FASHION

สนีกเกอร์เฮดจงเตรียมใจ! เมื่อจีน-สหรัฐบาดหมางจนอาจทำให้ราคารองเท้าพุ่งกระฉูด

By: SPLESS May 23, 2019

สงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐอเมริกาไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในประเด็น Talk Of The Town ในกรณีของ Huewei กับ Google เพียงเท่านั้น

ทว่าความขัดแย้งด้านเศรษฐกิจครั้งนี้อาจส่งผลโดยตรงต่อเหล่าหนุ่ม ๆ ผู้หลงใหลรองเท้าทั่วโลกด้วย เมื่อสินค้าประเภทรองเท้าถูกใส่เป็นหนึ่งในรายชื่อสินค้าที่ถูกเพิ่มกำแพงภาษี หาก Trade War ครั้งนี้ยังดำเนินต่อไป สนีกเกอร์เฮดอย่างเรา ๆ อาจต้องเผชิญกับราคารองเท้าที่เพิ่มสูงขึ้น

Hypebeast

ขึ้นภาษีในฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุด

หลังสหรัฐอเมริกาเปิดเผยรายชื่อสินค้ากว่า 6,000 รายการที่กำแพงภาษีเพิ่มขึ้นอีก 25 เปอร์เซ็นต์ โดยคิดเป็นเป็นมูลค่ารวมกว่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เหล่าสนีกเกอร์เฮดก็ต้องกุมขมับเพราะสินค้าอย่างรองเท้าก็ถูกบรรจุอยู่ในรายชื่อสินค้าขึ้นภาษีเหล่านั้นด้วย

เดือดร้อนถึงบริษัทผู้ผลิตรองเท้ากว่า 173 แห่งต้องร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึก เพื่อพูดถึงผลกระทบที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคจะต้องพบเจอจากนโยบายครั้งนี้ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพราะกำแพงภาษีที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อตลาดรองเท้าในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกอย่างแน่นอน

Footwear Distribution and Retailers of America (FDRA) หรือองค์กรนำเข้า-ส่งออกรองเท้าแห่งสหรัฐอเมริกาเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกที่แบรนด์รองเท้ายักษ์ใหญ่ทั้ง Nike, Adidas, Converse, Under Armour, Foot Locker, Clarks, Crocs, Puma, Reebok, Keds, Dr.martens และอีกจำนวนมากร่วมลงนาม โดยเนื้อหาภายในจดหมายพูดถึงภาระค่าใช้จ่ายด้านการผลิตที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่ของพวกเขามีฐานการผลิตอยู่ที่ประเทศจีน

Reddit

ทำไมถึงได้รับผลกระทบ ราคารองเท้าจะเป็นอย่างไร?

ถ้าถามว่าทำไมค่ายรองเท้าต่าง ๆ จึงได้รับผลจากสงครามฯ ครั้งนี้ไปด้วย สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ จากสถิติการนำเข้าสินค้าประเภทรองเท้าของสหรัฐอเมริกาในปี 2018 ที่ BBC เปิดเผย ผลคือตัวเลขจากทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์เป็นรองเท้าที่นำเข้าจากจีนถึง 70.7% เวียดนาม 16.8 % ประเทศอื่น ๆ 7.16%  อินโดนีเซีย 4.3 % และผลิตในประเทศเพียง 1.04 %

หากการบังคับใช้นโยบายภาษีเริ่มต้นขึ้น กลุ่มผู้ผลิตและผู้บริโภคจะต้องเผชิญกับภาษีรองเท้าเพิ่มขึ้นประมาณ 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ/ต่อปี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคารองเท้าโดยตรงจนเป็นให้หนุ่มผู้รักรองเท้าจะต้องเจอกับราคาที่สูงขึ้น

FDRA ประเมินว่าผลที่ตามมาจะทำให้รองเท้าทั่วไปที่เคยขายปลีกอยู่ที่ 49.99 ดอลลาร์จะถูกเพิ่มราคาเป็น 65.57 ดอลลาร์ ด้านรองเท้าบูทหรือรองเท้าเดินป่าจะเพิ่มราคาจาก 190 ดอลลาร์เป็น 248.56 ดอลลาร์ส่วนรองเท้าวิ่งรุ่นท็อปของค่ายต่าง ๆ อาจมีราคาเพิ่มจาก 150 ดอลลาร์สู่ 206.25 ดอลลาร์เลยทีเดียว

qz

ฐานผลิตใหม่ที่น่าจับตามอง

ประเทศจีนถือเป็นฐานการผลิตที่ส่งออกรองเท้ามากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกมาเป็นเวลานาน ทำให้พวกเขามีประสบการณ์ในการผลิต แถมเป็นตลาดที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ นั่นเป็นสาเหตุที่บรรดาค่ายรองเท้าจากเมืองลุงแซมจำนวนไม่น้อยหันมาใช้บริการพวกเขาแบบเป็นล่ำเป็นสัน ตัวอย่างเช่น Nike ซึ่งต้องพึ่งพารองเท้าจากจีนคิดเป็น  26 เปอร์เซ็นต์ของสินค้าทั้งหมด รวมถึงแบรนด์ยอดฮิตในประเทศอย่าง Skechers USA ที่พึ่งพารองเท้าที่ผลิตจากแดนมังกรมากถึง 65 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามนโยบายครั้งนี้ทำให้สองมหาอำนาจอย่าง Nike และ Adidas เตรียมย้ายฐานการผลิตหลักของพวกเขาไปที่ประเทศเวียดนามแทน

เวียดนามถือเป็นฐานการผลิตหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มียอดส่งออกรองเท้าเป็นอันดับที่ 2 ของโลกและเมื่อเทียบตัวเลขการเติบโตของเวียดนามที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2556 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 8,400 ล้านดอลลาร์สู่ยอดในปี 2560 ที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 14,600 ดอลลาร์และคาดว่าจะครองส่วนแบ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  จนกลายเป็นฐานการผลิตหนึ่งที่มีสำคัญแม้จะยังเป็นรองตลาดของจีนอยู่ก็ตาม

miamidesigndistrict

คงรู้เหตุผลกันแล้วว่าสงครามการค้าในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างเรายังไงกันบ้างและถ้านโยบายดังกล่าวถูกดำเนินการต่อไปโดยไม่มีการแก้ไข ไม่แน่ว่าในอนาคตมันอาจทำให้หนุ่ม ๆ ที่หลงใหลรองเท้าอย่างพวกเรา ต้องเผชิญหน้ากับราคาป้ายและราคารีเซลล์ที่เพิ่มสูงขึ้นตามกลไกของตลาด คงได้แต่ลุ้นให้ Trade War ครั้งนี้หาจุดลงตัวกันได้สักที เพราะเราเชื่อเหลือเกินว่าหนุ่มหลายคนคงไม่อยากเจอกับราคารองเท้าที่สูงเกินไปกันแน่นอน

 

SOURCE 1/2/3/4

SPLESS
WRITER: SPLESS
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line