Entertainment

รวมหนังที่เคยพังแต่กลับมาปังใน Director’s Cut ก่อนชม Zack Snyder’s Justice League ที่ดุเดือดกว่า

By: unlockmen February 20, 2021

เพราะกระบวนการทำหนังนั้นมีผู้เกี่ยวข้องที่หลากหลายกว่าจะเสร็จสิ้นจนเป็นหนังที่สมบูรณ์แบบให้ทุกคนได้รับชมกัน ซึ่งหัวเรือใหญ่ที่นำพาให้หนังเรื่องหนึ่งถึงฝั่งได้สำเร็จนั้นเป็นที่เข้าใจกันว่า “ผู้กำกับภาพยนตร์” 

ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว หากแต่กระบวนการสุดท้ายที่แท้จริงนั้นจะตกอยู่กับทั้ง สตูดิโอผู้สร้าง, นายทุน (Executive Producer) และผู้อำนวยการสร้าง (Producer) ที่มีสิทธิ์อันชอบธรรมในการนำเสนอภาพยนตร์ไปสู่ขั้นตอนสุดท้าย และเป็นข้อตกลงปกติที่ผู้กำกับจะรับทราบและปล่อยผ่านให้ 3 ตำแหน่งนี้มีสิทธิ์เด็ดขาดในการควบคุมหนังในวินาทีสุดท้ายก่อนฉายให้ได้ชมกัน

จึงมีหนังหลายต่อหลายเรื่องที่ท้ายที่สุดอาจจะออกมาไม่ถูกใจผู้กำกับ และจำยอมต้องให้หนังเรื่องนี้ออกฉายไปด้วยความจำยอม ซึ่งส่วนใหญ่ข้อพิพาทระหว่างผู้กำกับกับผู้อำนวยการสร้างและนายทุน ไม่พ้นความยาวของหนังที่ยาวกว่าปกติจนต้องหั่นสั้นเพื่อให้ฉายทำรอบได้ หรือการตีความใหม่ของผู้กำกับที่ลึกล้ำเกินกว่าคนทั่วไปจะเข้าถึง ซึ่งทำให้บางเรื่องเมื่อถูกบิดเบือนไปจากผู้กำกับ ก็นำมาซึ่งหายนะทางตารางทำเงิน ไปจนถึงการโห่ไล่ของนักวิจารณ์และแฟน ๆ

จนเกิดทางเลือกใหม่ของนักดูหนัง นั่นก็คือหนังฉบับ Director’s Cut ที่ออกฉายที่หลังแต่เป็นความตั้งมั่นและสาสน์ของผู้กำกับที่ต้องการเล่าเรื่องในแบบที่เขานั้นต้องการโดยไม่ผ่านเงื่อนไขทั้งในเรื่องความยาวหรือการตีความในเชิงศิลปะ ดังเช่นผู้กำกับคนดังอย่าง Zack Snyder ต้องการบูรณะหนัง Justice League หลังจากที่บทวิจารณ์ในช่วงฉายใหม่ ๆ ไม่ค่อยสู้ดีนัก

ก่อนที่เราจะไปชมที่มาของซีรีส์ขนาดยาวของ Justice League เรามาย้อนดูหนังที่ผู้กำกับบูรณะใหม่แล้วปังเพื่อดูแนวคิดของพวกเขากัน และคุณจะรู้ว่า หนังฉบับ Director’s Cut นั้นมีคุณค่ากว่าที่คุณคิด

หนังคาวบอยที่ทิ้งทวนยุคสมัยของฮีโร่บนหลังม้าที่มักจะเสนอแต่ภาพฮีโร่โรแมนติก แต่ Sam Peckinpah ผู้กำกับจอมซาดิสต์กลับมองว่า “หนังที่ยิงกันเลือดไม่สาด มันจะสวยสดงดงามได้ยังไงวะ”

ว่าแล้วก็จัดหนักให้กลายเป็นหนังคาวบอยที่ปฏิวัติรูปโฉมของโลกตะวันตก ด้วยการสาดซัดความรุนแรงแบบเต็มเหนี่ยว การสโลว์โมชั่นให้เห็นการตายในแบบเต็มตา รวมไปถึงจำนวนผู้คนบาดเจ็บล้มตายที่เกลื่อนถนนพอ ๆ กับกระสุนที่พุ่งเข้าร่าง ซึ่งในตอนต้นหนังได้ออกฉายในฝั่งยุโรปก็มีการพูดถึงอย่างอื้ออึงในความรุนแรงเต็มพิกัดซึ่งในช่วงเวลานั้นผู้คนยังเปราะบางกับการเห็นภาพความรุนแรงบนจอ จนนำมาสู่การพิจารณาเรตติ้งที่อเมริกาที่จำต้องขอให้ตัดทอนความรุนแรงออกเพื่อให้หนังที่ทุนไม่ใช่น้อย ๆ เรื่องนี้ได้ฉายให้ผู้ชมในวงกว้างได้เข้าชมซึ่งหายไปถึง 10 นาที

จนเมื่อเวลาผ่านไปในปี 1995 The Wild Bunch ในฉบับผู้กำกับคัท ที่นำฉากรุนแรงที่เคยถูกหั่นออกนำกลับมาฉายอีกรอบ เพื่อแสดงเจตจำนงค์ของหนังที่ต้องการรักษาความชอบธรรมของการนองเลือดให้ผู้ชมได้รับรู้ว่าไม่ว่ายุคสมัยไหน ความรุนแรงยังคงคุกกรุ่นในใจ และไม่มีวันที่มันจะลบเลือนจากไปง่าย ๆ แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน


หนังสุดหลอนคลาสสิคของ Stanley Kubrick ที่เรียกว่าหนังผีหรือหนังฆาตกรรมก็ไม่ผิด ตอนฉายหนังครั้งแรกก็โดนคนดูเมินใส่ นักวิจารณ์ก็พากันยี้ หนำซ้ำผู้ประพันธ์นิยายเรื่องนี้อย่าง Stephen King ก็ด่าว่า “เป็นการดัดแปลงจากนิยายให้กลายเป็นหนังที่เลวร้ายที่สุด”

เรื่องราวของนักเขียนผู้ต้องการแสวงหาความสงบจึงขับรถพาครอบครัวมายังโรงแรมที่ว่าจ้างให้พวกเขามาเฝ้าในช่วงวันหยุดยาวไร้ผู้คน กลับกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่คนเป็นลูกและภรรยาต้องเผชิญหน้ากับกับความโรคจิตสุดขีดคลั่งของตัวสามี (ที่รับบทโดย Jack Nicholson) ในตอนแรกหนังถูกวางไว้เป็นโปรแกรมเด็ดจากผู้กำกับระดับปรมาจารย์ แต่ผลตอบรับกลับตรงกันข้ามเมื่อหนังถูกสาปส่งทั้งคนดูและนักวิจารณ์จากความคลุมเครือในพฤติกรรมอันโหดร้ายของตัวเอก การตีความใหม่ที่ไม่ตรงกับเนื้อหาของนิยาย ฉากจบที่ถูกดัดแปลงจนกลายเป็นการบิดเบือนหนัง ถึงขนาดผู้สร้างอีกเจ้าต้องเชิญชวน Stephen มาทำใหม่ในเวอร์ชั่น Mini Series เพื่อให้โครงเรื่องตรงตามบทประพันธ์ให้ได้มากที่สุดในปี 1993

แต่ใช่ว่า Stanley จะนิ่งนอนใจกับผลตอบรับของผู้ชม เมื่อเขาได้รับ Feedback จากการฉายนำร่องและรอบปฐมทัศน์ที่ผลตอบรับไม่ค่อยดีนัก เขาก็จัดการเล็มหนังในตอนจบออกไป 2 นาที จาก 146 นาที ให้เหลือเพียง 144 นาที และเล็มความรุงรังที่นำพาหนังให้ตีความในหลายรูปแบบออกไปอีก 25 นาทีเพื่อฉายในฉบับยุโรป เพื่อแสดงให้เห็นบทสรุปที่ชวนหลอนและการตีความที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดหนังก็ค่อย ๆ สร้างแรงกระเพื่อมปากต่อปากจนได้รับการยกย่องให้เป็นหนังสยองขวัญเชิงจิตวิทยาที่ทรงพลัง และเป็นอีก 1 ผลงานที่ Masterpiece ของ Stanley Kubrick จวบจนปัจจุบัน


หนังที่เสมือนเป็นอัตชีวประวัติที่เสนอทั้งตัวตนของผู้กำกับ Cameron Crowe ในสมัยทำงานเป็นนักข่าวของนิตยสาร Rolling Stone และเล่าถึงช่วงเวลาอันเรืองรองของดนตรี Rock ในยุค 70’s นี้ ในช่วงที่หนังฉายในโรงภาพยนตร์นั้น ค่อนข้างที่จะได้รับการตอบรับจากผู้ชมอย่างเฉยชา เนื่องจากหนังมีความเป็นส่วนตัวของผู้กำกับมากจนเกินไป ทั้ง ๆ ที่คุณภาพของหนังยอดเยี่ยมและกลายเป็นหนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีซของตัวผู้กำกับเลยทีเดียว

ค่าย Universal รู้สึกแปลกใจที่หนังยอดเยี่ยมและได้รับการกล่าวขวัญจากนักวิจารณ์กลับไม่ได้รับการตอบรับจากคนดูขนาดนี้ จึงทำการมอบสิทธิพิเศษให้กับผู้กำกับทำอีกเวอร์ชั่นนึงเพื่อขายในรูปแบบ DVD จนนำมาซึ่งฉบับ ‘Bootleg Cut’ ในอีกปีต่อมา โดยผู้กำกับได้บอกถึงเวอร์ชั่นนี้ว่า เขาไม่อยากเรียกหนังฉบับนี้ว่า Director’s Cut เนื่องจากเขาพอใจในเวอร์ชั่นที่ฉายในโรงอยู่แล้ว แต่เวอร์ชั่นนี้เป็นการเติมเต็มบรรยากาศของช่วงเวลานั้นให้มันสมบูรณ์มากขึ้น (โดยเฉพาะการปรากฏตัวของ Penny Lane ที่กลายเป็นสาวชวนฝันที่น่ารักมากกว่าเดิม) ฉบับนี้จึงถือเป็นการเติมเต็มให้คนที่รักหนังเรื่องนี้ รักมากยิ่งขึ้นไปอีกมากกว่าจะเป็นเวอร์ชั่นที่ตีรันฟันแทงระหว่างคนทำหนังกับนายทุน


หนึ่งในอภิมหากาพย์ของหนังทั้งในจอและนอกจอที่นำมาซึ่งความวุ่นวายในกองถ่ายที่เต็มไปด้วยปัญหา และในจอที่ตัวผู้กำกับ Francis Ford Coppola รู้สึกไม่พอใจเมื่อตอนแรกฉาย เพราะหนังสงครามเวียดนามไซคีเดลลิกนี้ เต็มไปด้วยฟุตเตจมากมายในยุคนั้นที่ข้อจำกัดทางด้านเวลาที่ในตอนนั้นความยาว 153 นาทีก็ถือว่ายาวเกินหนังปกติแล้ว แต่ผู้กำกับก็ยืนกรานว่าในหนังฉบับที่ฉายโรงนั้นยังไม่นับว่ามัน 100% ตามที่ตัวของเขาต้องการ

จนเวลาผ่านไปนานถึง 22 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ออกฉาย ในที่สุดความฝันที่จะเติมเต็มส่วนที่ขาดหายก็สัมฤทธิ์ผลในชื่อ Apocalypse Now Redux ที่ไม่เพียงแต่เพิ่มเติมฟุตเตจที่โดนตัดทิ้งไปในตอนฉายในปี 1979 เท่านั้น แต่ Coppola ทั้งถ่ายใหม่ รวมถึงชวนนักแสดงมาร่วมพากย์ซ่อมบางซีนอีกด้วย โดยหนัง Apocalypse Now Redux ได้รับการตอบรับในฐานะหนังสุดทะเยอทะยานฉบับใหม่ที่ให้ความลุ่มลึกของตัวละคร พร้อมกับสร้างความชัดเจนในการตีความของตัวละคร ที่ก่อนหน้านั้นติดเรื่องความยาวหนังทำให้ไม่สามารถเล่าถึงรายละเอียดได้ครบ จึงกลายเป็นอีกงานมาสเตอร์พีซที่บ่งชี้ถึงข้อจำกัดต่าง ๆ เมื่อเวลาผันผ่านเราสามารถแก้ไขอดีตให้มันยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิมได้


และอภิมหาโปรเจกต์ที่กลายเป็นตำนานแห่ง Director’s Cut ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นคือหนังไซไฟสุดล้ำที่ได้อานิสงส์จากการตัดต่อใหม่จนกลายเป็นหนังคลาสสิคตลอดกาลแห่งโลก Cyberpunk นั่นก็คือ Blade Runner ที่แรกเริ่มเดิมที ตอนออกฉายในปี 1982 หนังอภิปรัชญาโลกล้ำอนาคตของ Ridley Scott ฉบับตัดต่อให้ทางนายทุนดูนั้น ทางสตูดิโอไม่ค่อยปลื้มสักเท่าไหร่ อาจจะนำพาความมึนงงให้กับผู้ชม ทางสตูดิโอวอร์เนอร์จึงถือวิสาสะรวบรัดตัดต่อเอง ที่แม้กระทั่งการตัดต่อของทางวอร์เนอร์เองก็มีหลายฉบับอยู่แล้ว เพราะหนังไซไฟในยุค Post-Star Wars นั้นคือความคาดหวังของค่ายหนังที่ไม่อยากให้มันล้มเหลวใดๆ

แต่เมื่อออกฉายผลตอบรับกลับอยู่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้น Ridley Scott จึงพยายามที่จะขอสตูดิโอเพื่อทำการตัดต่อเวอร์ชั่นที่ถูกต้องตามที่เขาต้องการ แต่กว่าจะได้รับสิทธิ์นั้นก็ปาไป 10 ปีต่อมา เมื่อหนังค่อย ๆ ได้รับการกล่าวถึงจากวงแคบถึงวงกว้างรวมไปถึงการตีความที่หลากหลายจนทำให้มันเป็นหนังคัลท์คลาสสิค และแม้จะได้สิทธิ์ในการเล่าเรื่อง แต่ Ridley ก็พยายามจะตัดต่อใหม่ผ่านวาระต่าง ๆ นับตั้งแต่ม้วนวีดีโอยันบลูเรย์ จนสำเร็จเสร็จสิ้นจนตั้งชื่อเหมือนส่งงานให้ลูกค้าในเวอร์ชั่นสุดท้ายจริงๆ  ว่า The Final Cut ในปี 2007 หรือในอีก 25 ปีต่อมานับตั้งแต่ฉายวันแรกนั่นเอง กลายเป็นหนังที่ได้รับการตัดต่อเยอะที่สุด และกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวของ Ridley เสมอที่ชอบตัดนู่นนิดเพิ่มนี่หน่อยเพื่อซ่อมแซมบรูณะหนังของเขาตั้งแต่ Alien ไปยัน Kingdom of Heaven


และมาถึงหนังไฮไลท์ที่จะได้รับชมในช่องสตรีมมิ่ง HBO นั่นก็คือ หนังรวมดาวฮีโรของค่าย DC อย่าง Justice League ที่ผู้กำกับ Zack Snyder หมายมั่นปั้นมือวางจักรวาลไว้เสียดิบดีในชื่อ DC Extended Universe (DCEU) ตั้งแต่ Man of Steel (2013) เป็นต้นมา แต่ระหว่างการถ่ายทำนั้นเอง เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อลูกสาวของ Zack ได้ลาโลกนี้ไปด้วยการทำอัตวินิบาตกรรมจนเขาเองต้องขอถอนตัวกลางคัน แม้จะได้มือดีที่เคยผ่านงานอย่าง The Avengers อย่าง Joss Whedon มารับช่วงต่อจนเสร็จสมบูรณ์ แต่ก็เหมือนจักรวาลที่ Zack ต้องการไม่ใช่อย่างนั้น และหนังก็ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่าที่ควรในตอนออกฉายทั้งทางรายได้และการวิจารณ์ จนแฟนบอยหลายคนต่างอยากรู้ว่าวิสัยทัศน์อันแท้จริงของ Zack จะเป็นอย่างไร

หลังจากพักรักษาใจที่สลายไปได้แล้ว Zack ก็เปรยๆว่าจักรวาล Justice League ในฝันของเขาต้องยิ่งใหญ่ หยาบกร้าน และดุเดือดกว่าเวอร์ชั่นที่ฉายโรง จนเหล่าแฟนบอยพากันลงชื่อผ่านเว็บไซท์ change.org ปั่นกระแสทวิต #ReleaseTheSnyderCut จน Warner ไฟเขียวยอมให้ทำ แถมยังบ้าจี้ทุ่มเงินให้กว่า 70 ล้านเหรียญ ให้ถ่ายทำใหม่ในซีนที่ขาดหาย (นั่นคือการปรากฏตัวของ Joker ในแบบที่คุณไม่ได้เห็นจาก Suicide Squad) ในความยาวบ้าคลั่งถึง 240 นาที หรือ 4 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว

ก็มาคอยดูกันว่า Zack Snyder’s Justice League จะออกอีท่าไหนในสตริมมิ่งบ้านคุณ แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า หนังในเวอร์ชั่น Director’s Cut นั้นช่วยเพิ่มความลึกซึ้งและเข้าใจในหนังมากยิ่งขึ้น และช่วยต่ออายุหนังให้มีอายุที่ยืนนานกว่าการฉายแบบปกติได้อีกหลายปีเลยทีเดียว

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line