ม ๆ มาคอมเมนต์แฟนเราแบบสนิทสนมแล้วเราอาจจะโกรธทันที โทรหาเธอเพื่อโวยวาย ณ ตอนนั้น แต่ในสถานการณ์ที่ต้องห่างกันนาน ๆ ลองปรับระยะเวลาการแสดงออกให้ยืดยาวออกไป เพื่อให้อารมณ์เจือจางลงก่อน การให้อารมณ์เจือจางแล้วถึงแสดงออกจะช่วยลดระดับความรุนแรงทางอารมณ์ที่เราส่งไป หรือบางครั้งเมื่อเราให้เวลาได้ทบทวนดี
คุณกับแฟนสาวเคยทำอะไรกันก่อนนอนหรือเปล่า? เราไม่ได้สื่อถึงเรื่องอย่างว่าโดยตรง แต่หมายถึงกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คู่รักเขาทำกันเพื่อเติมความหวานหรือเพิ่มรสชาติกระชุ่มกระชวยให้ชีวิตคู่ต่างหาก อาจเป็นการหอมแก้มแรง ๆ สักฟอด ผลัดกันนวดเพื่อคลายความเมื่อยล้า นอนกอดกันเพื่อส่งต่อความรู้สึกดี ๆ หรือเล่นปูไต่จนหมดแรงและหลับผล็อยไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรมเล็ก ๆ ที่เราหมายถึง และคิดว่าคู่รักส่วนใหญ่น่าจะทำด้วยกันก่อนนอน Dr. Clinton Moore นักจิตวิทยาคลินิกเชื่อว่าในยุคทองของเทคโนโลยีเฉกเช่นตอนนี้ อาจเป็นเรื่องยากถ้าหนุ่ม ๆ จะละสายตาออกจากจอสมาร์ตโฟนและหันไปมองสาวคนข้าง ๆ บนเตียงแทน อย่างไรก็ตามนักจิตวิทยารายนี้ก็มองว่ากิจกรรมก่อนนอนเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตคู่ เพราะมันช่วยหล่อเลี้ยงความสุขของคู่รักและสร้างสายสัมพันธ์เส้นหนาที่ยากจะขาดได้ในเวลาเดียวกัน วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาบอก 4 เคล็ดลับที่ผู้ชายควรทำก่อนนอน เพื่อให้สาวคนรู้ใจแฮปปี้และนำมาซึ่งความสัมพันธ์อันดีของคุณกับเธอ แบ่งปันเรื่องราวชีวิตในวันนั้น ๆ Dr. Clinton Moore ระบุว่าคู่รักที่มีความสุขที่สุดใช้เวลาร่วม 10 นาทีก่อนนอน ไปกับการแบ่งปันสารทุกข์สุขดิบที่พวกเขาพบเจอมาตลอดทั้งวัน แทนที่จะล้มตัวลงนอนและปล่อยให้เสียงทีวีกล่อมจนหลับอย่างคู่รักคู่อื่น ๆ การที่คุณและเธอได้ผลัดกันเล่าหรือแบ่งปันเรื่องราวดีร้ายในแต่ละวัน จะช่วยให้คุณและสาวคนนั้นเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น เผลอ ๆ บางโจทย์สุดหินที่คุณคิดไม่ตกมาตลอดทั้งวัน อาจได้คำตอบดี ๆ จากสาวคนข้าง ๆ
ในช่วงเริ่มต้นความสัมพันธ์ การได้พูดคุยแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ เสียงของเธอไม่กี่ประโยค ข้อความจากเธอเพียงไม่กี่คำ ก็ชวนให้เราอยากจะขยับเข้าไปใกล้ดั่งใจคิด เพราะเรื่องจริงเราไม่อาจทำแบบนั้นได้ อย่างมากก็แค่ต่อบทสนทนาไปวัน ๆ แต่นานไปเราก็เริ่มจะหมดมุกที่จะดึงบทสนทนาให้ยืดยาว หากคุณคือคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์นั้น UNLOCKMEN ขอแนะนำเทคนิคดี ๆ ที่จะช่วยให้เรื่องราวไม่สั้นกุด หยุดอยู่แค่สติกเกอร์ที่เธอส่งกลับมา จดจำเวลาที่เหมาะ คุยกับเธอมาสักพัก เราลองสังเกตดูว่า เธอมีช่วงเวลาในกิจวัตรประจำวันอย่างไรบ้าง ไม่ใช่เพื่อเอาไปตามติด ขุดคุ้ยชีวิตอะไรแบบนั้น แต่เอาไว้จดจำช่วงเวลาที่เธอ “ว่างและสะดวก” ที่จะคุยกับเราอย่างไม่ติดขัดอะไร บางช่วงเวลาที่เธอว่าง ไม่ได้หมายความว่าเธอจะสะดวกคุยกับเรา หากมีทั้งสองอย่างพร้อมกัน จึงจะเป็น Prime Time ในการชักชวนเธอมาพูดคุยกัน สังเกตจากช่วงไหนที่เธอตอบเราแบบไม่ต้องรอนาน และช่วงเวลาต้องห้ามคือ ช่วงเวลาที่เธอมักจะบอกให้เรารอ เพราะอาจจะเป็นช่วงที่เธอมีอย่างอื่นต้องทำ ไม่ว่าจะเดินทางกลับ ซื้อของ กินข้าว อะไรก็ตาม แนะนำให้คุยในช่วงเวลาที่เหมาะมากกว่า เพราะฝืนทักไปบ่อย ๆ ในช่วงนั้น เธอก็ไม่ตอบอยู่ดีนั่นแหละ อาจจะพาลให้รำคาญจนปิดแจ้งเตือนของคุณไปเลยก็ได้ อย่าจดจำแต่หัวข้อ เจาะลึกไปที่ดีเทล เอาแต่จำว่าเธอชอบสิ่งไหน แต่กลับไม่รู้อะไรลึกลงไปกว่านั้น จำได้ว่าเธอชอบดูหนัง แต่จำไม่ได้ว่าเธอดูหนังแนวไหน ผู้กำกับคนโปรดคือใคร
อีกความเจ็บปวดของสาว ๆ ที่ผู้ชายอย่างเราเราไม่อาจเข้าถึงได้คือ “ประจำเดือน” สิ่งที่เราจินตนาการได้ใกล้เคียงที่สุดก็คงจะเป็นความหงุดหงิดจากความไม่สบายตัว และอาการปวดท้องที่จะตามมาด้วย เลยทำให้สาว ๆ ดูจะอารมณ์ไม่ค่อยคงที่และอ่อนไหวเป็นพิเศษในช่วงนี้ เบื้องหลังเรื่องราวเหล่านั้นคือ เธอต้องเผชิญกับความกังวลตลอดทั้งวัน ว่าจะเลอะมั้ย ถึงเวลาเปลี่ยนหรือยัง อาการปวดท้องที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ความไม่สบายตัว แค่ฟังก็ชวนให้หงุดหงิดตามแล้ว แล้วไอ้ช่วงอารมณ์ที่อ่อนไหวของสาว ๆ เนี่ย คนที่ใกล้ตัวอย่างพวกเรามันจะโดนลูกหลงอยู่ทุกครั้งไป UNLOCKMEN ขอแนะนำเทคนิคดี ๆ เตรียมพร้อมในวันนั้นของเดือน ไม่ให้หนุ่ม ๆ ต้องกลายเป็นสนามอารมณ์ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อให้เธอรู้สึกถึงความใส่ใจของเราอีกด้วย Note ไว้ในปฏิทิน วิน-วินทั้งสองฝ่าย แม้มันจะเป็นเรื่องของผู้หญิงโดยตรง แต่ใช่ว่าสาวทุกคนจะจำวันนั้นของเดือนได้ บางคนแทบจะไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ มาก็มา ไม่มาก็เชิญ หนุ่ม ๆ อย่างเราลองเป็นฝ่ายจดบันทึกเองบ้าง ว่าเธอเริ่มมีประจำเดือนวันไหน พอถึงเดือนต่อไป จะมาบวกลบไม่เกิน 7 วัน เราเองจะได้เตรียมตัวกับเรื่องนี้ ที่เป็นเหมือนระเบิดแบบสุ่มที่ไม่อาจคาดเดาได้ และดูเป็นคนใส่ใจขึ้นมาอีกสิบคะแนนเต็ม หรือถ้าเราเป็นหนุ่มละเอียดรอบคอบขึ้นมาอีกหน่อย ลองเป็นแอปฯ ที่ช่วยคำนวณระยะตกไข่และวันมีประจำเดือนล่วงหน้าแบบครบครัน ของหวานบันดาลสุข ด้วยอารมณ์ที่แกว่งไปมาเหมือนลูกตุ้มนาฬิกาจนเราไม่อาจตามได้ทัน